ตอนที่ 4 เรือนหลอนท้ายไร่
โมรีแทบช็อคกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ หากไม่มีชายร่างใหญ่ช่วยลากพาเธอออกมาก็คงเป็นลมอยู่ตรงเรือนหลังนั้นไปแล้วแน่ๆ ภาพใบหน้าเน่าเปื่อยของหญิงชราที่กำลังหันมาแสยะยิ้มให้เธอนั้นยังคงติดตาไม่หาย
ร่างเล็กสั่นเทาในอ้อมแขนของชายร่างสูงใหญ่ เสียงลำธารไหลเอื่อยช่วยให้เธอดึงสติกลับมาแล้วหันมาสนใจคนที่พาเธอออกมา ทันทีที่เขาคลายมือออก โมรีก็รีบถอยร่นออกห่าง ทว่า ใบหน้าเรียวรูปไข่แหงนขึ้น เธอเพ่งสายตาฝ่าความมืดอย่างหนักเพื่อให้เห็นใบหน้าเขา
“โมรี ช่วยแม่ด้วย”
เสียงแม่โสภีร้องเรียกเธอ
“แม่!”
เธอรีบวิ่งกลับไปยังที่พัก พบเจอความอลหม่าน ทั้งผู้คนที่ยืนมองดูอย่างสมเพช กับแสงไฟไซเรนรถตำรวจที่เข้ามาควบคุมเหตุการณ์
“จับไปเลยค่ะคุณตำรวจ พวกเราต้องตื่นทำงานแต่เช้าต้องมาทนฟังพวกนี้ตั้งวงกินเหล้าเสียงดัง พวกเราเตือนหลายรอบก็ไม่สน แถมยังแหกปากร้องประชดดังกว่าเก่าอีกแน่ะ คุณตำรวจช่วยจัดการทีนะคะ”
ป้าคนหนึ่งออกโรงแทนคนงานทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อน ในขณะที่ฝั่งของแม่และพวกพี่ๆก็ไม่สะทกสะท้าน เอาแต่ยืนเถียงฉอดๆ ถกชายผ้าถุงจะกระโจนเข้าไปทำร้าย แต่มีตำรวจคอยกั้นกลางเอาไว้
ภาพตรงหน้าวุ่นวายจนเธอยกฝ่ามือขึ้นโปะหน้าผาก ถอยร่นออกมายืนรอบนอก
เธอยืนกุมขมับ รับฟังเสียงบ่นประณามของคนงานตัวเล็กลีบลง อายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่โชคดีที่รอบนี้ตำรวจแค่มาเตือน หากได้รับร้องเรียนอีกรอบทุกคนจะได้ไปนอนในมุ้งสายบัวแทน
“ไปไหนมา?”
“หือ?”
โมรีหันขวับไปมองผู้มาใหม่
“ผู้หมวดก็มาหรือคะ?”
“ต้องมาสิ ได้ยินสิบเวรบอกว่ามีอดีตสาว ‘ริมทางคาราโอเกะ’ ส่งเสียงดังก่อความวุ่นวายในไร่นี้ ผมเลยต้องรีบมาดูคุณ ว่าแต่คุรไปไหนมา”
“คือ ฉัน..ฉันจะบอกว่ายังไงดี ฉันอธิบายไม่ถูกค่ะ”
เธอละล่ำละลักบอกกับเขาด้วยเนื้อตัวสั่นเทาเมื่อนึกถึงภาพหญิงชราในเรือนหลอนนั้น
ร่างสูงในชุดลำลองขยับเข้ามาประชิดตัวหญิงสาว พอเห็นเธอยืนตัวสั่นเขาจึงถอดแจ็คเก็ตตัวนอกไปคลุมไหล่ให้
หมั่บ
“ผมโทรหาก็ไม่รับ แถมยังตัดสายกันอีก”
“โทรหางั้นหรือ?”
เอาแล้วสิ เธอคงทำมือถือหล่นไว้ที่นั่น
ขณะเดียวกันนั้น มีรถยนต์หรูขับผ่านหน้าที่พักคนงาน เธอเหลือบหันไปมองดูเขา เห็นเงาสลัวกับใบหน้าเพียงครึ่งเสี้ยว
เจคอป!
โมรียืนนิ่งงัน ใบหน้าชะงักค้าง
ชั่วขณะนั้นเขาเองก็ปรายสายตามองดูเธอที่กำลังยืนกระหนุงกระหนิงอยู่กับตำรวจหนุ่มคนนั้น ท่ามกลางสถานการณ์อลหม่านวุ่นวาย
เธอวานให้ผู้หมวดพาเธอกลับไปหามือถือ กลัวก็กลัวแต่เสียดายอยากได้มือถือคืนมากกว่า เธอเดินตามหลังอย่างกล้าๆกลัวๆ มือเล็กเกาะชายเสื้อหมวดชาติชายและเดินตามไม่ยอมห่าง
“ผีเผอที่ไหน ไม่มีหรอก เห็นมั้ย”
เขาสาดไฟฉายส่องไปทั่วระเบียงบ้านที่ไม่มีคนอยู่
“ฉันเห็นกับตา ด้วยตาเนื้อสองลูกนี่ไงคะ ภาพหญิงชราหน้าเละตัวเปื่อยทั้งตัวยังติดตาฉันอยู่เลย” เธอยังคงยืนกรานคำเดิม แต่ผู้หมวดยังคงส่ายหน้าอมยิ้ม
ทั้งสองใช้เวลาหานานเป็นชั่วโมงแต่ก็ยังไม่พบ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าทำมันหล่นที่บันได
“หรือว่าเจคอปเอาไป!”
“หืม? อะไรนะ”
“ออ เปล่าค่ะ เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะมาหาเองค่ะ”
ร่างบางรีบสาวเท้ายาวๆวิ่งนำเขาออกมาจากบริเวณเรือนท้ายไร่ กลับมาที่หอพักทุกอย่างเงียบสงัด เธอจึงพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกที่แม่และพี่ๆยอมกลับเข้าไปนอนในห้อง หลงเหลือเพียงร่องรอยบนแคร่ให้เธอตามเก็บกวาด
“มาผมช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอรีบโบกสะบัดข้อมือ ก่อนหยิบขวดเหล้าเปล่าใส่ในกระสอบให้เบามือสุด
“มันดึกมากแล้ว หมวดก็รีบๆไปก่อนเถอะนะคะ ฉันกลัวคนมองไม่ดี”
“แค่มาหาไม่ได้หรือไง?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันหมายถึงคุณ! คนจะมองผู้หมวดไม่ดีที่มารู้จักกับพวกเราต่างหาก”
ร่างสูงใหญ่ยืนเท้าสะเอว สีหน้าของเขาค่อนข้างจะอยากอธิบายว่าเขาไม่สนคนอื่น แต่บรรยากาศเงียบเชียบจนได้ยินเสียงน้ำหยดจึงไม่อยากพูดคุยให้รบกวนผู้คนเขาจึงยอมขึ้นรถยนต์กลับออกไป
“ถ้าเจอมือถือแล้ว อย่าลืมโทรหาผม”
ก่อนกลับยังคงเลื่อนกระจกด้านข้าง กำชับกับเธอด้วยแววตาเป็นห่วง
“ค่ะ ขับรถดีดีนะคะ”
โมรีเดินย่องเบาเข้ามาในห้อง แต่กลับตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นเงาตะคุ่มกำลังนั่งชันเข่าอยู่
“ว้าย”
“กูเอง”
“ฟู่ว ..ก็นึกว่าผี”
เธอทรุดกายลงนั่งเคียงข้างแม่
“แม่ยืมมือถือหน่อยสิ ฉันทำมือถือหายน่ะ”
“ไม่ต้องโทรละ เพราะกูโทรเมื่อกี้ แต่ปิดเครื่องใส่เฉย เออ ว่าแต่ เอ็งหายไปไหนมา”
“เอ่อ..”
“ไปเจอเจ้าของไร่มาใช่มั้ย?”
“แม่รู้ได้ไง”
“ก็ข้าเห็นรถยนต์ขับผ่านมาหน้าหอ ดูๆไปก็คล้ายผัวเก่ามึง”
“ชู่ว แม่อย่าพูดแบบนี้อีกนะ”
“จะทำไม! ก็พูดความจริงซะอย่าง”
“เห้อ ช่างเหอะ แต่ตอนนี้ช่วยฉันทีนะ”
“เรื่อง?”
“เพราะฉันคิดว่ามือถือฉันอยู่กับเค้าแน่ๆ ให้ผู้หมวดช่วยหาจนทั่วก็ไม่เจอ”
“จะไปยากอะไร มึงก็เข้าไปหาที่อ๊อฟฟิตเลยสิ แกล้งถือกะดาษไปสักใบแล้วบอกมีเอกสารสำคัญให้เค้าดู”
“น้ำเน่าแล้วแม่ เอาล่ะฉันจะจัดการเอง ตอนนี้นอนก่อน ฉันง่วงแล้ว”
เมื่อฟังแผนการที่ไม่เข้าท่าของแม่แล้ว จึงเลือกเอนกายลงนอน ปิดเปลือกตาแสร้งทำเป็นหลับ ไม่อยากเสวนากับแม่ต่อ เพราะเธอรู้เท่าทันความต้องการของแม่ดี
ตอนเช้าตรู่เธอปลุกแม่และเดินออกไปเคาะห้องปลุกทุกคนให้ตื่นออกไปทำงานวันแรก ส่วนเธอที่แต่งตัวเสร็จตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางมุ่งหน้าไปที่โซนสำนักงานเพื่อยืนดูบอร์ดที่เป็นป้ายประกาศด้านนอก เจอผังบุคลลากร และเจอรูปของเขาซึ่งอยู่จุดบนสุดของพิรามิด พอไล่หาเบอร์โทรก็ไม่พบ
“เห้อ จะเอาไงดีทีนี้”
แต่ระหว่างที่ร่างบางกำลังเดินคอตกออกมา เธอได้ยินเสียงป้าแม่บ้านกำลังชวนเพื่อนร่วมงานจับกลุ่มกันนินทาพวกพี่ๆและแม่เธอเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน แม้จะอยากหลีกเลี่ยงแต่ก็ไม่เหลือทางเลือกแล้ว เพราะป้าน่าจะรู้ดีที่สุดในไร่ เธอจึงแอบทนฟังอยู่นานครู่ใหญ่พอทุกคนแยกย้ายกันไปทำความสะอาดเธอจึงเดินตามหลังป้าไปที่ห้องน้ำ
“ป้าคะ”
นิ้วเล็กสะกิดเรียกป้าพร้อมควักเอาขนมแซนวิสในกระเป๋าออกมาหนึ่งห่อยื่นให้ป้า
“พอดีฉันหยิบมาเกิน ร้านนี้อร่อยนะป้า”
“ขอบใจจ๊ะ ว่าแต่มีอบรมอีกด้วยเหรอ?”
“เปล่าจ้ะป้า แต่ ฉันมีเรื่องอยากรบกวนถามป้าเรื่องนึงน่ะ”
“ว่า”
“ป้าพอจะรู้จักเบอร์ติดต่อคุณเจคอปมั้ยป้า คือว่าฉันมีเรื่องสำคัญอยากแจ้งเค้า นะคะป้า ฉันรู้ว่าป้าต้องมีเบอร์เค้าแน่ๆ ได้โปรดเมตตาฉันเถอะนะ ฉันมีเรื่องด่วนจริงๆ”
“ออ แซนวิสนี่ก็คง”
“ตอนเที่ยงป้าอยากทานอะไร ฉันซื้อมาให้ป้าอีกก็ได้”
ป้าแม่บ้านยืนกอดอก เอียงคอเมียงมองเธออย่างสงสัย
“จะเอาเบอร์เค้า ต้องบอกมาก่อนว่า เมื่อคืนมีผู้หมวดหนุ่มหล่อคนดังมาด้วย ช่วยบอกป้าทีว่าเค้ามาหาเราเหรอ?”
