สายตาที่ทอดมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านในลำธารหลังจวนสกุลโจว ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายแต่กลับกลายมาอยู่ในร่างของคนที่นางมิควรอยู่ สามวันแล้วที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ที่นางรักและเอ็นดู
ในขณะที่ร่างกายของนางได้ถูกฝังไปในสุสานสกุลฉินแล้ว เหตุใดที่มิได้ฝังอยู่ในสุสานสกุลหวงนั่นก็เป็นเพราะก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เขียนจดหมายหย่าให้แก่สามีอย่างหวงจิงอวี่ ขอตัดความสัมพันธ์กันไม่ว่าภพนั้นหรือภพต่อไป
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”
เสียงของบ่าวที่เพิ่งจะเดินมาถึงเรียกสติที่กำลังล่องลอยไปของฉินเซี่ยหรูให้กลับมา นางหันไปมองแล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอวี้ถงกับบ่าวที่มาตามนางไปยังเรือนใหญ่
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่” เสียงเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งคำนับบิดามารดา
“เจินเอ๋อร์… มานั่งนี่สิลูก”
เสียงหวานของฉินเซี่ยหรงเรียกบุตรีของนาง
“ท่านพ่อกับท่านแม่มีเรื่องอันใดจะคุยกับลูกหรือเจ้าคะ” สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปที่บุตรี
“เจ้าอยากไปกราบไหว้ท่านป้าของเจ้าที่สุสานหรือไม่”
เพราะรู้ดีว่าโจวเจินเจินนั้นเป็นหลานสาวที่ฉินเซี่ยหรูรัก สองสามีภรรยาจึงตั้งใจอยากจะพาหลานสาวไปคำนับลาท่านป้าผู้แสนอาภัพของนาง ตอนที่ฉินเซี่ยหรูสิ้นลมโจวเจินเจินก็นอนไม่ได้สติไปแล้ว และโจวเจินเจินก็นอนหลับไปนานถึงสามคืน
“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ”
น้ำหยดใสๆ ไหลลงมาจากดวงตาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าคนที่จากไปจริงๆ คือโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ของนางต่างหาก
เป็นเพราะร่างกายของโจวเจินเจินอ่อนแอมาตั้งแต่เล็กเช่นนั้นหรือ หลานสาวของนางจึงต้องเป็นผู้ที่จะต้องจากไปก่อน หรือเป็นเพราะเหตุใดกัน นางถึงต้องได้กลับมาอีกครั้ง กลับมาในร่างของหลานสาวที่นางรัก
“โถ่… เจินเอ๋อร์ เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลยนะลูก ท่านป้าของเจ้านางทนทุกข์ทรมานใจมานานหลายปีแล้ว แม่ไม่คิดมาก่อนว่าชายผู้นั้นจะมีจิตใจเย็นชาต่อนางเช่นนั้น เพียงเพราะไปฟังคำบอกเล่าเรื่องราวของนางจากปากผู้อื่นมา”
ฉินเซี่ยหรงหรือโจวฮูหยินปลอบใจบุตรสาวคนโตก่อนที่จะเอ่ยถึงพี่สาวของนางด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถึงยามนี้ก็ยังมิมีผู้ใดในสกุลฉินหรือแม้แต่สกุลโจวให้อภัยอดีตพี่เขย เขาเย็นชากับพี่สาวของนางจนวันสุดท้ายของชีวิต
ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา เขาให้พี่สาวของนางเป็นได้เพียงภรรยาเอกแต่ในนามเท่านั้น มารดาของเขาก็ดูถูกที่พี่สาวของนางมีบุตรมิได้ แล้วจะมีได้เช่นไรกันในเมื่อบุตรชายของหวงฮูหยิน มิเคยแตะต้องพี่สาวของนางเลย นั่นเป็นความผิดของพี่สาวนางเช่นนั้นหรือ
“เจินหลงไปกับเราหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินเอ่ยถามถึงหลานชายอีกคนของนาง หลานชายตัวน้อยวัยห้าขวบที่กำลังช่างเจรจา
“ไปสิลูก…. ตอนทำพิธีฝังร่างท่านป้าของเจ้า เจินหลงน้องชายของเจ้าก็มิได้ไปด้วยเช่นกัน” ใต้เท้าโจวเป็นผู้ตอบบุตรสาวออกมา
‘เด็กๆ อยู่ที่จวนสกุลโจวสินะ ดีแล้วล่ะ หากเด็กๆ รับรู้ว่าข้าจากโลกใบนี้ไปแล้วคงจะเสียใจเช่นกันมากมาย โดยเฉพาะโจวเจินเจิน’ ฉินเซี่ยหรูคิดในใจ
รถม้าถูกบังคับขับเคลื่อนออกจากจวนสกุลโจวมุ่งหน้าสู่สุสานของสกุลฉิน ที่ซึ่งมีร่างของฉินเซี่ยหรู บุตรสาวคนโตของสกุลฉินถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนั้นสายลมหนาวในเหมันตฤดูทำให้ขนที่แขนตั้งชัน ภายใต้ความเงียบสงัดยังมีเสียงของหมู่มวลวิหคที่อาศัยอยู่รายรอบแนวชายป่าส่งเสียงขับขานออกมาราวกับเป็นท่วงทำนองเพลงเศร้า การจากไปของฉินเซี่ยหรูทำให้บิดามารดาของนางเป็นทุกข์ โดยเฉพาะมารดาที่หันหน้าเข้าหาทางธรรม เหลือเพียงบิดาที่ยังคงทำหน้าที่เป็นขุนนางที่ดีอยู่แม้ในใจจะเป็นทุกข์ก็ตาม
ภาพหลุมศพที่มีนามของผู้ที่ล่วงลับอยู่ด้านหน้าเป็นการตอกย้ำให้ฉินเซี่ยหรูได้รับรู้ว่านางจากโลกใบนี้ไปแล้วจริงๆ แต่แล้วนางกลับได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่ในร่างของหลานสาวผู้น่าสงสาร ที่เกิดมามีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เด็กๆ
ต่อไปนี้นางจะต้องใช้ชีวิตนี้ของโจวเจินเจินให้ดี และไม่เลือกเดินไปบนเส้นทางที่นางเคยเดินผิดพลาดอีกครั้ง ความรัก หากรักอยู่ฝ่ายเดียวก็ไร้ค่า หากรักไปแล้ว ไร้รักตอบกลับมา ก็มีแต่ทุกข์ใจ
“เจินเอ๋อร์… ท่านป้าของเจ้ามิได้มีโอกาสที่จะมีลูก แต่นางก็รักเจ้าประดุจดังลูกสาวแท้ๆ ของนาง คำนับลานางเสียสิลูก”
ร่างเล็กของโจวเจินเจินคำนับหลุมศพของฉินเซี่ยหรู ภายในใจของฉินเซี่ยหรูคือนางคำนับลาชีวิตในอดีตชาติของนาง และคำนับขอบคุณฟ้าดินที่ให้โอกาสนางได้มาเกิดใหม่อีกครั้งในร่างของหลานสาวที่นางรัก โจวเจินหลงเข้ามาคำนับท่านป้าเช่นเดียวกับพี่สาวของเขา ใต้เท้าโจวและฉินเซี่ยหรงยืนมองบุตรีและบุตรชายด้วยแววตาอ่อนโยน
‘ท่านพี่ใหญ่เจ้าคะ น้องขอให้ท่านพี่หลับให้สบาย ไปเกิดใหม่อยู่ในที่ดีๆ มีแต่คนรัก ภพหน้าน้องขอให้ท่านพี่สมหวังในความรัก ได้พบเจอกับบุรุษที่รักท่านและได้ใช้ชีวิตร่วมกันจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต’ ฉินเซี่ยหรงนึกภาวนาอยู่ภายในใจ
หลังจากที่พาบุตรทั้งสองไปกราบท่านป้าของพวกเขาเสร็จ สองสามีภรรยาก็พาเด็กๆ ไปเยี่ยมท่านตาที่จวนสกุลฉิน สถานที่ที่ฉินเซี่ยหรูเติบโตมาจนออกเรือนไปในวัยเพียงสิบหกปี นางต้องทนทุกข์ใจอยู่ในบ้านของผู้เป็นสามีที่เขามิได้รักนางถึงเจ็ดปี ทนทุกข์กับการถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีและจิตใจจากคนที่นางมอบหัวใจให้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เขยคารวะท่านพ่อตา”
“คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาคำนับใต้เท้าฉินพร้อมๆ กัน
“ตามสบายเถิด เอ๊ะ…นั่นเจินเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ใช่หรือไม่” เขามองเลยไปด้านหลังที่มีเด็กหญิงรูปร่างผอมบางยืนอยู่กับเด็กชายที่มีส่วนสูงเพียงหน้าอกของนาง
นานแล้วที่เขามิได้พบกับเด็กๆ อีกทั้งความเศร้าทำให้เขามิอยากจะมองหน้าผู้ใด หรือพบปะผู้ใด ยกเว้นเพียงแต่ต้องออกไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวง
“เจินเอ๋อร์...คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”
“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ”
เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที
“ตามสบายเถิดลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน”
เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นาง
มือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงา
หลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่มิควรพบเจอ หวงจิงอวี่มาเดินตลาดพร้อมกับภรรยารองและบุตรีคนโตของเขา นางอายุอ่อนกว่าโจวเจินเจินเพียงสองปี เพราะหลังจากที่เขาแต่งฉินเซี่ยหรูไปเป็นภรรยาเอกเพียงหนึ่งปี เขาก็แต่งภรรยารองเข้ามาและสตรีผู้นี้ก็ตั้งครรภ์หลังจากอยู่กินกับเขาได้หนึ่งปี ในขณะที่ฉินเซี่ยหรูเขาไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องร่างกายของนาง
“ท่านพี่…นั่นอดีตน้องสะใภ้ของท่านมิใช่หรือเจ้าคะ” ภรรยารองที่บัดนี้กลายมาเป็นภรรยาเอกของหวงจิงอวี่เอ่ยถามเขาออกมา
“อืม… เจ้าอย่าไปสนใจพวกนั้นเลย ตั้งแต่พี่สาวของนางจากไป ตระกูลหวงกับตระกูลฉินก็ได้ตัดขาดกันแล้ว ชาตินี้ก็คงจะมิมีวันญาติดีกันได้อีก”
หวงจิงอวี่เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะพาภรรยาและบุตรีเดินเลี่ยงไปทางอื่น เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะเกี่ยวดองกับสกุลฉินมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ถ้ามิใช่มารดาขอเอาไว้ เขาคงจะมิแต่งฉินเซี่ยหรูมาเป็นภรรยาเอก สตรีเช่นนางมิสมควรได้รับความรักความเมตตาจากเขา เป็นเพราะนางทำให้คนที่เขารักเหมือนน้องชายต้องตาย นางก็สมควรแล้วที่จะต้องตายตกไปตามกัน เจ็ดปีที่เขาทรมานนางมันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ
นัยน์ตากลมของโจวเจินเจินมองไปที่สามีในอดีตชาติด้วยสายตาที่ว่างเปล่า นางมิได้รักเขาอีกแล้ว นางมิได้อาวรณ์เขาอีกแล้ว นางหลุดพ้นจากเขาด้วยความตาย ชาติภพนี้เขาและนางคือคนแปลกหน้าต่อกัน ถือว่ามิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ใบหน้าเล็กเบือนหนีมองไปทางอื่น เขา… มีความสุขบนความทุกข์ของนางมาตลอดหลายปี บัดนี้เขามีความสุขแล้ว นางก็ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขเช่นกัน
“เจินเอ๋อร์… เจ้าอยากกินถังหูลู่หรือไม่ เมื่อก่อนเป็นเพราะเจ้าป่วย แม่เลยไม่ยอมให้เจ้ากิน ยามนี้เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วแม่อนุญาตจ้ะ” ฉินเซี่ยหรงเอ่ยถามบุตรสาวคนโตทันทีที่ละสายตาจากอดีตพี่เขย
ฉินเซี่ยหรูในร่างโจวเจินเจินดึงสติให้กลับมาพลางพยักหน้า หลานสาวของนางคงจะอยากกินถังหูลู่มาก เสียดายที่คนจะได้กินถังหูลู่ในยามนี้มิใช่เจินเอ๋อร์ หลานสาวที่น่าสงสารของนาง กลับเป็นนางที่ได้มากินแทน
“พ่อค้า…เอาถังหูลู่สามไม้จ้ะ”
เสียงหวานของโจวฮูหยินเอ่ยออกมา พ่อค้าหยิบให้อย่างไม่รีรอเขาส่งให้แก่คุณหนูและคุณชายคนละไม้ ส่วนอีกไม้ก็ส่งให้แก่โจวฮูหยิน
นางรับมาก่อนที่จะหยิบเงินในถุงเงินส่งให้แก่พ่อค้า จากนั้นนางจึงส่งถังหูลู่ไม้ที่นางถือไปให้แก่อี้ถง เด็กรับใช้คนสนิทของบุตรีของนาง อี้ถงคำนับขอบคุณนายหญิงใหญ่ก่อนที่จะรับถังหูลู่มาแล้วกัดเข้าปาก
ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินมองเด็กรับใช้คนสนิทของหลานสาว ก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวของนางแล้วจึงยิ้มออกมา อย่างน้อยน้องสาวของนางก็เป็นสตรีที่มีจิตใจดี มีเมตตา พอละสายตาจากน้องสาวนางจึงหันไปมองหลานชายวัยสี่ขวบที่กำลังลิ้มลองรสชาติของถังหูลู่อย่างเอร็ดอร่อยเช่นเดียวกัน
หลังจากพาเด็กๆ เดินชมตลอดพร้อมกับรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นไหล ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินจึงพาบุตรทั้งสองกลับจวนสกุลโจว ซึ่งกว่าที่ทุกคนจะถึงจวนก็เป็นยามโหย่วแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเรือนไป อี้ถงรีบไปเตรียมน้ำให้คุณหนูใหญ่ได้อาบ ก่อนที่นางจะไปเตรียมที่นอนเพื่อให้คุณหนูได้พักผ่อนหลังจากออกไปข้างนอกกับนายท่านและนายหญิงใหญ่มาทั้งวัน
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ… อย่าแช่น้ำนานนะเจ้าคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ อากาศเริ่มหนาวแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
อี้ถงร้องเตือนคุณหนูใหญ่ออกมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย เพราะคุณหนูของนางเพิ่งจะหายป่วย หากแช่น้ำนานๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอีกก็เป็นได้
ร่างเล็กนอนแช่น้ำหลับตาพริ้ม จิตใต้สำนึกของนางกำลังพานางวกกลับไปในอดีต ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่เป็นฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน สตรีที่เคยเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษเมืองฮวาหลาน หากยามนั้นนางมิรับปากที่จะออกเรือนไปกับเขา ชีวิตของนางจะมีจุดจบเช่นไรกันนะ
จะเป็นเช่นยามนี้ไหม หลานสาวของนางจะต้องจากไปหรือไม่ เรื่องนี้นางเองก็ยังหาคำตอบมิได้ แม้เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่ผู้ใดก็มิอาจจะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นกับนางแล้ว… ชีวิตนางหลังจากนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางเดินใหม่ เพื่อมิให้ซ้ำรอยเดิม