บทที่3///ข้ากินข้าวนะมิใช่กินหญ้า! 

3207 Words
 บทที่3///ข้ากินข้าวนะมิใช่กินหญ้า!       ซึ่งเวลาที่เพ่ยฉิงเซียงนางกังวลก็ผ่านมาอีกไม่ถึงห้าวันเลยที่เจียงเหวินไถ่เขานั้นจึงได้ฟื้นคืนสติแต่คงเพราะแต้มบุญของเด็กสาวยังมีอยู่มากด้วยก่อนวันที่องค์ชายหก เขาจะคืนสตินั้น เหลิ่งเหม่ยจูนางก็กลับมาจากต่างเมืองพอดี นางจึงไม่รู้สึกเสียขวัญเท่าใดนักที่จะต้องเผชิญหน้ากับพระสวามีเป็นครั้งแรกที่เขามีสติหาใช่ร่างนอนเป็นผักอยู่บนเตียงเช่นหลายวันผ่านมา  “อืม...”   หลังจากท่านหลวงฮัวเฉิงฉีเขานั้นได้ฝังเข็มสลายคลายพิษเสร็จในช่วงปลายยามเฉินของวันที่ยี่สิบสามซึ่งองค์ชายหก เจียงเหวินไถ่ นั้นบาดเจ็บสาหัสจากพิษเจ็ดราตรีแตกสลาย คนที่นอนสงบนิ่งมานานเขานั้นก็เริ่มขยับพร้อมกับเสียงครางแผ่วเบารอดออกมาจากริมฝีปากซีดเซียว   "ท่านน้าเหม่ยจูองค์ชายเขาขยับเจ้าค่ะ"   เด็กสาวที่สังเกตเห็นกิริยาของคนป่วยเร่งเข้าไปดึงมือของท่านน้าสาวของพระสวามีให้เข้ามาดูเขาใกล้ชิดซึ่งเหลิ่งเหม่ยจูนางก็ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นที่ในที่สุดหลานชายคนเดียวของตนเองเขาก็รู้สึกตัวคืนกลับมาเสียทีมิต้องสวดมนต์ขอพรจากพี่สาวผู้ลาลับให้ช่วยคุ้มภัยหลานรักอีกต่อไป   "อาไถ่ เจ้าฟื้นแล้ว"   คนเพิ่งได้สติขยับเปลือกตาหยุกหยิกครู่หนึ่งจึงเปิดขึ้นช้าๆ แต่เขากลับพบว่าจะหลับหรือลืมตาความมืดนั้นช่างไม่แตกต่าง คิ้วคมเข้มจึงพันกันยับยุ่ง เพราะความสังสัยพุ่งจู่โจมองค์ชายหกเร็วพลันทันใด  "เอ่อขออภัยท่านจ้าวสำนักเหลิ่งขอข้านั้นตรวจดูอาการขององค์ชายหกก่อนเถิด"   ฮัวเฉิงฉีหาโอกาสแทรกเข้ามาตรวจดูคนเพิ่งฟื้นซึ่งเพ่ยฉิงเซียงนางก็เร่งคว้าแขนของท่านน้าสาวของพระสวามีให้นางได้หลบทางให้แก่ท่านหมอหลวงหนุ่มทันทีเช่นกัน ด้วยภายในใจของเพ่ยฉิงเซียงนั้นมีแต่ความกังวลไปหมดแต่ที่มากสุดก็คือกังวลว่าเขาฟื้นขึ้นมาจะอาระวาดกับนางหรือไม่ก็ตนเองหาใช่สตรีคนรักของเขานี่นาไม่กลัวนางคงขวัญกล้าบ้าบิ่นเกินคนไปแล้ว   "องค์ชายหกนั้นทรงรู้สึกอันใดบ้างเจ็บปวดตรงใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"   เจียงเหวินไถ่เขากำลังเรียบเรียงความทรงจำของตนเองว่าก่อนจะหมดสติไปเขานั้นเผชิญกับอันใดบ้าง แล้วภาพของการล่ากวางดาวก็ค่อยๆ หวนคืนมาเป็นฉากเป็น ตอน จนมาถึงช่วงหนึ่งที่มีเสียงเรียกของเจียงเหวินหรงองค์ไท่จื่อวัยยี่สิบเอ็ดหนาวผู้เป็นน้องชายตะโกนให้เขาระวังด้านหลัง   จากนั้นความเจ็บก็พุ่งฉิวขึ้นที่ใต้ดวงตาข้างซ้าย และตามมาที่หัวไหล่อีกหนึ่งสายจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังตกลงมาจากหลังอาชาคู่ใจ แล้วความมืดก็แทรกเข้ากลืนกินสติทันที   …เขาถูกลอบสังหารอีกแล้ว!…   "องค์ชายทรงถูกคมธนูเคลือบพิษเจ็ดราตรีแตกสลายพ่ะย่ะค่ะ หนึ่งดอกที่หัวไหล่ด้านซ้ายอีกหนึ่งพุ่งเฉียดที่ใต้ดวงตาด้านซ้ายเช่นกัน ที่หัวไหล่กระหม่อมนั้นขจัดพิษได้แล้วทว่าที่ใต้ดวงตานั้นกระหม่อมยากจะวางใจ บัดนี้องค์ชายมองเห็นปกติหรือไม่"   คำถามย้ำเตือนของท่านหมอหลวงฮัวเฉิงฉีดึงสติขององค์ชายหกให้กลับคืนมาในห้วงเวลาตรงหน้า เขากะพริบดวงตานั้นอยู่หลายครั้งแต่ผลที่ได้ก็ยังคงเป็นมืดมนเช่นเดิม ความหวาดกลัวจึงถาโถมกัดกินดวงใจแกร่งมิใช่น้อย   "ข้า...มองอันใดไม่เห็น"   ท่านหมอหลวงหนุ่มจึงเรียกให้ขันทีถงเยี่ยนเร่งไปเปิดหน้าต่างทุกบานจนแสงสว่างกระจ่างเต็มห้องก่อนที่จะเรียกหาโคมไฟมาส่องจนใกล้ดวงตาของเจียงเหวินไถ่ แล้วเขาก็อุทานสบถคำไม่บังควรออกมาหนึ่งประโยค เพราะในที่แสงสว่างน้อยดวงตาขององค์ชายหกนั้นก็ดูเป็นสีดำปกติ แต่เพียงถูกแสงสว่างเท่านั้นกลับกลายเป็นสีม่วงเข้มไปทันควัน!   …พิษกระจายถึงดวงตาเสียแล้ว…   "เป็นเช่นไรหรือท่านหมอฮัว ดวงตาของอาไถ่นั้นมีปัญหาใดกันแน่เร่งกล่าวมาเถิด"   เหลิ่งเหม่ยจูนางเร่งถามถึงอาการของหลานชายที่นางรักเสมือนลูก ซึ่งเพราะมีเขานางจึงไม่ยอมแต่งงานใช้ทั้งชีวิตดูแลเพียงหลานชายคนเดียวดังนั้นพอเห็นว่าท่านหมอหลวงหนุ่มรุ่นพี่เขาดูร้อนนผิดวิสัยนางย่อมใจคอไม่ดี   "เกรงว่าพิษที่บาดแผลใต้ดวงตาด้านซ้ายจะควบคุมไม่ทัน กลืนกินดวงตาทั้งสองข้างขององค์ชายหกไปเสียแล้ว"   ซึ่งหากเขาเป็นผู้มารักษาเจียงเหวินไถ่ตั้งแต่แรกเริ่มมันจะไม่เป็นเช่นนี้แต่จะโทษผู้ใดสักผู้ก็คงต้องโทษไปที่ฮ่องเต้ที่มัวแต่เกรงอกเกรงใจฮองเฮากว่าจะมาเยี่ยมเยือนองค์ชายหกได้และรู้ว่าที่แท้เขาถูกพิษเดียวกับมารดาก็ผ่านเลยไปหลายวัน ดังนั้นพิษร้ายจึงกระจายไปทั่วดวงตาทั้งสองข้างขององค์ชายหกเจียงเหวินไถ่จนยากจะแก้ไขไปเสียแล้ว   "นางอสพิษชั่วผู้นั้น"   เหลิ่งเหม่ยจูนางกำหมัดกัดฟันจนหัวไหล่สะท้านภายในใจนั้นท่วมไปด้วยเพลิงโทสะสูงล้ำทว่ามิอาจไปชำระแค้นได้ในเมื่อแม้แต่ฮ่องเต้ยังเกรงใจสกุลเฝิ่งและสกุลจงพรรคพวกของนางอรสพิษเช่นฮองเฮาเฝิ่งลี่ฮวาชั่วช้าผู้นั้นเลย แล้วนางที่มีเพียงสำนักคุ้มภัยขนาดกลางจะเอาอำนาจใดไปต่อกรกับสองตระกูลใหญ่ไปได้   "หมายความว่าเช่นไรกัน ท่านหมอหลวง อันใดคือพิษกลืนกินดวงของของข้าหรือท่านเร่งอธิบายมาให้กระจ่างบัดเดี๋ยวนี้!"   ทั้งชีวิตของเจียงเหวินไถ่เขาไม่เคยร้อนรนได้เท่าวันนี้เพียงตื่นขึ้นมาไม่ถึงสองเค่อเลยด้วยซ้ำ ซึ่งท่านหมอหลวงหนุ่มพอต้องกล่าวความจริงอันเลวร้ายให้แก่คนไข้สูงศักดิ์ได้รู้แจ้งก็ลำบากใจอึกอักไปครู่หนึ่งเลยทีเดียวแต่สุดท้ายคนผู้พบเจอเหตุการณ์ร้ายของคนไข้มาไม่น้อยก็ทำใจได้   "เกรงว่าจะต้องแจ้งข่าวร้ายแก่องค์ชายหกแล้วพ่ะย่ะค่ะคือ..."   แล้วฮัวเฉิงฉีนั้นก็อธิบายอาการต่างๆ ให้บุรุษผู้โชคร้ายต้องอยู่ในโลกมืดมนเพียงวัยแค่ยี่สิบห้าหนาวเท่านั้นได้ทราบ อนาคตอันรุ่งโรจน์ของเจียงเหวินไถ่สิ้นลงดังแสงเทียนถูกน้ำสาดเข้าโครมใหญ่ไร้หนทางที่จะคืนกลับอีกต่อไป เขาจึงยากจะทำใจยอมรับได้โดยง่าย  "ไม่!...ไม่จริง....มันต้องไม่จริง!"   ซึ่งเป็นผู้ใดก็คงยากเย็นที่จะยอมรับต่อความพิการเพียงสลบไปหนึ่งตื่นฟื้นคืนกลับก็พบว่าตนเองสูญเสียดวงตาไปแล้วทั้งสองข้าง จากโลกสดใสก็พลันมืดมนย่อมมิอาจทนรับไหวโดยง่าย   "ไม่...ม๊าย..."   ...โครม!...เพล้ง!...   "อาไถ่ ใจเย็นลงก่อน อาไถ่"   ในยามนี้แม้แต่สตรีซึ่งเขาเคารพประดุจมารดาก็ยังมิอาจห้ามปรามความโศกเศร้ากับพายุอารมณ์ของคนสูญเสียดวงตาไปได้ ถึงจะเพิ่งฟื้นร่างกายนั้นอ่อนแอมากแต่คนอ่อนแอก็กวาดทำลายข้าวของแตกหักไปหลายสิ่ง เพ่ยฉิงเซียงถูกจางลี่และเข่ออิงดึงหลบออกมาเสียจากเหตุการณ์วุ่นวายอันตรายภายในห้องนอนกว้างใหญ่ได้ทัน   “ดวงตาของข้า…ดวงตาของข้า”   เขากล่าวพึมพำด้วยยากจะทำใจสองมือกอบกุมใบหน้าทุกทรมานกว่าตายเป็นเช่นไรวันนี้องค์ชายหกเจียงเหวินไถ่นั้นได้ซาบซึ้งไปถึงก้นบึ้งของหัวใจแล้ว   