“มาหาฉันเอง”
เธอขยิบตา แล้วชวนคุยเรื่องเธอกับผู้หมวดว่ากำลังคบกันเพื่อให้ป้าคลายความสงสัยว่าเธอสนใจเจ้าของไร่
แล้วเธอก็เดินออกมาพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นขึ้นมาท่องจำเบอร์ของเขาจนขึ้นใจ พอจะเข้าแถวด้านหลังพี่ๆเพื่อเตรียมลงไร่กลับเจอคุณนายฉวีวรรณเดินผ่านไปยังโซนครัว เธอรีบก้มหน้าลงต่ำเพราะไม่อยากเจอท่าน
ในขณะที่กำลังยืนฟังการสอนงานคร่าวๆเธอที่อยู่หลังสุด เธอยืมมือถือแม่เพื่อโทรหาเขา
“รับสักทีสิ”
เธอออกอาการรนรานเพราะกลัวว่าเขาจะล้วงรู้ทุกอย่างที่อยู่ในมือถือเธอ
แล้วข่าวใหม่ที่ได้รับฟังก็เป็นอันเข้าใจได้ทันทีถึงสาเหตุที่เขาไม่ว่างรับสาย
“วันนี้มีข่าวร้ายนะ ทางไร่เราได้สูญเสียคุณทัศนาไปตั้งแต่ช่วงตีสามแล้ว ตอนนี้คนงานส่วนหนึ่งเข้าไปร่วมกันจัดเตรียมงานที่เรือนใหญ่ บลา บลา..”
เธออ้าปากค้าง รับฟังตาปริบ
คุณทัศนา เสียแล้ว อย่างนั้นหรือ?
นึกถึงตอนที่เขาพาเธอเข้าไปกราบท่าน และคอยบีบนวดตัวให้ท่าน ผิวเนื้อนิ่มๆ กับรอยยิ้มยับย่นที่ใจดีนั้น ยังตรึงใจเธอเสมอมา
“นี่ เธอ!”
แต่แล้ว โชคก็ไม่เข้าข้าง เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง
เธอสะดุ้ง ประมวลเสียงที่เคยได้ยินเมื่อเก้าปีก่อนแล้วว่าใช่คุณฉวีวรรณ แน่ๆ แล้วเหงื่อก็แตกพลั่ก ค่อยๆหันไปมอง
“คะ?”
“วันนี้ไม่ต้องลงไร่นะ ฉันจะให้เธอไปเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขกในงานหน่อย”
“เอ่อ”
“ขอบคุณท่านเค้าสิโมรี” แม่โสภีเหยียดยิ้มมุมปากพร้อมสะกิดลูกสาวให้รับหน้าที่นั้น
คุณฉวีวรรณปรายหางตามองเธอและแม่ พลางยิ้มเยาะ
“ตามฉันมาล่ะ”
เธอหันไปส่ายหน้ากับแม่ว่าไม่ไปแน่ๆ
แต่แม่หยิกแขน และเอ่ยเสียงรอดไรฟัน
“ก็อยากให้มึงไปใกล้หลานชายนัก ก็ไปซะเลยสิ กลัวอะไร ไป” มืออวบดันหลังลูกสาวให้รีบตามไป
คุณฉวีรวรรณเดินนำพาเธอเข้าไปที่บ้านใหญ่ เธอแทบก้าวเท้าไม่ออกเมื่อเจอกับบรรดาลูกหลานคุณทัศนารวมกันอยู่ที่ห้องรับแขก
และที่สะดุดตาสุด คงเป็นเขา และคุณนัชชา คนรักสาวสวยในชุดเดรสสีดำนั่งเกาะแขนไม่ห่าง
“เช้านี้คุณยังไม่ทานอะไรเลยนะคะเจ๊ค นัชชาเป็นห่วงคุณ”
เจ๊ค งั้นเหรอ?
คงสนิทกันน่าดู
“เอ้า นี่ ตามฉันมาสิหนู”
เธอแทบจะมุดแผ่นดินหนี เมื่อคุณฉวีวรรณจงใจเรียกเธอเสียงดัง ทุกคนนั้นหันมามองเธอในสภาพที่ไม่อยากให้ใครเห็น
เธอมาในสภาพหน้าสด!
สวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงตัวโคร่ง กับกางเกงลำลองขายาว ซึ่งแน่นอนว่าการแต่งตัวเธอแปลกแยกท่ามกลางเจ้านายที่สวมชุดดำล้วน
ดวงตาคมเข้มช้อนขึ้นมองเธอที่กำลังวิ่งโร่ผ่านหน้าเขาไป รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเกิดจากความจงใจของหล่อนที่มาตามหามือถือ
โมรียืนตัวลีบรวมกับบรรดาคนงานสาวหน้าตาสะสวยเพื่อทำหน้าที่เสิร์ฟบริการแขกที่กำลังเข้ามาร่วมงาน
“เดี๋ยวนะ”
ยายช้อย หัวหน้าแม่ครัวสะดุดตากับสภาพเธอซึ่งอยู่ในชุดที่แตกต่างจากเพื่อน
“มาได้ไงน่ะเรา?”
พอขยับเข้าไปมองหน้าใกล้ๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอแม่หนูคนนี้ที่ไหน?
เธอรีบก้มหน้าลงต่ำ ตอบเสียงเบา “เอ่อ หนูเพิ่งมาใหม่ แล้วคุณฉวีวรรณเรียกให้หนูมาช่วยงานเสิร์ฟที่นี่ค่ะ”
“คุณฉวีวรรณเนี่ยนะลงไปตามหาคนเสิร์ฟ?”
คุณยายช้อย หรือป้าช้อย ตอนนี้สีผมเป็นสีขาวล้วน แต่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงไม่ต่างจากเมื่อก่อน
เธอจำคุณยายคนนี้ได้ดี
คนที่จับได้ว่าเธอและเจคอปจูงมือกันเข้าบ้านในกลางดึก แต่ยายช้อยก็แกล้งทำหูหนวกตาบอดและไม่ได้ฟ้องเจ้านายเลย
“อ๋อ” เธอจำได้แล้ว
หัวใจเธอเต้นโครมครามเมื่อยายทำหน้าเหมือนว่าจำเธอได้แล้ว
“หนูไปเปลี่ยนชุดและรวบผมเผ้าก่อนไปลูกไป”
เธอยิ้มพรายออกมาอย่างดีใจ
“ค่ะ”
คุณยายใจดีท่านนี้ช่วยเธออีกแล้ว
“นี่ ช่วยพานังหนูคนนี้ไปเปลี่ยนชุดหน่อยสิ เห้อ คุณฉวีวรรณนะคุณฉวีรวรรณ ไม่ปล่อยไม่ปลงบ้างเลย”
ยายช้อยเรียกแม่ครัวอีกคนก่อนจะบ่นพึมพำเสียงเบา
ร่างบางสวมชุดผ้าถุงสีดำและเสื้อคอบัวสีเดียวกัน เธอรวบผมขึ้นทั้งหมดแล้วปล่อยเป็นทรงหางม้าด้านหลัง พิธีกรรมถูกจัดเป็นเวลาเจ็ดวันและใช้เรือนของคุณทัศนาเป็นสถานที่จัดงานตามความต้องการของท่านซึ่งเคยบอกกับลูกหลานเอาไว้
บ้านที่เคยสงบและร่มรื่นแต่ก่อน ตอนนี้ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีขาว ด้านในตัวบ้านเป็นที่ตั้งหีบศพมีดอกไม้รูปทรงนกยูง เธอที่กำลังถือถาดเครื่องดื่มหยุดยืนมองรูปของท่านแล้วรู้สึกใจหาย
โมรีช่วยงานตั้งแต่เช้า จวบจนถึงพิธีสวดอภิธรรมในช่วงค่ำ บรรดาแขกผู้มาไว้อาลัยเริ่มหนาตามากขึ้น พร้อมๆกับจำนวนพวงหรีดเองก็เช่นกัน
ระหว่างกำลังพัก ทุกคนต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น แต่เธอกลับยืนเคว้งจนอยู่ไม่สุข จึงเดินออกตามหาเขา จนกระทั่งพบร่างใหญ่กำยำกำลังยืนต้อนรับแขกด้านนอก เธอคอยมองตามอยู่ห่างๆ
จนกระทั่งเขาทอดกายลงนั่งบนเก้าอี้และยังมีคุณนัชชานั่งอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
ว่าแล้ว หญิงสาวจึงรีบเดินหากระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนแล้วกำกระดาษไว้ในมือแน่น จากนั้นจึงเดินถือถาดไปขอกาแฟกับแม่ครัว2ชุด เธออาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็ยุ่ง แอบซุกแผ่นกระดาษไว้บนจานรองแก้วฝั่งซ้ายมือ ส่วนแก้วด้านขวาจะนำไปเสิร์ฟให้คุณนัชชา
เสียงพระสวดดังกังวานทั่วงาน ทุกคนต่างพนมมือนั่งบนเก้าอี้เรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ยังมีหญิงสาวร่างบางเดินอ้อมเข้าไปทอดกายลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา
“หืม?”
เจ้าของไร่หนุ่มผู้กำลังนั่งพนมมือบนเก้าอี้ส่งสายตาดุดันไปที่เธอ
“ออ ไม่จ้า เราได้แล้ว”
คุณนัชชาออกโรงปฏิเสธแทนแฟนหนุ่ม ทว่าเขารีบเอ่ยแทรก
“ออ พอดีเลย แก้วนั้นมีแมลงตกใส่น่ะ”
เธอพยักเพยิดสายตาไปที่แก้วซ้ายมือ เขาพอเข้าใจจึงรีบหยิบแก้วกาแฟขึ้น
“อ๊ะ อย่าค่ะ” โมรีเผลออุทานเสียงเบาเมื่อเขายกแค่แก้วไม่ได้หยิบจานรองขึ้นด้วย เธอรนรานกลัวถูกจับได้จึงแสร้งทำกาแฟเลอะใส่กระโปรงคุณนัชชา
“อุ๊ย ซี้ดดร้อนๆ”
ดาราสาวอุทานขึ้นอย่างตกใจ
เธอฉวยจังหวะนั้นจึงหยิบกระดาษยื่นให้เขา และรีบหันไปพนมมือขอโทษคุณนัชชาด้วยท่าทีลนลาน
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวหนูเช็ดให้นะคะ”
“ไม่ต้องจ้ะ”
“หนูขอโทษนะคะ”
หญิงสาวขอโทษอีกครั้ง ก่อนเดินโค้งศีรษะออกไป
“เดี๋ยว”
มือใหญ่คว้าแขนเรียวเล็กของโมรีไว้
ชั่ววินาทีนั้น แม่ฉวีวรรณที่นั่งใกล้นัชชาเกือบจะลุกพรวดไปจัดการโมรี
“แม่คะ”
แต่สายป่าน แม่ของเจคอปรีบดึงแขนแม่ฉวีและส่ายหน้าเชื่องช้าเพื่อห้ามเอาไว้ แม่ฉวีจำยอมยกสองมือพนมมือดังเดิมทว่าในใจกำลังร้อนรุ่มหนัก
“คะ?”
ร่างบางหมุนตัวกลับมานั่งท่าเดิม
ใบหน้าคมคายโน้มลงต่ำเพื่อกระซิบบอกกับเธอว่า
“เที่ยงคืนนี้ ที่เรือนท้ายไร่”
ใบหน้าเรียวรูปไข่ชะงักค้าง นัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นช่างคาดเดายากเหลือเกิน