เพราะความเจ็บปวดที่เคยได้พานพบมิอาจลบเลือน สิ่งที่กระทำได้เมื่อยังคงมีชีวิตอยู่ก็คือการปล่อยวางและไม่เดินไปตามแนวทางเดิมอีก เพื่อมิให้ในชีวิตใหม่นี้ได้รับความทุกข์ ฉินเซี่ยหรูจึงใช้ชีวิตในร่างของโจวเจินเจินแบบระมัดระวัง นางศึกษาในเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อนางเองในภายภาคหน้า หากถามนางในวัยเพียงเจ็ดขวบนี้ นางสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า โตมานางจะไม่ออกเรือนไปกับผู้ใด
“เจินเอ๋อร์...เหตุใดไปตอบท่านย่าว่าเช่นนั้นล่ะลูก” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามออกมาเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าบอกเล่าเรื่องราวที่นางแอบสอบถามหลานสาวให้กับบุตรชายฟัง
“ลูกคิดเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่”
นางตอบเพียงเท่านั้น สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากัน หรืออาจจะเป็นเรื่องของท่านป้าของนางที่ตรอมใจตายไปก่อนที่นางจะฟื้นขึ้นมา
“อืม…แล้วนี่ท่านอาจารย์จะให้เจ้าเข้าไปสอบที่สำนักศึกษาวันใดกัน”
ใต้เท้าโจวเปลี่ยนเรื่องคุยกับบุตรีทันที เขากลัวว่านางอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจเรื่องของท่านป้าของนางจึงล้มเลิกที่จะกล่าวถึงเรื่องคู่ครองของนางในภายภาคหน้า อีกตั้งแปดปีกว่าจะถึงพิธีปักปิ่น หลังจากนั้นความตั้งใจของนางอาจจะเปลี่ยนไปก็เป็นได้
“อีกสองวันข้างหน้าเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าคิดว่าทำได้หรือไม่ แม่ล่ะยังมิอยากให้เจ้าไปเลย เจ้าเพิ่งจะหายป่วยได้ไม่นานมานี้เอง รออีกสักหน่อยมิดีกว่าหรือเจินเอ๋อร์…” ฉินเซี่ยหรงก็ยังคงเป็นฉินเซี่ยหรงที่ห่วงใยบุตรีอย่างไรอย่างนั้น ริมฝีปากเล็กของเด็กหญิงฉีกยิ้มออกมา
“ท่านแม่… ท่านอย่าห่วงอันใดไปเลยนะเจ้าคะ ลูกแข็งแรงขึ้นมากแล้ว มิได้เจ็บป่วยเช่นดังแต่ก่อน อืม… ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ลูกมีเรื่องอยากที่จะถามพวกท่าน” สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้าให้กับบุตรี
“คือบ่าวที่รับใช้ท่านป้าสองคน พวกนางยังอยู่ที่จวนสกุลหวงหรือไม่เจ้าคะ” ความตายพรากนางมาก่อนจนต้องทิ้งบ่าวที่ภักดิ์ดีต่อนางเอาไว้ในจวนแห่งนั้น
“แม่ได้ข่าวว่าพวกนางถูกขายออกไปแล้วนะลูก เจ้ามีอันใดหรือ”
“ข่ะ…ขายหรือเจ้าคะ ขายให้กับสกุลใดกันเจ้าคะ”
เสียงเล็กร้องถามออกมาด้วยความตกใจ นางมิได้คาดหวังให้จวนสกุลหวงทำดีกับบ่าวที่ซื่อสัตย์ทั้งสองของนาง แต่นางก็มิได้คาดคิดว่าพวกนางจะถูกขายออกไป
“คงจะขายไปเป็นทาสที่เมืองฮวาหลีน่ะ มีอันใดหรือลูก”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ทั้งหุ้ยเจินและชีโยวต่างก็เป็นบ่าวที่รู้ใจท่านป้าและติดตามนางมาตั้งแต่เด็กๆ ลูกอยากจะขอให้ท่านซื้อนางกลับมาให้ลูกได้หรือไม่เจ้าคะ ลูก…อยากจะให้พวกนางมาอยู่ที่นี่แทนที่จะต้องไปเป็นทาสที่เมืองอื่น”
สองสามีภรรยาถึงกับแปลกใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรบุตรีมิได้สนใจบ่าวรับใช้ของฉินเซี่ยหรูเลยสักครา อาจจะเป็นเพราะบ่าวทั้งสองเป็นบ่าวที่คอยรับใช้ท่านป้าของนาง นางจึงอยากให้เก็บบ่าวทั้งสองนางนั่นเอาไว้
“หากนี่เป็นความต้องการของเจ้า พ่อก็จะให้คนขี่ม้าเร็วไปติดตามซื้อพวกนางกลับมา อย่าได้กังวลไป…หากพ่อได้ลงมือแล้วย่อมมิมีอุปสรรคอันใดแน่นอน”
เพราะใต้เท้าโจวเป็นถึงเจ้ากรมการกลาโหม ย่อมมิยากหากเขาต้องการสืบหาสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ร่างเล็กรีบลุกขึ้นแล้วคำนับท่านพ่อท่านแม่ของนาง อย่างน้อยสาวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนางทั้งสองคนก็มิควรจะได้รับการตอบแทนเช่นนั้น
ฉินเซี่ยหรงมองบุตรีด้วยแววตาเอ็นดู แม้จะเกิดมาอ่อนแอแต่นางก็มีจิตใจดี เห็นใจบ่าวรับใช้ มิได้ต่างจากพี่สาวผู้ล่วงลับของนางเลย และนี่อาจจะเป็นความต้องการของพี่สาวของนางเช่นกัน เหตุใดนางถึงคิดไม่ได้กันนะ นางเคยได้ยินพี่สาวบอกว่า ทั้งหุ้ยเจินและชีโยวต่างเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ คอยดูแลให้กำลังใจนางมาตลอด
“ถ้าแม่จะให้พวกนางได้แต่งงานออกเรือนไปกับบุรุษดีๆ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่เจินเอ๋อร์” เมื่อคิดได้ดังนั้นฉินเซี่ยหรงจึงเอ่ยออกมา ฉินเซี่ยหรูในร่างโจวเจินเจินฉีกยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วย
“แต่ลูกขอให้พวกนางมาอยู่กับลูกสักปีสองปีก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากจะให้พวกนางได้ตัดสินใจเลือกคู่ครองเอง" เพราะมิอยากให้บ่าวที่ซื่อสัตย์ทั้งสองของนางในอดีตต้องพบพานกับความทุกข์ใจเช่นเดียวกับนาง นางจึงอยากจะให้พวกนางได้มีความรักก่อนที่จะแต่งออกเรือนไป
“ได้สิลูก… ทำตามที่เจ้าต้องการเถิด”
ฉินเซี่ยหรงรวบร่างเล็กของบุตรีมาในอ้อมกอด คนถูกกอดกอดมารดาตอบเช่นกัน โชคดีแล้ว…ที่นางได้เกิดมาอยู่ในร่างของหลานสาว เพราะอย่างน้อยฉินเซี่ยหรงก็เป็นน้องสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนและไม่ชอบการถูกบังคับจิตใจเช่นกัน เป็นเช่นนั้นแล้วนางก็มิต้องกังวลว่าหากนางเติบโตขึ้นมา จะถูกมารดาบังคับให้ออกเรือนไป
สองวันต่อมาคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็ได้เดินทางไปสอบที่สำนักศึกษาหลุนซี บัณฑิตเก่าและว่าที่บัณฑิตใหม่ทั้งชายหญิงต่างเดินเข้าไปในสำนักศึกษาที่เลยหลังตลาดเมืองฮวาหลานไปเพียงสองลี้แต่สถานที่แห่งนี้นั้นติดกับภูเขา ธรรมชาติจากลำธารเช่นเดียวกับจวนสกุลโจวทำให้คุณหนูสกุลโจวรู้สึกผ่อนคลาย
“คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะสอบผ่าน คุณหนูเพิ่งจะผ่านการศึกษาในวิชาพื้นฐานมาไม่กี่วันเองนะเจ้าคะ” อี้ถงสาวรับใช้ที่มาส่งคุณหนูใหญ่สอบเอ่ยถามออกมา
“แน่ใจสิอี้ถง อืม… เจ้าล่ะอยากศึกษาบ้างหรือไม่” บ่าวรับใช้ส่ายหน้าไปมา นางต่ำต้อยเกินกว่าจะมาปะปนกับพวกคุณหนูตระกูลขุนนางเหล่านี้ได้
“บ่าวมิกล้าหรอกเจ้าค่ะ คุณหนูมิต้องห่วงบ่าวหรอกนะเจ้าคะ มิว่าคุณหนูจะไปอยู่ที่ใดในภายภาคหน้า บ่าวก็จะติดตามไปรับใช้คุณหนูจนคุณหนูไม่ต้องการบ่าวเลยเจ้าค่ะ”
และอี้ถงก็ช่างเป็นบ่าวที่รักและซื่อสัตย์กับโจวเจินเจินยิ่งนัก หากนางรับรู้ว่าคนที่อยู่ในร่างของคุณหนูใหญ่ยามนี้มิใช่จิตวิญญาณของคุณหนูใหญ่ นางคงจะเสียใจอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้น ฉินเซี่ยหรูจะต้องเป็นโจวเจินเจิน ที่หลงลืมว่านางเป็นฉินเซี่ยหรูในอดีต มือเล็กยื่นออกไปจับไหล่ของสาวรับใช้ก่อนที่จะส่งยิ้มให้ อี้ถงรู้สึกอบอุ่นในใจ นางโชคดีที่มีคุณหนูดี คุณหนูมิเคยอารมณ์ร้ายและเป็นเด็กดีเสมอมา
“ขอบใจนะอี้ถง ถ้าเช่นนั้นก็คอยอยู่เคียงข้างข้า คอยดูแลข้าไปจนกว่าเจ้าจะได้พบเจอคนที่เจ้ารักและรักเจ้าละกัน” อี้ถงถึงกับทำหน้าเศร้า
คุณหนูใหญ่ยามนี้มักจะกังวลเรื่องคู่ครองแม้ว่านางจะอยู่ในวัยเพียงเจ็ดปีเท่านั้น แต่อี้ถงกลับรู้สึกได้ว่าคุณหนูของนางในยามนี้ดูเติบโตขึ้นมาก ความคิดของนางมักจะเป็นสิ่งที่มิมีผู้ใดสามารถคาดเดาได้
“คุณหนูใหญ่สกุลโจวเชิญเข้าไปเตรียมตัวสอบได้แล้วขอรับ”
“เจ้าค่ะ… อี้ถงข้าไปสอบก่อนนะ”
นางตอบรับพลางหันไปบอกสาวรับใช้คนสนิท อี้ถงพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ คุณหนูใหญ่ของนางช่างสดใสเสียจริง ขอให้นางสอบผ่านได้เข้าสำนักศึกษาแห่งนี้สมความตั้งใจด้วยเถิด