บทที่1///เจ้าบ่าวของข้าคือสุกร
และแล้วก็ถึงฤกษ์งามยามดีขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสามสายลมบูรพาค่อยๆ พัดรวยรื่นมาสู่มหานครโยวโจวเมืองหลวงของต้าฉวน งานสมรสระหว่าง ‘องค์ชายหก’ เจียงเหวินไถ่ ผู้ยังคงนอนป่วยเป็นผักเน่ากับเจ้าสาวเช่นคุณหนูใหญ่แห่งจวนท่านเจ้ากรรมอาญาเพ่ยเจี้ยนผิงนั้น ก็พลันอุบัติขึ้นยังกลางมหานครอันรุ่งเรืองในช่วงก้าวเข้าสู่ปลายยามเฉินที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้าไม่นานนี้แล้ว
ซึ่งพอออกมาพ้นจวนสกุลเพ่ยผ่านไปราวครึ่งชั่วยามบนท้องถนนที่มุ่งหน้าไปยังตำหนักหนานเฉิงขององค์ชายหกก็พลันบังเกิดเสียงเครื่องสายบรรเลงก้องเสียงผู้คนเริ่มโจษขานเซ็งแซ่ก่อนสายตาหลายคู่จะเริ่มแลเห็นถึงหัวขบวนที่กำลังเคลื่อนช้าๆ มาตามท้องถนนโดยมีเกี้ยวเจ้าสาวหลังใหญ่และงดงามวิจิตรเริ่มปรากฏขึ้นตรงหน้าเหล่าชาวบ้านจำนวนมากยังสองฟากฝั่งถนนเริ่มเคลื่อนผ่านจากตลาดแห่งนี้ซึ่งนับได้ว่าเป็นขบวนรับตัวเจ้าสาวอันใหญ่ยิ่งตระการตาเป็นอย่างยิ่ง
ริ้วขบวนนั้นช่างยาวจนยามทุกผู้ได้แลเห็นส่วนหัวขบวนนั้นกลับแลไปไม่ถึงยังท้ายขบวนกะดูด้วยสายตาเช่นไรพวกชาวบ้านต่างก็คาดเดากันว่าคงจะยาวเกินร้อยลี้เสียเป็นแน่
เช่นนี้จึงมีเสียงเล่าขานตามติดว่าวิวาห์นี้ช่างยิ่งใหญ่เกินไปแล้วในรอบหลายสิบฤดูหนาวที่ผ่านมา และย่อมแน่นอนว่าปากชาวบ้านนั้นต่างถกกันด้วยเรื่องพิธีแต่งงานขององค์ชายหกบุรุษหนุ่มแน่นผู้ยังนอนเป็นผักเน่าใกล้สิ้นสภาพสมควรจะส่งเขาไปยังสุสานมากกว่าจะเป็นส่งเข้าห้องหอ
ยิ่งพูดก็ต่างยิ่งพากันเล่าเท้าความกันไปอย่างสนุกสนานจากหนึ่งเป็นสองและจากสองก็แผ่กระจายไปจนทั่ว'โยวโจว'ในเวลาอันแสนสั้นเกรงว่าบางที เกี้ยวเจ้าสาวพระราชทานหลังใหญ่คงยังมิทันถึงหนานเฉิงเสียด้วยซ้ำไป
และเมื่อได้กล่าวกันถึงเรื่องงานตกแต่งยิ่งใหญ่ก็มักจะต่อขยายไปอีกหลายเรื่องของตัวตนขององค์ชายหกผู้เป็นเจ้าบ่าวของวันนี้ไปในที่สุดซึ่งเรื่องราวของเจียงเหวินไถ่ผู้นั้นก็มีมากเสียยิ่งกว่าองค์ไท่จื่อซึ่งเป็นน้องชายอยู่สองส่วน
องค์ชายหกหรือที่ทุกผู้ล้วนคุ้นชินต่อสมญานามว่า ‘ขุนพลปีศาจแห่งราชวงศ์เจียง’ นั้นนับว่าเขาผู้นี้สำคัญยิ่งในยุคหนึ่งจักรพรรดิปกครองหลายแคว้นยามนี้อาณาจักรต้าฉวนนั้นมีองค์จักรพรรดิคือเจียงเหวินไห่ผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของเจียงเหวินไถ่ แต่ช่างน่าเสียดายว่าองค์ชายหกนั้นกำเนิดมาจากพระสนมชั้นไฉ่เหรินเท่านั้น
ดังนั้นต่อให้เขาเก่งกาจมากผลงานกว่าพี่น้องต่างมารดาคนอื่นๆ เช่นไร ก็เป็นได้เพียงองค์ชายปลายแถวเท่านั้น ไร้วาสนาจะสูงส่งไปเทียบชั้นกับองค์ชายสิบสี่ผู้กำเนิดจากเฝิ่งฮองเฮาไปได้
ส่วนใหญ่ชีวิตขององค์ชายที่มิได้กำเนิดจากฮองเฮาเช่น’เฝิ่งลี่ฮวา’นั้นจึงมักไม่ยืนยาว ซึ่งต่อให้ภายนอกแผ่นดินต้าฉวนนั้นจะมองดูสงบสุขแผ่นดินไร้โพยภัยไม่มีข้าศึกรุกรานในสมัยขององค์จักรพรรดิเจียงเหวินไห่ราวสิบเก้าหนาวผ่านมานี้แต่สงครามแก่งแย่งชิงดีชิ่งเด่นกลับคุกรุ่นอยู่ภายในมิเสื่อมคลาย
เช่นนี้เองที่ยังเหลือองค์ชายเคียงราชบัลลังก์จึงเหลือเพียงเจียงเหวินไถ่ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งค่ายเฮ่ยหลงกับองค์รัชทายาทเจียงเหวินหรงเท่านั้น
พอเมื่อหลายสิบวันก่อนองค์ชายหกนั้นใช้กายของตนเองปกป้ององค์ไท่จื่อเจียงเหวินหรงจนตนเองบาดเจ็บสาหัสป่านนี้ผ่านมาร่วมสิบสี่วันองค์ชายหกนั้นกลับยังไม่ฟื้นเกรงว่าวิวาห์ในคราวนี้องค์จักรพรรดิคงรู้สึกผิดต่อบุตรผู้นี้เสียเป็นแน่จึงเร่งตบแต่งคุณหนูสกุลดีมาเป็น'พระชายาหก'เพราะหลายหนาวผ่านมาองค์ชายหกนั้นยังมิได้ปักใจรักจริงจังกับสตรีใดนอกจากคุณหนูใหญ่สกุลเพ่ยเท่านั้น
และบัดนี้เขามาบาดเจ็บหนักจะอยู่หรือตายไม่แน่ชัดเลยจำต้องเร่งรีบตบแต่งสตรีซึ่งเป็นความรักครั้งแรกของขุนพลปีศาจที่ดีมาปรนนิบัติ'ผักเน่า'หนึ่งต้นในตำหนักหนานเฉิงจึงเป็นวิธีไถ่บาปและความรู้สึกผิดในใจขององค์จักรพรรดิย่อมไม่ผิดไป ชาวเมืองล้วนสรุปได้เช่นนั้นโดยมิมีโอกาสทราบรู้แจ้งว่าที่แท้คุณหนูใหญ่ที่ว่าหาใช่หญิงสาวคนรักขององค์ชายหกแม้แต่น้อย
...โป๊ก!...เฮือก...
“อุ๊ย” ...เพราะเผลอหลับไปเจ้าสาวผู้ถูกชาวบ้านกว่าเก้าส่วนของเมืองหลวงสงสารจึงนั่งสัปหงกกายเล็กทรงตัวไม่ดีเลยเอาศีรษะนั้นไปโขกเข้ากันกับขอบของเกี้ยวเจ้าสาวหลังโตไปหนึ่งโป๊กตาสว่างขึ้นมาทันใดมือเรียวผ่ายผอมในอาภรณ์สีแดงสดใสปักลวดลายเป็นนกหยวนหยางคู่สยายปีกโบยบินอยู่เหนือมวลหมู่เมฆเร่งลูบคลำจัดทุกสิ่งให้เข้าที่เข้าทาง
คิดไปแล้วเด็กสาวเช่นเพ่ยฉิงเซียงนางก็ไม่อยากจะเชื่อว่าที่สุดนางก็ต้องแต่งงานออกเรือนเพราะตนเองเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ผู้ถูกลืมเลือนจะมีคุณชายที่ดีสกุลใดมาสนใจ ก็ในเมื่องอดีตร่างกายนี้นั้นมีมารดาเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงและเคยเป็นคนสนิทข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าเพ่ยเท่านั้น
ซึ่งในความทรงจำของกายนี้บอกแก่นางว่าหลังจากคลอดเด็กน้อยที่ในวันนั้นมีอายุครรภ์เพียงเจ็ดเดือนน้อยกว่าฮูหยินเอกในท่านใต้เท้าเพ่ยอยู่ถึงสองเดือนแต่เพราะความริษยาของสตรี
มารดาของเพ่ยฉิงเซียงนางจึงถูก จงอี้หรานนั้นลงมือผลักจนตกลงไปในบ่อปลาพอคลอดลูกน้อยมาได้สองวันสาวใช้แสนอาภัพเช่นจิ่วเฟินก็สิ้นใจทอดทิ้งบุตรสาวให้เป็นภาระของฮูหยินผู้เฒ่าเพ่ยได้เลี้ยงดูมาอย่างหลบซ่อนอยู่สั่งสอนให้เด็กน้อยสงบเสงี่ยมเจียนคนมาถึงสิบห้าหนาวมิคาดสุดท้ายนางก็ถูกท่านย่าของกายตัดเยื้อสิ้นใย'ขายทิ้ง'จนพ้นจวนเข้าจนได้
ดังนั้นเด็กสาวที่คลอดก่อนกำหนดแถมยังถูกเลี้ยงดูมาอย่างกดขี่เป็นชนชั้นที่สี่ภายในจวนสกุลเพ่ย พอถึงสามวันก่อนนี้ทั้งท่านพ่อและท่านย่าแห่งกายนั้นล้วนลงความเห็นว่าดีงามต่อให้ภายในใจของเพ่ยฉิงซวงผู้นี้นั้นจะคิดค้านไม่อยากตบแต่งออกมาเพียงใดก็มิอาจไปขัดคำ'สั่ง'ของบิดาผู้ให้กำเนิดของร่างกายนี้ไปได้
เพราะนางไร้ที่ไปขาดญาติกับเงินทองหากคิดแสนสั้นหนีออกไปนางย่อมอดตายหรือไม่ก็ต้องขายตนเองไปเป็นทาสไปจนถึงอาจถูกจับไปเป็นแรงงานเถื่อนขายออกไปต่างแดน ถึงภายนอกนางเสแสร้งเป็นคนโง่
ทว่าภายในนางมิใช่เพ่ยฉิงเซียงย่อมไม่สิ้นคิดหนีไปเช่นไรไปเป็นพระชายาก็ยังดีกว่าต้องไปเป็นทาสขายแรงงานอยู่หลายส่วนอยู่แล้วพรนำพาหรือก็คือเพ่ยฉิงเซียงคนใหม่นางคิดได้เท่านี้จริงๆ
ถึงจะกลัวโทษตายหลอกลวงเบื้องสูงแต่สุดท้ายนางคิดให้ดีก็ถูกต้องเช่นที่ต้าฮูหยินเพ่ยนางกล่าวก็ในวันที่ราชโองการตกไปถึงจวนนางก็ได้ยินเต็มสองหูว่าเป็นคุณหนูใหญ่แซ่เพ่ยหาใช่คุณหนูรองผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของนางสักน้อยที่วันนี้ต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวตบแต่งออกเรือนมาก่อนคงสมควรที่สุดแล้ว ที่สำคัญคนเช่นจงอี้หรานนางคงไม่โง่ทำสกุลเพ่ยลำบากเป็นแน่
คนที่ต้องเส่แสร้งแกล้งเป็นเด็กสาวผู้มีสมองช้าเฉื่อยกว่าคนวัยเดียวกันคิดไปตามประสาคนที่รู้อยู่รู้กาลว่ากำลังตนนั้นมีได้เท่าใดเพราะต่อให้เพ่ยฉิงเซียงตัวจริงนั้นนางมีวัยถึงสิบห้าหนาวทว่าสติปัญญาของเด็กสาวยังเทียบเท่าเด็กวัยเพียงสิบสองสิบสามหนาวเท่านั้น
นางที่มาอาศัยร่างของคุณหนูใหญ่นั้นจึงต้องแสดงตนเป็นคนที่ถึงไม่เข้าขั้นปัญญาทึบก็จริงทว่านางนั้นก็ต้องพยายามเป็นคนสมองเฉื่อยคิดช้าให้มากสุดหากไม่อยากมีภัยมาสู่ตนเองดังนั้นหลายวันมานี้นางถูกทั้งบิดามารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาร่วมไปจนถึงท่านย่าช่วยกัน'กล่อม'มาอย่างหนักให้เชื่อว่าที่องค์จักรพรรดินั้นมีพระประสงค์ออกราชโองการมาเพื่อนางเท่านั้นนางจึงต้องทำเป็นเชื่อฟังอย่างดีไม่ให้ผิดสังเกตไปได้
...หากโง่แล้วไม่ตายนางก็ยินดีจะเป็นคนโง่ตลอดไป…
คิดตกเช่นนั้นเพ่ยฉิงเซียงก็ทำได้เพียงคาดหวังไปว่าท่านขุนพลปีศาจผู้นั้นเขาจะเหี้ยมโหดต่อนางน้อยกว่าท่านแม่ใหญ่ของกายนี้สักหน่อยก็เพียงพอแล้ว
เพียงคิดมาถึงตรงนี้นางก็ถูกจับจูงลงจากเกี้ยวเจ้าสาวหลังโต โดยสตรีนางหนึ่งที่ท่านย่าและท่านแม่ใหญ่ของร่างนี้เรียกว่าแม่สื่อซึ่งมีบุรุษหน้าขาวและมีน้ำเสียงแหลมสูงคอยบอกทุกกิริยาระหว่างที่นางกำลังก้าวลงจากเกี้ยวเจ้าสาว
ซึ่งเด็กสาวนางก็ทำตามด้วยดีไม่มีขาดตกและเพียงเท้าของเพ่ยฉิงเซียงนั้นก้าวข้ามพ้นประตูตำหนักหนานเฉิงเข้าไปสู่ภายในห้องโถงกว้างเท่านั้นบรรยากาศโดยรอบทั้งที่มีผู้คนเต็มแน่นแต่กลับไร้เสียงใดมาแทรกเสียงของขันทีเฒ่าผู้คอยบอกกำกับพิธีการต่างๆ ซึ่งผู้เป็นเจ้าสาวเช่นนางต้องกระทำ
พรนำพานั้นความจริงแล้วเธอนั้นมีอายุเพียงสิบแปดปีแต่เพราะความใจดีคิดไปช่วยเด็กน้อยคนหนึ่งให้พ้นจากชนเก๋งที่พุ่งชนกว่าจะรู้ตัวอีกครั้งเด็กสาวก็ตายเสียแล้ว แต่เพราะภายในใจของเธอก่อนจะสิ้นลมนั้นมีจิตเป็นกุศลคิดช่วยคนไม่ห่วงตนเองจึงได้โอกาสที่สองมาเกิดใหม่ในภพนี้ เช่นนั้นเจ้าพิธีการแต่งงานแบบจีนโบราณเช่นนี้เด็กสาวจึงไม่รู้อันใดสักอย่าง
จึงทำให้เด็กสาวนั้นอดจะขยับผ้าคลุมหน้าเพื่อแลดูความเป็นไปโดยรอบอย่างกังขาว่าแม่สื่อนั้นนำนางมาผิดที่หรือไม่ด้วยว่าขบวนรับตัวเจ้าสาวนั้นแสนจะโอฬารตระการตา แล้วเหตุไฉนภายในตำหนักใหญ่กลับเงียบเชียบดังกับสุสานเช่นนี้!?
“คุณหนูใหญ่ระวังกิริยาด้วยเจ้าค่ะ!”
เสียงของสตรีซึ่งมีใบหน้าแข็งกระด้างรูปร่างมิได้อวบอ้วนดังสตรีเริ่มสูงวัยส่วนใหญ่ทั่วไปคาดเดาเอาว่านางคงเป็นนางกำนัลอาวุโสมาจากวังหลวงเช่นท่านขันทีเฒ่าอย่างแน่แท้ ซึ่งนางค่อนข้างเดาอายุกับกิริยาของสตรีผู้นี้ผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไปได้ไม่ยากเย็น แต่เพียงน้ำเสียงดุดันเข้มงวดก็ทำเอาเพ่ยฉิงเซียงนางผู้มิได้โง่งมมากนักจึงพอจะฟังออกว่าสตรีผู้นี้คงสำคัญพอสมควรในพิธีการในวันนี้
ดัน
งนั้นนางจึงเร่งสำรวมกิริยาเสียด้วยยามนี้มิรู้อันใดเลยหากกระทำการใดผิดพลาดไปย่อมหาใช่สิ่งดี วันแรกที่แต่งเข้าตำหนักพระสวามีนางไม่ต้องการสร้างศัตรู นางอยากอยู่อย่างสงบเท่านั้น
ในเมื่อรู้ชะตากรรมแน่แท้ว่าตนเองนั้นคงถูกตบแต่งมาดูแลคนป่วยเท่านั้นเด็กสาวคนซื่อนางก็คิดแค่เพียงว่าจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีเท่านั้นอย่างอื่นนางจะมิใส่ใจทั้งหมดยิ่งก่อศัตรูเพ่ยฉิงเซียงนั้นย่อมไม่คิดทำ
“เจ้าสาวมาถึงแล้วเริ่มพิธีได้...”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมิได้ดังมากมายเช่นคราวแรก ครั้งนี้เพ่ยฉิงเซียงนางมิได้ขยับผ้าคลุมหน้าให้เสียกิริยาและถูกอีกฝ่ายตำหนิได้อีก แต่เพราะผ้านั้นต่อให้เป็นสีแดงเจิดจ้า ทว่าก็บางอยู่ถึงหกส่วนเมื่อสายตาชินต่อสีแดงแล้วนางย่อมมองเห็นภายนอกผ้าได้ถึงจะไม่ชัดเช่นนัก หากแต่ทุกการเคลื่อนไหว และทุกผู้คนภายในห้องโถงกว้างนี้มีเท่าใดเจ้าสาวตัวน้อยนางล้วนแจ้งใจจนสิ้นแล้ว
เมื่อแลเห็นทุกสิ่งผ่านผ้าบางจนทั่วห้องโถงในหัวจึงยังมึนงงอยู่ก็ให้ยิ่งกว่าแปลกใจ นี่คือสถานที่จัดพิธีไหว้ฟ้าดินของนางและ'ตัวแทน'ขององค์ชายหกแน่อยู่หรือ?
เพราะต่อให้มีคนมากมายแต่หนึ่งในนั้นไม่มีคนใดที่ดูกิริยาว่าจะเป็นคนสำคัญเช่นฮ่องเต้หรือฮองเฮาต่อให้เป็นนอกจากบุรุษสูงวัยกับแขกที่แต่งกายดีราวสามสิบชีวิต
แต่สุดท้ายเพ่ยฉิงเซียงนางก็คิดได้ว่าเจ้าบ่าวของตนเองเขายังคงนอนป่วยไร้สติที่จะจัดยิ่งใหญ่คงไม่สมควรเท่าใด เด็กสาวผู้ไม่ค่อยจะคิดอันใดมากมายอยู่แล้วจึงตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ให้จบสิ้นไป
“เชิญเจ้าบ่าว”
เสียงบุรุษหน้าขาวนวลเนียนวัยน่าจะราวเดียวกับพ่อบ้านที่จวนสกุลเพ่ยเอ่ยขึ้นเมื่อนางก้าวพ้นเตาไฟ อานม้าและเหล่าเมล็ดถั่วมาหยุดยืนหน้าแท่นทำพิธีกราบไว้ฟ้าดินเรียบร้อยดีแล้ว แต่เพียงครู่เจ้าสาวผู้ไม่ค่อยจะคิดมากกลับแทบล้มคว่ำลงทันใดแค่สายตาแลเห็นผู้เป็นเจ้าบ่าวชัดเจนเต็มตา
“มะ...หมู! ...”
ริมฝีปากเล็กหลุดเสียงแห้งแล้งออกมาแผ่วหวิว ต่อให้นางนั้นหลับแล้วลืมตาอยู่เป็นสิบครั้งอัน 'เจ้าบ่าว'ก็หาได้เปลี่ยนจากลูกหมูตัวน้อยถูกผูกเป็นโบน่ารักด้วยผ้าแพรเนื้อดีสีแดงสดแสบตาไปได้ไม่!
มิใช่ไก่เช่นที่นางเคยได้ยินได้ฟังมาหรอกหรือ? ...แต่ช่างเถิดลูกหมูก็น่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยดูสิแก้มยุ้ยเชียวราตรีนี้นางนอนกอดมันคงจะอบอุ่นไม่น้อย
"ที่เป็นหมูมิใช่ไก่ก็เพราะว่าอาไถ่นั้นเขาอยากมีลูกเต็มบ้านข้าจึงเลือกแม่หมูมาแต่งกับหลานสะใภ้เอาฤกษ์เอาชัยหวังว่าหลานสะใภ้จะมิคิดมาก"
สตรีผู้มีน้ำเสียงอ่อนหวานเป็นผู้เอ่ยออกมา อ้อ...ที่แท้นางก็พบญาติของพระสวามีกับเขาแล้วหนึ่งคน ที่สำคัญที่มองผ่านผ้าสีแดงเพ่ยฉิงเซียงนางคิดว่าสตรีนางนั้นดูเป็นคนมีเมตตาผู้หนึ่งไม่น้อย
"หลานสะใภ้มิคิดมากเจ้าค่ะ...หมูน้อยก็น่ารักดี...หลานสะใภ้ชอบเจ้าค่ะ"
ช่างเป็นประโยคพูดคุยระหว่าง'ท่านน้า'ของพระสวามีและหลานสะใภ้คู่แรกนับตั้งแต่ท่านป้าหลิวแม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองโยวโจวที่ดูจะเข้าขากันอย่างประหลาด
...แสนจะประหลาดมากด้วยมิใช่ธรรมดา...
“ในเมื่อเจ้าสาวไม่ติดขัดต่อผู้เป็นตัวแทนของเจ้าบ่าวเช่นนั้นก็เริ่มพิธีได้”
ในเมื่อเจ้าสาวตัวน้อยนางไม่มีปัญหากับตัวแทนเจ้าบ่าวเช่นลูกหมูน้อยที่เป็นเพศเมียพิธีการกราบไหว้ฟ้าดินจึงเริ่มต้นขึ้น มันอาจจะดูแปลกประหลาดหรืออาจจะดูผิดที่ผิดทาง แต่เพ่ยฉิงเซียงนางก็คิดว่าตนเองคงขอยึดหลักชีวิตอันเรียบง่ายเหมือนที่ผ่านมาหนึ่งหนาวยังสกุลเพ่ยต่อไป
ถึงต่อให้หากองค์ชายหกผู้เป็นพระสวามีของนางอาจโชคร้ายสิ้นใจนางก็จะยึดฐานะหญิงหม้ายอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนท่านน้าของสวามีจวบจนตายจากกันไป หรือสุดท้ายองค์ชายหกนั้นเขาเกิดฟื้นขึ้นมาแล้วพิกลพิการนางก็จะเป็นพระชายาที่ดีดูแลกันไปจวบจนสิ้นใจ
หรือหากสุดท้าย เขาเกิดโชคดีกลับมาหายเป็นปกติทุกอย่าง ในวันนั้นเขาและน้องสาวของร่างนี้คิดจะสานต่อความสัมพันเดิมจนงอกงามแล้วตบแต่งเข้ามาเพ่ยฉิงเซียงผู้นี้ก็จะขอหลบเร้นกายอยู่ท้ายตำหนักหนานเฉิงแห่งนี้อย่างสงบไม่วุ่นวายกับพวกเขาทั้งสิ้น
ถึงนางอาจจะถูกด่าทอเสมอมาว่าเป็นสตรีโง่เขลา แล้วอย่างไร หากคนโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนางมีชีวิตอยู่ด้วยความสุข นางยินดีเป็นคนโง่ไปจนแผ่นดินปิดหน้านั่นเลย เพราะตลอดมาชีวิตของพรนำพามิใช่สบายพอมาเป็นเพ่ยฉิงเซียงกลับยิ่งลำบากกว่า นางจึงมีความคิดปล่อยวางราวกับคนอายุมากหาใช่สตรีเพิ่งมีอายุนับรวมกันได้สองชีวิตเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น
...หากนางเลือกจะพึงใจในส่วนที่ตนมีนั่นจึงนับว่ามีความสุขพอแล้วไม่เดือดเนื้อร้อนใจอันใดอีก...
ดังนั้นเจ้าบ่าวจะเป็นหมูหรือเป็นเป็ดเป็นพ่อไก่ไปจนถึงผักเน่าต้นหนึ่งเพ่ยฉิงเซียงก็จะไม่โวยวายหรือตีโบยตีพายยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีไปก่อนรอวันหนึ่งมีหนทางที่ดีกว่าจึงค่อยว่ากันใหม่วันนี้มีบ้านให้อยู่มีข้าวให้กินนางสมควรพอใจแล้วมิใช่หรือ?