บทที่4///เพคะ!
ก๊อกๆ
เพียงครู่เสียงเคาะประตูอย่างเป็นทางการก็ดังขึ้นบอกแก่เจียงเหวินไถ่ว่าคนที่ตนต้องการจะเจรจาด้วยนางมาถึงแล้วซึ่งก็นับว่าเร็วไวพอใช้ได้
"เข้ามาได้"
เสียงทรงพลังดังกังวานอนุญาตสิ้นลงเพ่ยฉิงเซียงนางจึงก้าวเข้าไปในห้องนอนกว้างขวางของพระสวามีด้วยกิริยาระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะเรื่องที่อันหนิงหวางเขาตรงไปตำหนักตงกงเพื่อไปพบเพ่ยอิ๋งจูนั้นนางเองก็ทราบจึงคาดเดาไปทั่วทิศแล้วว่าบางทีเขาอาจเรียกพบนางก็เพื่อจะปลดนางจากฐานะอันหนิงหวางเฟยก็เป็นไปได้ผู้ใดจะไปคาดถึง แต่จะเป็นเช่นไรนางก็จะยอมรับมัน
“อันหนิงหวาง”
พอเข้ามาถึงด้านหน้าเตียงนอนที่มีร่างของบุรุษผู้มีฐานะเป็นพระสวามีนั่งอยู่เพ่ยฉิงเซียงก็ย่อกายทำความเคารพต่อให้ทราบว่าอีกฝ่ายนั้นล้วนมองไม่เห็นก็ตามแต่ถึงเขามองไม่เห็นทว่านางย่อมรู้แจ้งถึงทุกการกะทำของตนเองอยู่แล้ว จึงรู้รักษามารยาทเคร่งครัด
ทว่า นาง ยืน หายใจทิ้งอย่างสงบเสงี่ยมเจียนตนอยู่ครู่ใหญ่'พระสวามี'ของนางก็ยังนั่งปั้นหน้าตึงแผ่นหลังตั้งตรงคล้ายกับว่าเขานั้นกำลังมองเลยจับจ้องไปยังด้านหน้าประตูที่ตนเองเพิ่งผ่านเข้ามาแล้วปิดเรียบร้อยไปแล้วเมื่อครู่นี้จนนางนั้นแสนจะเป็นห่วงพระสวามีเหลือเกินว่าเขานั้นอาจกลายเป็นก้อนหินเอาได้
ส่วนทางด้านเจียงเหวินไถ่นั้น เขากำลังคิดว่า ตนเองสมควรจะต้องทดสอบบางสิ่งบางกับพระชายาผู้ถูกบิดานั้นจับนางยัดมาให้เขาอย่างมิทันตั้งตัวผู้นี้สักหน่อยดีหรือไม่ เพราะเช่นไรนางก็คือพี่สาวของเพ่ยอิ๋งจูผู้นั้น สตรีที่สร้างบาดแผลยิ่งใหญ่ภายในใจของตนเอง พอคิดตกเช่นนั้นเขาจึงเริ่มเจรจากับนางทันที
“เจ้าจะยืนหายใจรดศีรษะของข้าอีกนานหรือไม่หรือว่าในยามเจ้าขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวมานั้นดันลืมก้นเอาไว้ที่จวนสกุลเพ่ยเสียแล้ว?"
...อึก...
ช่างเป็นประโยคทักทายแรกแสนประทับจิตประทับใจระหว่างพระสวามีที่ทักทายพระชายาเสียนี่กระไรอันที่จริงนางก็มิได้คาดหวังว่าอันหนิงหวางนั้นจะพูดจาดีกับตนก็นะ...น้องสาวของนางสร้างความเจ็บช้ำและอับอายให้เขาเอาไว้ใช่น้อยนางที่เปรียบเสมือนตัวแทนของเพ่ยอิ๋งจูมายืนตรงหน้าเขาหรือจะออมมือกับนาง
"นั่งที่พื้น"
พอเพ่ยฉิงเซียงนางขยับเก้าอี้คนตาบอดดันหูดีเลยตวาดมาอีกประโยคเก้าอี้ในมือของเด็กสาวแทบหลุดมือ นอกจากถูกพิษร้ายของงูทะเลทรายแล้วอันหนิงหวางนี้เขาไปติดเชื้อพิษสุนัขบ้ามาด้วยหรือไร
...ดุดันเก่งกาจเสียจริง....
“เอาละเรามาคุยกันหน่อยดีหรือไม่”
...จะคุยหรือจะสั่งความเพคะท่านอ๋องหก?...
พอนางนั่งพับเพียบร้อยประหนึ่ง'อีเย็น'ในละครยอดฮิตเรื่องนางทาสท่านเจ้าคุณพี่เอ๊ย...พระสวามีก็เริ่ม'ลงดาบ'สับสังหารนางทันที ยิ่งมองเห็นเขาดึงหน้าจนตึง นางก็ยิ่งเป็นห่วงกลัวว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นจะเป็นตะคริวแต่จะเตือนก็เกรงใจจึงทำได้เพียงนั่งสงบเก็บคองอเข่าระแวงภัยต่อไป
“เจ้าจะนั่งแข็งทื่อเป็นก้อนหินเช่นนี้อยู่อีกนานหรือไม่...ไม่รู้ว่ามารดาของนั้นมิเคยสั่งสอนหลักก่อนออกเรือนให้แก่เจ้าบ้างหรือไม่”
...สวรรค์มันเถิด...
"ขออภัยนะเพคะ คือ...ท่านแม่ของอาเซียงนั้นมิทราบได้ว่าคิดเช่นไรพอคลอดหม่อมฉันได้สามวันก็เร่งคืนสวรรค์ไม่ห่วงใยบุตรสาวสักนิดเพคะ...เฮ้อ...ช่างเป็นมารดาที่ไม่รับผิดชอบเอาเสียเลย"
"เจ้า!!!"
...หึ!...
หากกว่าคำพูดจากับนางด้วยดีเพ่ยฉิงเซียงนั้นล้วนดีด้วยทว่ามาตั้งป้อมหนึ่งคำก็จิกสองคำก็ข่วน พอเอ่ยประโยคที่สี่ที่ห้าก็ลามปามไปไกลถึงมารดานางก็เป็นคนมีหัวใจเคารพมารดาเช่นกัน กัดมานางไม่คิดจะกัดตอบแต่...นางจะเตะปากคน!...
"ยอกย้อนเก่งกาจเช่นนี้มิแปลกใจสักนิดที่มารดาของเจ้าเบื่อหน่ายเร่งหวนคืนสวรรค์ เอาเถิดข้าจะนับว่าเจ้ามันคนอาภัพแม้นแต่มารดาก็ยังมิต้องการจะอยู่สั่งสอน นับจากนี้ข้าเป็นสามีที่ดีจะเข้มงวดต่อเจ้าเอง"
...ต้องสำนึกบุญคุณสินะเพคะท่านอ๋อง...
นางว่าหน้าตาของเขานั้นปั้นแต่งจนดุดันข่มขวัญนางมากแล้วในยามเขาเอ่ยคำน้ำเสียงนั้นกลับเพิ่มพูนความโหดเหี้ยมยิ่งขึ้นไปอีกหลายสิบส่วน แต่นางก็ใช่จะเกรงกลัวคิดว่าในภพนี้ที่จวนสกุลเพ่ยนางอยู่มาได้นั้นง่ายดายหรือไร แค่สวามีตาบอดอารมณ์ร้ายนางไม่หวั่นอยู่แล้ว
...ถ้าหากเขาจะไม่ปลดนางในเร็ววันนี้น่ะนะ...
เพราะอย่างน้อยบัดนี้นางก็พอจะมองเห็นหนทางทำมาหาเลี้ยงชีพตนเองในฐานะพระชายาเอกของอันหนิงหวางแล้ว อาจจะดูเหมือนนางหน้าด้านหน้าทนซึ่งก็...จริง...เพราะหากนางถูกปลด สินเดิมเพียงสามสิบตำลึงเงินกับเสื้อผ้าเก่าๆ อีกสามชุด สตรีหลงภพไร้ญาติขาดมิตรคงมิใช่จะอยู่ได้โดยง่ายเลย
ครั้นคิดกลับจวนสกุลเพ่ยเกรงว่าจะยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้นไม่คิดหน้าด้าน เกาะสามีตาบอด ที่พอจะมีเกราะอยู่บ้างจะให้นางโง่งมหอบอาภรณ์สามชุดกับเงินสามสิบตำลึงเงินไปอดตายที่ข้างถนนหรือไรเล่า?
“ขยับเข้ามาสิจะนั่งตรงนั้นให้ข้าตะโกนจนเจ็บคอหรือไร?!”
...อยากกล่าวยิ่งนักว่าเพียงการนั่งเขาก็สามารถด่านางไปหลายเล่มเกวียนเอาดีๆ เขาจะเรียกนางมาด่าทอเอาสนุกหรือไรแต่...ดูจากสีหน้า..ใครจะบังอาจไปถามกัน!...
เพ่ยฉิงเซียงนางขยับเข้าไปนั่งจนใกล้ในระยะที่เรียกว่าหัวเข่าของตนเองนั้นแทบจะขึ้นไปเกยอยู่บนหลังเท้าของเจียงเหวินไถ่อยู่แล้ว
ก่อนที่นางนั้นจะอาศัยว่าเขาตาบอดจึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตากึงโมโหกึ่งระอาเสร็จก็คิดในใจว่าเขานั้นช่างร้ายกาจกว่าเป็ดในเล้าที่ตนเลี้ยงเอาไว้ยังท้ายตำหนักของเขาเสียอีกเพราะตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้เขาก็คิดแต่จะจิกกัดนางไม่หยุด!
"ขยับออกไปอีกหน่อยเจ้านั่งจนชิดถึงเพียงนี้มิขึ้นมานั่งบนศีรษะของข้าเสียเลยเล่าฉิงเซียง"
...เฮ้อ!...
ตกลงแล้วบุรุษอารมณ์แปรปรวนผู้นี้เขาคิดตกแต่งนางมาเป็นภรรยาหรือเป็นนางทาสกันแน่เล่า...แต่นางก็ทำได้เพียงคิดถกเถียงอีกฝ่ายได้แค่เพียงภายในใจเท่านั้นหลังจากตั้งสติกลับมาได้ใหม่อีกครั้งนางก็ทำตามที่พระสวามีที่อายุคราวท่านอาสั่งทันที
ด้วยว่านางนั้นยามนี้หาได้มีที่ไปแถมเงินทองของมีค่าติดตัวนั้นก็มีน้อยนิดหากมิอยากดับอนาถยังภายนอกตำหนักหนานเฉิงแห่งนี้หรือบางที่อาจโชคร้ายถูกพวกเหล่าพ่อค้าทาสจับไปขายเข้าอีกหากนางเกิดคิดหนีออกไป ที่สำคัญบัดนี้นางมีเป้าหมายที่จะดำรงชีพด้วยการใช้พรสวรรค์ด้านการปลูกพืชผักเติบโตเร็วไวอีกด้วยจำต้องอดทนให้เขาโขกสับไปก่อน
“ดี!...ข้าไม่ชอบคนดื้อดึงแล้วก็เรื่องมากยิ่งปากมากชอบโต้เถียงข้ายิ่งเกลียด”
...เช่นนั้นไยเขาจึงไม่คิดตบแต่งเอาสตรีเป็นใบ้มาเป็นพระชายาเสียเลยเล่า...
แต่เพ่ยฉิงเซียงนางก็ยังคงทำได้เพียงคิดนินทาเพียงในใจเท่านั้นเพราะสุดท้ายนางก็คิดปลงตกต่อความโชคร้ายมากกว่าความโชคดีของตนที่ต้องมาเป็นพระชายาของเจียงเหวินไถ่ท่านอ๋องหกผู้มีดวงพิการเช่นนี้คิดตกเช่นนี้นางก็ก้มหน้ามองมือตนเองอย่างสงบและเริ่มยอมรับชะตากรรมตนเองได้มากขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้พอสมควร
...อดทนอีกสักนิดพอมีหนทางไปนางจึงค่อยว่ากัน...
คนหลงภพได้แต่ท่องบ่นตักเตือนตนเองเช่นนี้มาหนึ่งหนาวแล้วและคงต้องเตือนกันไปอีกสักระยะเพราะในยามอยู่จวนสกุลเพ่ยนางแทบไร้โอกาสออกไปภายนอกจวน แต่ที่นี่กับสถานะพระชายาเอกที่ตนเองครอบครองกลับช่วยให้นางได้ออกไปศึกษาแนวทางค้าขายสะดวกอย่างยิ่ง
“ที่ข้ายังไม่ปลดเจ้าจากตำแหน่งพระยาชานั้นเจ้าพอจะรู้เหตุผลหรือไม่เล่าฉิงเซียง?”
...อ้าว?...
เขาไม่คิดบอกกล่าวแล้วนางจะไปกล้าสอบถามได้อยู่หรือ ทว่าพอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายคำพูดทั้งหลายนางล้วนเร่งกลืนลงท้องแล้วค่อยรับคำอย่างสงบเสงี่ยมเป็นที่สุด...อีกครั้ง...
“มิทราบเพคะ”
นางเอ่ยรับคำออกไปเพียงคำแสนสั้นเท่านั้นด้วยพูดมากปากสว่างมิใช่นิสัยนางนี่คือเรื่องปกติถามมาตอบไปไม่ถามตนเองก็เพียงก้มหน้าทำงานในมือตนเองไปเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่นางคุ้นเคยกับการพูดบ่นแต่เพียงในใจมากกว่าที่สำคัญการถกเถียงหากนางจะเสียเปรียบย่อมไม่พูดเด็ดขาด!
“ข้ามิได้นึกพิศวาสอยากจะรั้งเอาสตรีซึ่งเป็นพี่สาวของสตรีอีกนางที่หักหลังตนเองเอาไว้ข้างกายนักหรอก"
...จะปลดนางจริงหรือนี่?...
คนกลัวถูกขายไปเป็นชนชั้นทาสบีบมือตนเองแน่นหายใจหายคอไม่สะดวก ความรู้สึกนั้นดังคนกำลังจะจมน้ำเต็มทนเหงื่อกาฬซึมขมับจนต้องเผลอยกมือขึ้นเช็ด
"ยิ่งโดยเฉพาะเจ้านั้นยังมีร่างกายอวบอ้วนหาความงดงามของสตรีชั้นสูงไม่เจอแถมยังไม่รู้ความกิริยามารยาทก็ย่ำแย่ถึงเพียงนี้แน่นอนว่าข้ามิได้เสน่หาต่อเจ้า หากแต่...จะปล่อยเจ้าที่เป็นพี่สาวของสตรีตลบตะแลงเช่นเพ่ยอิ๋งจูนั้นกลับไปสุขสบายข้าก็ทำใจมิได้จริงแท้ จึงคิดว่านับจากนี้ไปเจ้าต้องรับผิดชอบข้าแทนน้องสาวของเจ้าดูแลข้าที่พิการดวงตาบอดสนิทไปจนกว่าข้าจะไม่ต้องการเจ้า”
...โอ้โห...ท่านลงทุนหนักไปหรือไม่เพคะท่านอ๋องหกหากอยากได้คนรับใช้เกรงว่าหากเขามิคิดตบแต่งนางหากแต่รับสาวงามมากมายจะไม่ง่ายกว่ายกนางเป็นพระชายาเอกหรอกหรือ?...
ทว่าก็เช่นเคยนางมิใช่คนชอบพูดจามากไปนอกจากจะยังคงนิ่งฟังอย่างสงบต่อไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดมาขัดคนที่นางแอบเรียกท่านอสุราร้าย แต่ประการใด...
“ไม่ต้องสงสัยไปหรอกอันสาวใช้ทั่วไปข้านั้นย่อมหาได้ไม่ยากเย็นแต่การจะมีสตรีข้างกายที่จะรักษาทุกความลับของข้าโดยมีชีวิตของบิดาและคนสกุลเพ่ยของเจ้าเป็นตัวประกันย่อมดีกว่ามิใช่หรือ”
...ก็เอาที่ท่านอ๋องหกทรงสบายใจจะคิดเลยเพคะฉิงเซียงนั้นเป็นสตรีใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว...
"ช่วงนี้ก็ช่วยถงเยี่ยนและท่านน้าเหม่ยจูควบคุมคนเก็บข้าวของให้ดีอีกหนึ่งเดือนเราจะย้ายไปแคว้นหนิงเป็นการถาวร"
ไปอยู่แคว้นหนิงเป็นการถาวรเช่นนั้นหรือ?เพียงได้ฟังเพ่ยฉิงเซียงนางก็คิดว่าจะต้องเข้าห้องหนังสือใหญ่เพื่อหาข้อมูลสถานที่ซึ่งจะไปอยู่อาศัยทันที
"เพคะ"
ส่วนริมฝีปากก็ขยับรับคำไม่มีบิดพลิ้ว จนเจียงเหวินไถ่เริ่มรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อยที่เอาโทสะความแค้นเคืองต่อเพ่ยอิ๋งจูมาลงชดเชยที่เพ่ยฉิงเซียงแต่ก็...เพียงเล็กน้อยเท่านั้น...
"นับจากราตรีนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเข้ามานอนที่หน้าเตียงเพื่อว่าในยามค่ำคืนข้าต้องการสิ่งใดเจ้าจะได้ดูแลได้ตลอดเวลา"
"เพคะ"
"อาหารของข้ากับของว่างทุกมื้อเจ้าจะต้องเป็นผู้ลงมือทำเอง"
"เพคะ"
"อาภรณ์ของข้าทุกชิ้นเจ้าก็ต้องเป็นผู้ซักเองจนสะอาด"
"เพคะ"
"ปลอกหมอนกับผ้าปูเตียงและผ้าห่มข้าก็ต้องได้ตากแดดอ่อนทุกวัน"
...ฮึม!...โดดถีบขาคู่สวามีนางจะถูกประหารกี่รอบกันนะ?...
"เพคะ"
"เจ้ากล่าวเป็นอยู่เพียงสองคำหรือไร?"
"เพคะ!"
"ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!"
"เพคะ!"
"!!!"
ถงเยี่ยนกับลู่เซินที่บังเอิญได้ยินทุกสิ่งต่างมองหน้ากันแล้วปาดเหงื่ออย่างเงียบงั้นส่วนภายในใจนั้นต่างคิดตรงกันราวกับนั้นว่าท่านอ๋องหกนั้นก็ร้ายส่วนพระชายาหกนางก็ไม่ธรรมดาเลย
…สวรรค์ส่งเสริมจริงแท้คู่นี้…