เพ่ยฉิงเซียงนางต้องปล่อยให้เหลิ่งเหม่ยจู ท่านขันทีถงเยี่ยนกับองครักษ์เงาทั้งสองและท่านหมอหลวงฮัวเฉิงฉีนั้นช่วยกับสยบคนคลั่งภายในห้องหอกันไปเอง และราตรีนั้นกับอีกหลายราตรีต่อมาเพ่ยฉิงเซียงนางก็ต้องไปนอนยังห้องรับรองของตำหนักปล่อยให้ขันที่ถงเยี่ยนดูแลผู้เป็นนายของตนเองไป   เพราะเหลิ่งเหม่ยจูนางเกรงว่าหลานสะใภ้อาจจะได้รับอันตรายจากโทสะของหลานชายที่คุ้มดีคุ้มร้ายอารมณ์ไม่คงที่ยิ่งกว่าสตรีเป็นระดูถึงเจ็ดส่วน ในช่วงนี้นั่นเอง  ยิ่งพอเรื่องราวที่องค์ชายหกพิการดวงตามืดบอดขยายวงกว้างออกไปมีผู้คนมากมายคิดอยากมาเยี่ยมเยียนซึ่งอันที่จริงล้วนอยากมาเห็นให้แน่แก่ใจว่าเขานั้นพิการจริงหรือไม่อารมณ์ของเจียงเหวินไถ่ก็ร้ายกาจเพิ่มพูน เพราะคนปกติหนึ่งคนต้องพิการก็เพราะแรงฤทธิ์พิษริษยาของสตรีร้ายกาจเช่นฮองเฮาเข้าจนได้เขายากจะทำใจยอมรับไหวจริงแท้   ดังนั้นผ่านไปอีกเจ็ดวันฮ่องเต้จึงออกราชโองการแต่งตั้งให้องค์ชายหกเจียงเหวินไถ่นั้นได้ขึ้นเป็นอันหนิงหวางแล้วไปปกครองแคว้นหนิง ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงถึงสองพันลี้เหตุผลแรกก็คืออยากให้บุตรชายตนเองเร่งออกไปให้ห่างไกลเสียจากเฝิ่งฮองเฮาและคนของสกุลจงและสกุลเฝิ่งโดยเร็ว   กับสองอยากชดเชยความรู้สึกผิดบาปที่นับตั้งแต่มารดาของเจียงเหวินไถ่เขาก็มิอาจปกป้องได้จวบจนมาถึงบุตรชายก็ยังมิอาจช่วยอันได้อีกครั้งจนเขาต้องพิการดวงตามืดมน ความเป็นบุรุษบนบัลลังก์มังกรนี้แสนจะอาภัพอับเฉาอย่างยิ่ง   แต่อาดูรไปย่อมมิอาจแก้ไขอันใดไปได้มีเพียงเร่งป้องกันเอาตัวเจียงเหวินไถ่ออกไปให้พ้นการแก่งแย่งนี้เสียหาไม่แม้แต่ชีวิตของบุตรชายอาภัพก็อาจไม่เหลือ สู้มอบที่ทางแล้วไล่เขาไปให้ไกลนั่นจึงปลอดภัยกว่าซึ่งพอคนพิการทรงทราบก็หัวเราะราวคนเสียสติอยู่ครู่ใหญ่   "ดี!...ดียิ่ง"   ใช้งานเขาจนคุ้มพอหมดประโยชน์ก็ขับไล่ไสส่งกันไปไกลถึงแคว้นหนิงที่แสนจะธุระกันดาร นั่นว่าเจ็บปวดแล้ว แม้นแต่สตรีซึ่งเขารักปักดวงใจนางก็ตบแต่งไปให้แก่น้องชายเขาไปเสียแล้ว เพียงเขาสิ้นวาสนาใหญ่สมใจนาง เพ่ยอิ๋งจูนั้นก็ทอดทิ้งจากลา ส่งเพียงพี่สาวต่ำต้อยมาขัดตาทัพแก้หน้าแทนตนเอง  "เตรียมรถม้า ข้าจะไปพบไท่จื่อเฟยเพ่ยอิ๋งจู"   ซึ่งต่อให้เหลิ่งเหม่ยจูนางเพียรห้ามปรามหลานรักเพียงใดไม่ให้เขาเข้าไปวุ่นวายกับคนที่กลายเป็นของบุรุษอื่นแล้วแต่ผู้ดื้อด้านเงียบเช่นเจียงเหวินไถ่มีหรือจะฟัง สุดท้ายเขาก็ไปพบสตรีใจเหี้ยมเช่นเพ่ยอิ๋งจูจนได้   "องค์ชายหก...เอ่อ...ท่านอ๋องหก"   แล้วก็มิได้ผิดไปจากที่เจียงเหวินไถ่เขานั้นได้คาดเดาเอาไว้แต่แรก มุมปากสวยกดโค้งขึ้นเพราะต่อให้เขาดวงตามืดบอดแต่ดวงใจเขายังปกติดี วันนี้ที่ดื้อรั้นผู้เป็นมารดาคนที่สองเช่นท่านน้าเหม่ยจูจนมาพบสตรีสองใจนางนี้ให้ได้เหตุผลเดียวของเขาก็คือ...   ...หากคิดตัดใจมันก็ต้องอำมหิตต่อตนเองให้ถึงแก่น!...   "ทรงต้องฟังหม่อมฉันนะเพคะท่านอ๋องงหก ที่เรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็เพราะ....ก็เพราะท่านย่าเพคะ ท่านย่านั้นรักฉิงเซียงมากในวันที่ราชโองการตกไปที่จวนเพ่ย ท่านจึงเช่นเล่ห์เพทุบายใช้โอกาสที่บันทึกสกุล ฉิงเซียงนางเกิดก่อนหม่อมฉันสามวันมาเป็นข้ออ้างเพคะ "   แล้วเจียงเหวินไถ่เขาก็อดทนฟังสตรีไร้ยางอายเช่นเพ่ยอิ๋งจูนางได้เล่นเล่ห์ตลบตะแลงแสดงงิ้วเข้าใส่ พร้อมกับใส่ร้ายป้ายสีได้แม้แต่ท่านย่าของตนเองอยู่นานเป็นครึ่งชั่วยามก็หมดสิ้นอาลัยรักต่อสตรีเช่นเพ่ยอิ๋งจูได้เสียที   "เจ้าคิดว่าท่านน้าเหม่ยจูเลี้ยงข้าจนเติบใหญ่มาด้วยหญ้าแทนข้าวหรือไรอิ๋งจู?"   "???!!!"   แน่นอนว่าเพ่ยอิ๋งจูนางเจอคำถามที่คาดไม่ถึงก็เลยอ้าปากค้างไปเลย ก็น้ำเสียงเหี้ยมเกรียม กิริยานิ่งสงบกับใบหน้ากร้าวกระด้างตรงหน้าที่พบพานอดีตองค์ชายหกเช่นเจียงเหวินไถ่เช่นนี้นางมิเคยแลเห็นมาก่อนนั่นเองพอพบพานจึงถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วคราว   "คิดว่าข้าดวงตามืดมนดวงใจก็ต้องมืดมนตามไปด้วยหรือ?"   "!!!"   เป็นอีกครั้งที่สตรีเช่นเพ่ยอิ๋งจูรับมือกับคำพูดร้ายกาจนั้นของบุรุษที่เคยคลั่งไคร้รักนางหนักหนามิได้เลยสักนิด เจียงเหวินไถ่ส่งมือให้แก่ถงเยี่ยนช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นยืนเตรียมจากลาสตรีไร้ค่านางนี้เสียที ก็เสียดวงตาไปแล้วเขาย่อมมิยินดีสิ้นศักดิ์ศรีอีกเด็ดขาด   "ที่ข้ามาวันนี้ตั้งใจว่าหากเจ้าสารภาพเอ่ยความจริงออกมาว่าที่แท้เจ้ามิอาจตบแต่งให้แก่ข้าได้เพราะข้านั้นเป็นคนป่วยใกล้ตายมากกว่าอยู่ สิ้นแล้วอำนาจวาสนาสมใจเจ้าข้าก็ตั้งใจว่าจะอภัยและเป็นสหายกับเจ้าได้อยู่บ้างเช่นไรเจ้าก็ยังเป็นน้องสาวของภรรยาข้าคงยากจะตัดกันขาดในฐานะของญาติสนิทแต่..."   "..."   "เจ้ามันตลบตะแลงใส่ร้ายป้ายสีได้แม้นแต่ท่านย่าตนเอง เฮอะ!...ข้าไม่เคยรู้สึกดีใจอันใดเท่ากับที่สุดท้ายพระชายาหกนั้นหาใช่เจ้า เพราะสตรีตลบตะแลงก็เหมาะสมกันดีกับบุรุษอ่อนแอเกาะเพียงชายกระโปรงมารดาเช่นเจียงเหวินหรง...ขอบน้ำใจเจ้านักที่จับเพ่ยฉิงเซียงส่งไปเป็นพระชายาหกเพราะข้า...พึงใจต่อสตรีสมองเฉื่อยแต่นางก็มากมีคุณธรรมผู้นั้นอย่างยิ่ง ไปกลับกันเถิด ถงเยี่ยน ลู่เซิน"   หากจะนิยามกิริยาของไท่จื่อเฟยเพ่ยคงมีเพียง'กลายเป็นก้อนหิน'ไปแล้วนั่นคงถูกต้องที่สุดก็ผู้ใดจะไปคาดถึงว่าบุรุษซึ่งเคยอ่อนโยนพูดจาแต่ละประโยคแสนจะนุ่มหูวันนี้เขากลับด่าคนได้เป็นชุด จนใส่คะแนนมิทันเช่นเมื่อครู่   "กรี๊ด!...เจียงเหวินไถ่...ไอ้คนชั่ว เจ้าคนโง่!"   กว่านางจะได้สติกรีดร้องด่าทอลืมรักษากิริยาของสตรีชั้นสูงก็คาดว่าเจียงเหวินไถ่นั้นเขาคงเดินไปไกลจนอาจขึ้นรถม้าแล้วก็เป็นไปได้   ซึ่งพอกายสูงใหญ่ซึ่งซูบโทรมไปมากจากที่หมดสติไปร่วมเดือนก็เอนพิงกับผนังของรถม้าปิดเปลือกตาลงถึงแม้ว่าปิดหรือเปิดขึ้นการมองเห็นก็มิต่างกันก็ตาม   "ก็คงมีเพียงมาเห็นธาตุแท้ของนางเช่นนี้นี่แหละข้าจึงจะเจ็บจนชาไปได้"   คนที่เคยรักใคร่จะตัดใจลงเพียงหนึ่งวันหรือเวลาอันสั้นย่อมยากจะเป็นไปได้ แต่วันนี้เขามากรีดดวงใจตนเองให้แผลมันเปิดกว้างเสียจะใส่ยาเสียเพราะแผลกว้างจึงง่ายกว่าแผลปิด เวลาในการรักษาย่อมไม่นาน   ถึงดวงตาเขาจะมืดมนก็มิใช่ชีวิตจะต้องจมอยู่กับความเสียใจเนิ่นนานไปทั้งชีวิต เพราะเขายังมีคนที่รักตนเองอยู่อย่างน้อยก็ท่านน้าเหม่ยจูกับขันทีถงเยี่ยนกับสององครักษ์ข้างกายเช่นลู่เซินและซ่งซีเหล่ย จะมัวจมกับอดีตหวนคิดแต่เสียดายสิ่งที่มิอาจกลับมาได้ใหม่ก็ดูชีวิตเกิดมาออกจะสิ้นไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์เกินไป   ชีวิตของคนเรามีเพียงวันนี้และพรุ่งนี้อดีตเก็บไว้เป็นสิ่งเตือนสตินั้นได้แต่จมกับมันมิได้เด็ดขาด เขาต้องก้าวต่อไป ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถึงจะน้อยใจบิดาอยู่มากแต่ก็เข้าใจว่าฮ่องเต้ที่มอบฐานะหวางผู้หนึ่งเป็นท่านอ๋องกับแคว้นหนึ่งให้เขาปกครองก็ถือว่าท่านทรงทำดีที่สุดแล้วในฐานะบิดาคนผู้หนึ่งเขายอมรับได้   …อำนาจวาสนาแก่งแย่งคงไม่เหมาะกับชายตาบอดเช่นข้าแล้ว…   "พรุ่งนี้พวกเจ้าจงคุมคนเก็บข้าวของได้แล้วอีกไม่เกินหนึ่งเดือนทุกสิ่งต้องพร้อมข้าจะย้ายไปแคว้นหนิงเสียที เมืองหลวงนี้ไม่เหมาะกับบุรุษไร้ดวงตาเช่นข้าแล้ว"   เมื่อถงเยี่ยนมาส่งเขาถึงห้องนอนเจียงเหวินไถ่เขาจึงเอ่ยสั่งการทุกสิ่งเช่นที่เขาตรึกตรองมาหลายวันพอวันนี้ตัดใจจากเพ่ยอิ๋งจูได้เด็ดขาดเขาจึงตัดสินใจจะย้ายไปเริ่มต้นใหม่ที่แคว้นหนิงทันทีไม่รั้งอยู่ให้ชีวิตย่ำแย่ไปกว่านี้   "อ้อ ช่วยตามพระชายาเพ่ยมาพบข้าด้วย ตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมา นางก็เอาแต่ดูแลไม่เคยพูดจากันด้วยดีสักครั้งออกจะเกินไปหน่อย"   ถึงเขาตาบอดสนิทแต่ย่อมจดจำสัมผัสและจังหวะลมหายใจของคนที่คุ้นเคยได้ดังนั้นในยามสตรีแปลกหน้านางเข้ามาช่วยดูแลตนเองโดยไม่พูดไม่จาไม่แสดงตัวถึงเขาไม่เคยพูดหรือถามทว่าเขาที่มีวรยุทธ์ย่อมรับรู้ได้   เช่นไรก็ตบแต่งกันแล้ว นางก็เป็นภรรยาของเขาไปแล้วความจริงนี้มิอาจหนีพ้น เช่นนั้นก็มาพูดจาตกลงใช้ชีวิตร่วมกันด้วยดีจึงเป็นทางออกระหว่างเขากับนาง แต่ก่อนอื่นคงต้องสอบถามนางให้แน่แก่ใจว่านางยินดีจะไปตกระกำลำบากเป็นเพียงภรรยาท่านอ๋องตกยากแถมพิการดวงตามืดมนกับเขาที่ชายแดนหรือไม่   เพราะการเป็นภรรยาของชายตาบอดสนิทมิใช่สิ่งสบายนักหรอก ยิ่งเขาหาใช่องค์ชายที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไปอยู่แคว้นหนิงเห็นทีคงต้องทำนาปลูกข้าวเช่นชาวบ้านชาวเมืองแห่งนั้นเช่นกันแล้ว นางจะทานทนไหวหรือไม่นั่นแหละปัญหา   "หากนางคิดแยกจากก็คงต้องปล่อยนางไป ก็ขนาดสตรีที่เคยกล่าวว่ารักข้ามั่นคงยังเปลี่ยนไปจะโทษนางเห็นทีจะไม่ได้"   ...นั่นคือความคิดของอันหนิงหวางผู้มีดวงตามืดมนทว่าดวงใจของเขากลับมิเคยสิ้นแรงที่จะยืนหยัด....  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD