บทที่2///เตรียมพร้อมไว้จึงปลอดภัย 

2987 Words
บทที่2///เตรียมพร้อมไว้จึงปลอดภัย     จวบจนถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าห้องหอก็เป็นสตรีวัยสามสิบแปดหนาวที่เพ่ยฉิงเซียงนางเพิ่งได้ทราบว่านางนั้นคือท่านน้าน้องสาวโดยแท้ของ เจียงเหวินไถ่ที่เป็นคล้ายแม่นมกึ่งญาติสนิทที่เลี้ยงดูองค์ชายหกมาตั้งแต่เพิ่งได้เจ็ดวันเพราะพระมารดาของเขา ตายลงหลังจากคลอดไม่ต่างกันกับมารดาของเจ้าของร่างนี้เช่นกัน   “เจ้าคงไม่ลำบากใจที่จะนอนร่วมกับคนป่วยหรอกใช่หรือไม่หลานสะใภ้”   ไม่ใช่ว่า’ เหลิ่งเหม่ยจู’ นางจะมิรู้แจ้งว่าเจ้าสาววันนี้หาใช่หญิงคนรักของหลายชายผู้กำลังนอนป่วยสาหัสอยู่บนเตียงนั้น ก็ผู้ใดในเมืองหลวงนี้จะไม่รู้จักคุณหนูเพ่ย บ้าง ส่วนเด็กสาวตัวเล็กนี้ขนาดร่างกายกับผิวพรรณกับฝ่ามือที่บอกชัดเจนว่าเป็นคนซึ่งผ่านการทำงานหนักมาทั้งชีวิต   เจ้าสำนักคุ้มภัย’ ซ่างฉี’ มีหรือจะแยกแยะคนไม่ถูก แต่พอเห็นเช่นนี้สตรีซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อยนั้นกลับพึงใจที่สุดท้ายเจ้าสาวในวันนี้หาไม่เพ่ยอิ๋งจูผู้นั้น   “ไม่ลำบากเจ้าค่ะท่านน้าเหม่ยจู”   พอเข้ามาถึงภายในห้องหอแล้วก็เป็นเหลิ่งเหม่ยจูที่เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้แก่หลานสะใภ้ และเพียงได้ประสานสายตาใสซื่อของเด็กสาวนางก็ถูกชะตาอย่างยิ่ง   "ต่อไปคงลำบากเจ้าแล้วหลายสะใภ้เพ่ย”   เพ่ยฉิงเซียงนางย่อมทราบว่าบัดนี้ตนเองสมควรจะฝากความปลอดภัยไว้ที่สตรีตรงหน้านางจึงคุกเข่าลงไปโขกศีรษะด้วยกิริยานอบน้อม มิคิดมากว่าอันที่จริงบัดนี้นางคือพระชายาหกมีฐานะเหนือกว่าสตรีตรงหน้า เพราะนางเป็นคนไทย ถูกพ่อและแม่สั่งสอนมาว่าให้เคารพผู้ใหญ่อยู่ที่ไหนล้วนไม่ลำบาก   “เด็กโง่ลุกขึ้นเจ้าเป็นถึงพระชายาเพ่ยนะ”   เหลิ่งเหม่ยจูที่พึงใจในตัวเด็กสาวตรงหน้าอยู่แล้วพอเพ่ยฉิงเซียงนางแสดงกิริยารู้ความเช่นนี้กลับยิ่งเอ็นดูหลานสะใภ้วัยอ่อนตรงหน้าเพิ่มพูนเร็วไวขึ้นอีกหลายส่วน   “ที่ลำบากคงเป็นท่านน้าเหม่ยจูที่ต้องค่อยๆ สั่งสอนเด็กโง่เขลาเช่นฉิงเซียงแล้วเจ้าค่ะ”   สตรีมากวัยกว่าถึงกับยิ้มแย้มแก้มแทบแตก ที่ถูกหลานสะใภ้ยกย่อง ผู้ใดกันหนอช่างกล้ากล่าวว่าบุตรีของท่านเจ้ากรมอาญานามเพ่ยฉิงเซียงนั้นโง่เขลาเบาปัญญา มีสมองทึบ ขี้ริ้วขี้เหร่ ที่พบวันนี้นางช่างรู้อยู่รู้ทางว่าตนเองต้องวางตนเองเช่นไรในสถานที่ซึ่งมิใช่บ้านเกิดของนาง   “นี่คือเข่ออิงต่อไปนางจะเป็นองครักษ์ประจำกายของเจ้า ส่วนคนนี้ จางลี่นางจะเป็นนางกำนัลคนสนิทของพระชายาหก ขาดเหลือสิ่งใดหรือมีเรื่องใดที่เจ้าไม่เข้าใจก็สอบถามจากนางหากว่าท่านน้าไม่อยู่ เอาละจางลี่เจ้านำทางพาพระชายาหกไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เถิด”   เด็กสาวเดินตามจางลี่นางกำนัลสาวรุ่นพี่ไปยังห้องอาบน้ำซึ่งออกจะไม่คุ้นชินเท่าใดที่น้องมีคนมาช่วยขัดถูร่างกาย ทว่านางต้องเตือนตนเองว่าบัดนี้เข้าเมืองตาหลิ่วย่อมต้องหลิ่วตาตามหาไม่นางจะอยู่ลำบาก   “มานั่งตรงนี้เถิดวันนี้อาไถ่นั้นมิอาจร่วมผูกผมและดื่มสุรามงคลกับเจ้าได้เช่นนั้นท่านน้าก็จะอยู่ร่วมกินข้าวกับเจ้าแทนก็แล้วก็ จางลี่ เข่ออิง พวกเจ้าเอา ผิงผิง ไปอาบน้ำแล้วเข้าคอกนอนได้แล้ว”   เพ่ยฉิงเซียงนางก็เพิ่งจะรู้แจ้งว่าหมูน้อยตัวอ้วนพีสีชมพูมันมีชื่อแสนจะน่ารักว่า’ ผิงผิง’ วูบหนึ่งที่นางอยากจะขอเอามันมานอนด้วย ทว่าคิดอีกทีสุกรนั้นขับถ่ายไม่เป็นที่ แล้วห้องนี้มีคนป่วยอยู่คงไม่ดีเท่าใด   “ขออาเซียงอุ้มมันสักนิดได้หรือไม่เจ้าค่ะ”   ไม่ได้นอนกอด ก็ขอกอดมันส่งท้ายก่อนไปนอนคงไม่เป็นอันใดกระมัง ซึ่งเหลิ่งเหม่ยจูนางเห็นสายตาละห้อยของหลานสะใภ้ตัวน้อยเช่นนั้นย่อมใจแข็งไม่ลงจึงเรียกให้จางลี่อุ้มผิงผิงมาให้คนดวงตาใสนางได้กอดสักนิด   “ฝันดีนะผิงผิงเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปรับเจ้ามาวิ่งเล่น”   กอดและหอมกันจนพอใจจึงส่งมันไปให้นางกำนัลจางลี่ต่อไป ส่วนนางก็กลับไปล้างมือแล้วจึงมานั่งร่วมโต๊ะกับผู้เป็นท่านน้าของพระสวามีต่อไป   “เจ้าทราบอันใดเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของอาไถ่บ้างเซียงเอ๋อร์”   พอกินข้าวจนอิ่มหนำ เหลิ่งเหม่ยจูนางคิดว่าคงถึงเวลาที่จะต้องบอกความจริงให้เด็กสาวนั้นได้รู้เอาไว้ เช่นไรนี่ก็นับว่าเพ่ยฉิงเซียงนางคือ’ คนใน’ ไปแล้วปกปิดล้วนมิใช่สิ่งถูกต้อง   “ทราบว่าองค์ชายทรงเอากายตนเองปกป้องรับคมธนูแทนองค์ไท่จื่อจนตกม้าเลยบาดเจ็บสาหัสบัดนี้ยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะท่านน้าเหม่ยจู”   นางตอบผู้มากวัยกว่าไปตามที่ทราบมาจากปากของคนอื่นเช่นกันส่วนความจริงนั้นจะเป็นเช่นไรเด็กสาวย่อมมิทราบทั้งสิ้นอยู่แล้ว ซึ่งเหลิ่งเหม่ยจูนางย่อมรู้ว่าเพ่ยฉิงเซียงนางมิได้โกหก ก็ระดับนางที่เป็นเจ้าสำนักคุ้มภัยมีหรือจะไม่สืบความเบื้องหลังของสตรีซึ่งจะมาเป็นคู่ชีวิตของหลานชายคนเดียว   “ความจริงกับสิ่งที่เห็นล้วนแตกต่าง”   จากนั้นความจริงอันเหี้ยมโหดของราชวงศ์ที่ต้องแก่งแย่งช่วงชิง ต่อให้ต้องสังหารผู้ใดไปบ้างหรือเหยียบอยู่บนศีรษะผู้ใดไปบ้างเหล่าคนเบื้องหลังกำแพงสูงเสียดฟ้าที่มีนามว่าวังหลวงล้วนกระทำกันมาแล้วทั้งสิ้นก็ค่อยๆ ถูกถ่ายทอดให้’ สะใภ้ใหม่’ นางได้ร่วมรับรู้ไปด้วย   “ที่เขาสาหัสหาใช่เพียงถูกคมธนูธรรมดา ทว่าธนูดอกนั้นมียาพิษ ซึ่งพิษนั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง ทว่าจะด้วยอันใดก็สุดจะรู้แจ้งร่างกายของอาไถ่นั้นสามารถต่อต้านพิษเจ็ดราตรีดับสลายได้มาจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาถึงสิบเก้าวันแล้ว”   พิษชื่อประหลาดเช่นนี้เพ่ยฉิงเซียงนางมิแจ้งใจสักนิดแต่ก็คิดเอาว่ามันคงร้ายกาจอย่างยิ่ง เด็กสาวหันไปมองร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงมีเพียง ช่วงหน้าอกที่ขยับเคลื่อนไหวที่บอกได้ว่าเจียงเหวินไถ่ผู้นั้นเขายังไม่ตาย   “จนเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นฮ่องเต้ที่ลักลอบมาเยี่ยมอาไถ่ข้าจึงเพิ่งทราบว่าที่แท้แล้ว อาไถ่นั้นก่อนที่เขาจะคลอดพี่สาวของข้านางก็ถูกวางยาพิษ เช่นนั้นเพียงคลอดอาไถ่ได้เจ็ดวันนางก็จากไปนี่จึงเป็นสาเหตุว่าไยพิษนั้นมิอาจเอาชีวิตของเขาไปได้”   แต่เขาก็ยังไม่ฟื้นสินะ.....   “แล้วฝ่าบาททรงรู้แจ้งวิธีรักษาให้องค์ชายหกนั้นทรงฟื้นหรือไม่เจ้าค่ะท่านน้า”   มิใช่ว่านางรับไม่ได้ที่ต้องดูแลบุรุษที่จะอยู่ก็ไม่ใช่จะตายก็ไม่เชิง เพียงแต่นางคิดว่าอายุเขาเพียงยี่สิบห้ายังมีอนาคตอีกยาวไกลหากมีวิธีรักษาก็สมควรจะดิ้นรนสักหน่อยเท่านั้น   “ท่านหมอหลวงฮัวกำลังทดลองตัวยาอยู่ก็คงมีเพียงต้องเสี่ยงเท่านั้นและเซียงเอ๋อร์ มาเถอะท่านน้าจะสอนวิธีดูแลอาไถ่ให้เจ้า”   พอสตรีซึ่งเป็นคนเดียวที่นางพอจะพึ่งพาอาศัยได้เอ่ยปาก เพ่ยฉิงเซียงนางก็กระตือรือร้นอย่างยิ่ง แต่เพราะขนาดร่างกายที่เล็กเกินไป จึงยากเย็นไม่น้อยกับการจับพลิกร่างกายคนไร้สติยังดีว่ามีขันที’ ถงเยี่ยน’ ค่อยช่วยจึงผ่านไปด้วยดี แต่กิริยาเต็มอกเต็มใจ นั้นไร้การปั้นแต่งเหลิ่งเหม่ยจูนางก็คิดว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิดที่ยินยอมให้พวกคนแซ่จงเล่นกลสลับตัวเจ้าสาวในวันนี้   “เดี๋ยวอาเซียงคงต้องปูผ้านอนตรงหน้าเตียงแทนอาเยี่ยนเจ้ายินดีหรือไม่”   แน่นอนว่าเพ่ยฉิงเซียงนางล้วนยินดี เพราะการขึ้นไปนอนร่วมเตียงกับบุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งต่อให้เขาไร้สตินางก็ไม่สะดวกใจที่จะนอนร่วมเตียงอยู่ดี   “ยินดีเจ้าค่ะท่านน้าเหม่ยจู ท่านน้าอย่าว้าวุ่นใจไปเลยปกติที่จวนเพ่ย อาเซียงนั้นก็นอนหน้าเตียงของท่านย่าอยู่เสมอ”   นางมิได้กล่าวให้ตนเองน่าสงสารทว่านั่นคือเรื่องจริงหนึ่งหนาวในจวนสกุลเพ่ยนางล้วนนอนหน้าเตียงของฮูหยินผู้เฒ่าเพ่ยเสมอมา จึงไม่เดือดร้อนที่จะต้องนอนหน้าเตียงของพระสวามีจอมขี้เซาของตนแม้แต่   วันเวลาหมุนผ่านต่อมาอีกสามวันชีวิตพระชายาหกนั้นจะกล่าวว่าสบายกว่าการเป็นคุณหนูผู้ไร้ตัวตนที่จวนสกุลเพ่ยนั้นนับว่ามากจนราวกับท้องฟ้าและพื้นปฐพี หากแต่จะนับว่าสุขสบายสูงส่งเลยก็คงไม่ถูก เพราะเพ่ยฉิงเซียงนั้นสำนึกในบุญคุณที่เหลิ่งเหม่ยจูดูแลนางอย่างดีไม่ใช่ญาติสามีในตำนาน   นางจึงตอบแทนด้วยการดูแลเจียงเหวินไถ่อย่างดี พอเข้าสู่วันที่สี่เหลิ่งเหม่ยจูผู้เป็นเจ้าสำนักคุ้มภัยนางต้องควบคุมกองขบวนสินค้าไปยังต่างเมือง ดังนั้นหน้าที่ดูแลคนป่วยไร้สติจึงเป็นของเด็กสาวเต็มที่   โดยที่ท่านน้ายังสาวได้ทิ้งองครักษ์ซ่งซีเหล่ยกับขันทีถงเยี่ยนกับองครักษ์สาวเข่ออิงและนางกำนัลจางลี่เอาไว้เป็นผู้ช่วยเหลือหากนางต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ   “ท่านหมอฮัวมิทราบว่านอกจากต้องดูแลความสะอาดแล้วข้าต้องดูแลอันดเป็นพิเศษหรือไม่”   เพราะถึงนางไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่ก็พอจะรู้มาบ้างว่าคนป่วยอาการดังเจ้าชายนิทรานี้นอกจากต้องคอยป้อนโจ๊กเหลวและน้ำสะอาดให้เขากับดูแลทำความสะอาดร่างกายและเรื่องขับข่ายแล้ว เรื่องขยับทำกายภาพบำบัดล้วนต้องมีหาไม่ถ้าเขาฟื้นก็อาจจะมีปัญหาเรื่องข้อติดจนเดินไม่ได้ นางจึงเอ่ยปากขอคำแนะนำจากท่านหมอฮัวเฉิงฉีเอาไว้   “เรื่องนี้กระหม่อมนั้นได้สอนเอาไว้กับท่านขันทีถงแล้วเช่นไรพระชายาหกก็ทรงให้เขาสอนจะดีหรือไม่”   เพราะถึงเขาจะเป็นหมอหลวงแต่เรื่องการใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ที่เป็นสตรีหากไม่จำเป็นเขาย่อมต้องระวังกิริยาเอาไว้ให้มาก จึงให้เป็นหน้าที่ของขันทีจึงเหมาะสมกว่า   เช่นนั้นในวันต่อมาเพ่ยฉิงเซียงนางจึงเริ่มเรียนรู้การขยับตามข้อต่างๆ ของร่างกายคนป่วยเพื่อช่วยแบ่งเบางานของขันทีถงเยี่ยนที่เขานั้นมีหน้าที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ในตำหนักหนานเฉิงแห่งนี้อีกด้วย   พอเข้าสู่วันที่แปดข่าวของนางสาวของร่างนี้เช่นเพ่ยอิ๋งจูที่กำลังจะเข้าวังไปเป็นพระราชาในองค์หวงไท่จื่อหรือถูกตบแต่งไปเป็นไท่จื่อเฟยก็แว่วมาเข้าหูของนางจนได้   สำหรับนางแล้วเพ่ยฉิงเซียงนางมิได้คิดมากอันใดยิ่งอิจฉาริษยากลับมิได้มีเลยสักนิด แต่ก็เพิ่งรู้แจ้งว่าเหตุใดเรื่องสลับตัวเจ้าสาวนั้นไยจึงดูง่ายดายยิ่งนักเท่านั้น   ว่าที่แท้ก็เพราะจงอี้หรานกับฮองเฮานั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันนี่เองทุกสิ่งจึงง่ายดายไร้ปัญหาติดขัดไปหมด จะมีความรู้สึกอยู่บ้างก็คงมีเพียงรู้สึกเห็นใจผู้ยังนอนป่วยเป็นผักให้นางป้อนข้าวป้อนน้ำเช็ดฉี่เช็ดอึอยู่บนเตียงเท่านั้น เพราะถึงนางจะยังไม่เคยมีคนรักมาก่อน   แต่คิดเช่นใจของเขาและใจของเราก็พอจะเข้าใจเลยว่าหากเป็นนางเองมีคนรักที่หมายปองคิดตบแต่งงานแต่พอตนเองตกต่ำกลายเป็นคนป่วย สตรีนางนั้นกลับทอดทิ้งไปตบแต่งกับบุรุษอื่นตื่นขึ้นมาย่อมชอกช้ำใช่น้อยเลยทีเดียว   “เฮ้อ! แต่ก็มิอาจทราบได้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่นะผิงผิง”   พอนางมีเวลาว่างก็มักมานั่งเล่นกับเจ้าหมูน้อยตัวอ้วนกลมมีผิวหนังสีชมพูสวยเช่นผิงผิงทุกครั้ง เช่นในยามนี้ ซึ่งนอกจากจะมานั่งเล่นกับสุกรตัวงามนางยังไปหาซื้อไก่กับเป็ดมาอีกอย่างละสองคู่ เพราะเห็นว่าพื้นที่ด้านนี้ของตำหนักนั้นว่างอยู่   กับเริ่มทำแปลงผักหวังปลูกเอาไว้กินเองเช่นที่จวนสกุลเพ่ยเนื่องด้วยหลายวันที่ตบแต่งเข้าตำหนักมาเพ่ยฉิงเซียงนางก็เพิ่งรู้ว่าสวามีของนางนั่นมิใช่องค์ชายที่ร่ำรวยอันใด หรือจะกว่าให้ถูกหากไร้ทรัพย์สินทางฝ่ายมารดาและท่านน้าของเขาเกรงว่าตำหนักใหญ่คนมากนี้อาศัยเบี้ยหวัดท่านแม่ทัพแห่งเฮ่ยหลงอย่างเดียวคงแทบไม่พอ   นางที่หลังจากตื่นขึ้นมาในร่างของเพ่ยฉิงเซียงได้ราวสองเดือนก็เพิ่งทราบว่าตนเองถูกสวรรค์เมตตาประทานพรวิเศษมาให้หนึ่งสิ่งนั้นก็คือยามใดที่นางลงมือปลูกผักหรือต้นไม้ไปจนถึงผืชต่างๆ เพียงไม่ถึงสามวันสิ่งที่นางปลูกจะเจริญงอกงามเร็วกว่าปกติถึงสามส่วน   เช่นนั้นในยามที่อยู่ในจวนสกุลเพ่ยนางจึงอาศัยพรสวรรค์นี้สร้างรายได้ให้กับตนเองอย่างลับๆ แต่เพราะนางต้องแอบทำ เงินจากการขายผักเหล่านั้นจึงน้อยอย่างยิ่งผ่านไปหนึ่งหนาวนางเหลือเก็บเพียงสามสิบตำลึงเงินเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่านางต้องใช้ชีวิตราวนางทาสชั้นต่ำผู้หนึ่งจวน   ในยามนั้นนางวางแผนเอาไว้ว่าหากสิ้นท่านย่านางจะขอบิดาเช่นใต้เท้าเพ่ยที่เขามิเคยใส่ใจบุตรีเช่นนางออกไปอยู่นอกจวนทำมาหาเลี้ยงชีพตนเองไม่วุ่นวายกับจวนใหญ่ทุกผู้คนเห็นดีเห็นงามมิขัดข้องมิคาดนางยังมิทันได้เอ่ยปากก็ถูกยัดเยียดขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวเสียก่อน   “โอ้โหผักขาดขาวเหล่านี้ช่างโตเร็วอย่างยิ่ง พระชายานั้นใช้ปุ๋ยคอกสูตรใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”   ถงเยี่ยนที่แอบมาเรียบๆ เคียงๆ ดูแปรงผักของพระชายาหกเพียงผ่านไปไม่ถึงสิบวันผักต่างๆ ที่คนตัวน้อยนางลงมือปลูกทั้งที่ยังเป็นฤดูหนาวช่วงปลาย ทว่าผักต่างๆ กลับโตเร็วอย่างเหลือเชื่อ   “ก็จากมูลของผิงผิงกับเป็ดและไก่เหล่านั้นเช่นไรเล่าท่านพ่อบ้านใหญ่ จริงสินี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ท่านน้าเหม่ยจูนางนั้นไปต่างเมืองหนึ่งครั้งนานกี่วันหรือ”   เพราะไม่อยากให้ขันทีหนุ่มใหญ่นั้นสงสัยเรื่องที่นางมีพรสวรรค์เป็นคนมือเย็นปลูกสิ่งใดก็เติบโตเร็วยิ่งกว่ามีปุ้ยสูตรดีอยู่ในกำมือเสียอีก จึงเปลี่ยนไปสอบถึงเวลากลับของท่านน้าคนงามเสีย   “ปกติก็นานอยู่ราวเจ็ดถึงสิบวัน แต่หากต้องไปไกลถึงชายแดนก็อาจนานเป็นแรมเดือนพ่ะย่ะค่ะ”   แล้วนางก็เพิ่งทราบว่ากิจการสำนักคุ้มภัยในยุคสมัยนี้ค่อนข้างสำคัญเพราะโจรนั้นมีทั้งโจรภูเขาไปจนถึงโจรในทะเลเลยทีเดียว กิจการคุ้มภัยเลยเติบโตตามการค้าที่รุ่งเรือง แต่หลักๆ ที่สำนักคุ้มภัยของสกุลเหลิ่งนั้นรับคุ้มกันสินค้ามักเป็นพวกเกลือและข้าวเปลือก   หลายสิบวันในตำหนักหนานเฉิงของนางจึงมิได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเพราะนอกจากนางนั้นจะปลูกผักเลี้ยงสัตว์แล้วในยามว่างยังอ่านตำรา เกี่ยวกับการค้าขายต่างๆ ในห้องหนังสือ อันกว้างใหญ่ก็มีให้นางศึกษาไม่น้อย   เพราะอนาคตคนเรานั้นไม่แน่นอน วันนี้นางยังสุขสบายดี แต่ผู้ใดจะตอบนางได้ว่าวันใดที่เจียงเหวินไถ่เขาฟื้นขึ้นมาซึ่งหลายวันมานี้ท่านหมอฮัวเฉิงฉีแจ้งแก่นางว่าอาการของเขานั้นดีขึ้นมากแล้วนั้นเขาจะพึงใจหรือโมโหเดือดที่น้องสาวของนางตบแต่งไปกับน้องชายของเขาเสียแล้ว   จนอาจนำความโกรธความแค้นมาลงที่นาง หากโทษหนักเขาบันดาลโทสะ สังหารนางนั้นก็ช่างเถิดเพราะสุดท้ายคนตายก็มิต้องกินข้าวกินน้ำอีก ทว่าหากเขาเพียงปลดนาง ตนเองมีความรู้ด้านค้าขายกับพรสวรรค์พิเศษก็คงพอจะอยู่รอดได้มิใช่หรือไร?   ...เพราะมนุษย์เรานั้นความแน่นอนล้วนคือความไม่แน่นอนนางจึงต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน...   หาไม่มัวแต่นอนใจหลงติดอยู่กับความสุขสบายชั่วคราวพอจวนตัวเข้าตาจนจะลำบากไม่น้อยสองชีวิตถึงรวมกันเพียงสิบเก้าปี แต่ประสบการณ์ความไม่แน่นอนนี้นางมีมากมิแตกต่างจากคนวัยเลยยี่สิบเลยทีเดียว  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD