ตอนที่ 10 กลายเป็นที่รู้จัก

1393 Words
เมืองฮวาหลานยามนี้นั้นแสนจะสงบสุข แม้นว่าจะมีชาวเมืองอื่นอพยพมาช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายมารับตำแหน่งก็จัดสรรที่ทางให้แก่ผู้คนที่อพยพมาได้พักอาศัยเป็นอย่างดี ทำให้ลดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นภายในเมืองได้อยู่ไม่น้อย แต่ผู้ที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองได้เปิดหูเปิดตามองเห็นความลำบากของผู้อพยพเหล่านี้นั้นก็คือคุณหนูใหญ่ของสกุลโจว นางเป็นผู้ริเริ่มในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพที่เข้ามาเป็นขอทานเมื่อสองปีก่อน เมื่อยามนั้นนางอายุเพียงเจ็ดปีเท่านั้น ทำให้นางได้รับการขนานนามว่านางคือเด็กที่มีจิตใจเมตตา มองเห็นความทุกข์ยากของผู้อื่นและยื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล “คุณหนูใหญ่กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองฮวาหลานแล้วนะเจ้าคะ” อี้ถงเอ่ยขึ้นมาขณะที่กำลังเยื้องย่างตามคุณหนูใหญ่สกุลโจวอยู่ภายในตลาดของเมืองฮวาหลาน “อืม…แท้ที่จริงแล้วข้ามิได้ต้องการให้เช่นนี้หรอกอี้ถง แต่ในเมื่อมันเป็นไปแล้วข้าก็คงจะต้องปล่อยเลยตามเลย” นางมิได้ต้องการคำชมหรือสายตาที่มองนางอย่างเทิดทูน นางเพียงแค่อยากใช้ชีวิตเป็นโจวเจินเจินที่มีคุณค่าและสง่างามเพียงเท่านั้น “แต่สิ่งที่คุณหนูกระทำนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและชื่มชมจริงๆ นะเจ้าคะ สมแล้วที่เป็นหลานสาวของคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู หากผู้ใดมิทราบคงจะเข้าใจผิดเอาได้ว่าคุณหนูเป็นบุตรีของท่านป้าของคุณหนูก็เป็นได้เจ้าค่ะ” “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ” โจวเจินเจินเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย หรือนางจะติดนิสัยเดิมจากชาติภพก่อนมาด้วยจนทำให้คล้ายกับตัวนางในอดีตชาติมากจนเกินไป “ก็สิ่งที่คุณหนูใหญ่กระทำนั้นช่างเหมือนกับท่านป้าของคุณหนูเช่นไรล่ะเจ้าคะ” อี้ถงยิ้มออกมายามนึกถึงคุณหนูใหญ่ผู้ล่วงลับ หากเป็นความชาญฉลาด ความงดงามและความรอบรู้คุณหนูใหญ่ของนางจะได้มาจากท่านป้าก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่อี้ถงก็ได้แต่หวังว่าคุณหนูใหญ่ของนางจะมิได้รับความโชคร้ายในเรื่องของคู่ครองจากท่านป้ามาด้วย “ท่านป้าเป็นผู้ที่มีจิตใจดี แม้นว่ากายจะจากไปแต่นางยังคงเป็นคนที่ข้าระลึกถึงเสมอมา” เสียงเล็กเอ่ยออกมาก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ร้านขายขนมเล็กๆ ร้านหนึ่งที่มีรสชาติอร่อยมิแพ้กับร้านใหญ่ๆ ภายในตลาดแห่งนี้เลย “เถ้าแก่… ขนมนี่ขายอย่างไรหรือจ๊ะ” “โอ้…คุณหนูโจวเจินเจิน ท่านจะซื้อกินเองใช่หรือไม่ขอรับ” พ่อค้าเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าที่มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านแล้วถามราคาขนมของเขา พอเห็นว่าเป็นผู้ใดจึงเอ่ยถามออกมา “ข้าซื้อกินเองจ้ะ” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนคนฟังรู้สึกละมุนหูไปด้วย “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอให้คุณหนูแบบไม่คิดเงินเลยขอรับ” พ่อค้าสูงวัยกระตือรือร้นกล่าวออกมาพลางตักขนมใส่ห่อกระดาษให้แก่เด็กหญิงตรงหน้า “อุ๊ย!!! มิได้หรอกจ้ะ ของซื้อของขาย ข้าจะรับไว้โดยมิจ่ายเงินได้เช่นไรกัน และท่านเองก็เป็นผู้ที่ต้องทำมาหากิน” โจวเจินเจินรีบปฏิเสธออกมาในทันที “ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่คุณหนูช่วยทำให้ท่านเจ้าเมืองช่วยเหลือผู้อพยพเช่นพวกข้าให้ได้มีที่อยู่อาศัยและที่ทางทำมาหากินด้วยนะขอรับ” ที่แท้พ่อค้าขนมผู้นี้ก็คืออดีตผู้อพยพที่นางเคยแจกจ่ายอาหารและยาให้เมื่อสองปีก่อนนั่นเอง โจวเจินเจินจึงได้รับน้ำใจของพ่อค้าสูงวัยเอาไว้เพื่อมิให้เขารู้สึกติดค้างสิ่งใดต่อนาง “เรื่องนี้เป็นเพราะความเมตตาของท่านเจ้าเมืองคนใหม่มากกว่าจ้ะ ข้ามิได้กระทำสิ่งใดเลย ที่เคยช่วยเหลือพวกท่านเมื่อครานั้น เพียงเพราะข้ารู้สึกเห็นใจที่พวกท่านต้องพลัดถิ่นฐานมาเพราะศึกสงครามก็เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อท่านอยากจะตอบแทนข้า…เช่นนั้นข้าขอรับขนมห่อนี้ไว้ก็แล้วกัน แต่ว่าภายหลังท่านต้องขายให้ข้ามิใช่มาให้ข้าโดยมิคิดเงินเช่นนี้อีกนะจ๊ะ” น้ำเสียงที่ไร้วาจาเสแสร้งดังขึ้นมาจากเด็กหญิงตัวน้อย พ่อค้าสูงวัยยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู “ขอรับ…คราหน้าข้าจะคิดเงินกับคุณหนูแน่นอน แต่ครานี้ขอให้กินให้อร่อยนะขอรับ” เขากล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม โจวเจินเจินพยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป คุณหนูใหญ่สกุลเจินนั้นนางกลายเป็นที่รักของชาวเมืองฮวาหลานมิใช่แค่เพียงความงดงามหรือวงศ์ตระกูล แต่เป็นเพราะความมีจิตใจที่งดงามมาตั้งแต่เยาว์วัยของนางต่างหากที่พาให้บรรดาผู้ใหญ่ต่างเอ็นดู ส่วนโจวเจินเจินก็ถึงกับผ่อนลมหายใจออกมา แท้จริงแล้วนางอยากอยู่เงียบๆ แต่ดูแล้วนางคงจะกลายเป็นที่รู้จักของชาวเมืองฮวาหลานแล้วเป็นแน่ เพราะเท่าที่มองเห็นสายตาที่มองมายังนางอย่างชื่นชม ริมฝีปากบางฉีกยิ้มไปให้กับคนที่ส่งยิ้มมาอย่างเป็นมิตร จวนสกุลหวง โต๊ะที่มีอาหารวางอยู่เต็มถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนในตระกูลยกเว้นก็แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่มิได้มาร่วมวงด้วยเพราะสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงจึงมีเพียงใต้เท้าหวง ภรรยาเอกหานจูฉี อนุเซียว อนุซู และบรรดาบุตรชายและบุตรีอีกห้าคน ทุกคนมิได้มีสีหน้าที่แสดงออกถึงการมีความสุขมากนัก เพราะนายหญิงใหญ่ในยามนี้นั้นมิได้ชื่นชอบอนุทั้งสองรวมไปถึงบุตรที่เกิดจากอนุสักเท่าใด วันนี้ที่ทุกคนมารวมตัวกันเพราะใต้เท้าหวงต้องการที่จะพบหน้าบุตรทั้งห้าและภรรยาทุกคนของเขาเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของแต่ละคนหลังจากที่เขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในเมืองหลวงมา คุยไปคุยมาพลันก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องราวที่เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วเมืองฮวาหลาน “พวกเจ้าได้ยินข่าวเรื่องบุตรสาวคนโตของใต้เท้าโจวหรือไม่” จู่ๆ ผู้เป็นใหญ่ในจวนก็เอ่ยถามออกมาในขณะที่ทุกคนกำลังลงมือกินอาหารร่วมกัน “ได้ยินสิเจ้าคะ ยามนี้ผู้ใดก็เล่าขานเรื่องราวที่นางช่วยให้ท่านเจ้าเมืองได้มองเห็นถึงความทุกข์ของผู้อพยพที่หนีมาจากพื้นที่สงครามทางใต้ กลายเป็นเด็กที่หลายๆ ตระกูลอยากจะทาบทามนางเอาไว้ให้บุตรชายของพวกเขา” อนุเซียวรีบเอ่ยออกมาถึงเรื่องที่นางรับรู้มาจากพวกบ่าวในเรือน “เป็นศิษย์พี่ที่สำนักศึกษาหลุนซีของลูกหญิงใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ” หวงฮูหยินเอ่ยขึ้นมาบ้างพร้อมกับส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้อนุภรรยาที่รีบตอบเพื่ออยากจะเอาหน้ากับสามี “สองตระกูลนี้เขาเลี้ยงดูลูกหลานได้ดีเสียจริง พวกเจ้าก็ควรจะเอามาเป็นเยี่ยงอย่างเสียบ้าง” หวงจิงอวี่เอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตั้งใจกินอาหารตรงหน้าจนเจ้าตัวรู้สึกอิ่ม แล้วจึงลุกขึ้นออกจากโต๊ะนั้นไปก่อนผู้ใด อนุภรรยาทั้งสองและลูกๆ ของพวกนางจึงลุกขึ้นบ้าง เมื่อไร้สามีอยู่ด้วยพวกนางก็มีแต่จะถูกนายหญิงใหญ่คอยกลั่นแกล้งรังแกอยู่เรื่อยมา ฮูหยินใหญ่มองตามคนที่พากันเดินจากไปด้วยสายตาที่ฉายถึงการดูถูกเหยียดหยาม พวกนางทั้งสองเป็นเพียงบุตรีของชาวบ้านธรรมดากับนายทหารยศน้อยช่างต่างชั้นกับตระกูลของนางยิ่งนัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD