BAD WEDDIND - วิวาห์พารัก | 3

1313 Words
“เรามายกเลิกงานแต่งกันไหม” ฉันพูดขึ้นพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา คุณแม่เล่าให้ฟังว่าเขาชื่อพี่ติณณ์และฉันต้องแต่งงานกับเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจึงเป็นเหตุให้ฉันต้องกลุ้มใจอยู่แบบนี้เพราะฉันอายุแค่สิบแปดปีและกำลังจะถูกจับแต่งงาน “ฉันขัดแม่ไม่ได้ แล้วเธอล่ะขัดแม่ได้หรือเปล่า” เขาตอบกลับมาทันที “หนูก็ขัดไม่ได้เหมือนกัน” ฉันตอบกลับไปนั่นทำให้เราสองคนต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกันเลยทีเดียว “ถ้าทั้งเธอและฉันก็ต่างขัดแม่ไม่ได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่งานแต่งจะถูกยกเลิก” เขาพูดขึ้นโดยไม่หันมองหน้าของฉัน มือหนาก้มกดโทรศัพท์อย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง “พูดเหมือนอยากแต่ง” ฉันพูดขึ้นทันทีเพราะประโยคที่เขาพูดว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่งานแต่งจะถูกยกเลิก มันกลับทำให้ฉันเข้าใจว่าเขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการแต่งงานในครั้งนี้ “เธอไม่ใช่สเปคของฉันด้วยซ้ำ ฉันชอบผู้หญิงแซ่บๆ ไม่ใช่โก๊ะๆแบบเธอ” คำพูดของเขาทำฉันโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยฉันก็ไม่ใช่สเปคของเขา ต่อให้แต่งกันไปเขาก็คงไม่พิศวาสในตัวฉัน “ก็ดีแล้วค่ะแต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้งานแต่งต้องยกเลิกได้เลยหรอ” ฉันถามกลับอีกครั้งเพราะฉันไม่อยากแต่ง ฉันกลับมาจากเมืองนอกเพราะอยากมาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่ ไม่อยากใช้ชีวิตคนเดียวห่างพ่อห่างแม่แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าฉันกลับมาเพื่อแต่งงาน “ไม่มี” เขาตอบกลับอีกครั้ง “งั้นเรามาทำข้อตกลงกันดีไหมพี่ติณณ์” ฉันพูดขึ้นทันที ในเมื่อมันยกเลิกไม่ได้ ฉันกับเขาก็ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องในข้อตกลงระหว่างเราสองคน “ข้อตกลงอะไร” คนตรงหน้ากดปิดหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับหันหน้ามองฉัน “อีกหน่อยเราก็ต้องแต่งงานกัน หนูว่าเราควรมีข้อตกลงกัน” ฉันตอบกลับไปเพราะยังไงตอนนี้ฉันและเขาก็ถูกจับให้อยู่ด้วยกัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องนั่งเงียบใส่กัน “ฉันคิดว่าเธออยากแต่งเสียอีก” เขาพูดขึ้นอีกครั้งทำฉันต้องรีบหันหน้าไปมองเขาซึ่งเขาก็มองฉันอยู่แล้ว จังหวะนี้มันทำให้เราสองคนสบตากันโดยบังเอิญ “เพราะอะไรถึงคิดแบบนี้คะ” “ก็เธอดูมีความพยายามเข้าหาฉัน อยากทำนู่นทำนี่” “พี่ไม่รู้หรอว่าถ้าแต่งงานกันไปแล้ว หนูต้องย้ายไปอยู่กับพี่ การที่หนูต้องเอาตัวเองไปอยู่กับพี่อย่างเลือกไม่ได้ มันก็ควรมีข้อตกลงร่วมกัน” ฉันพูดขึ้นอย่างยาวเหยียดและอธิบายในสิ่งต่างๆให้เขาเข้าใจ ก่อนที่เขาจะคิดว่าฉันอยากแต่งงานกับเขา ไม่สิ ! เขาคิดไปแล้วด้วยซ้ำ “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่พิศวาสอะไรเธอหรอก ไม่ใช่สเปคยังไงก็ไม่ใช่สเปค” เขาพูดขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่มีแม่บ้านออกมาตามเราทั้งคู่เข้าไปทานข้าว “วันนี้ไหนๆก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วเรามาคุยเรื่องงานแต่งดีกว่า” คุณป้ามณีแม่ของพี่ติณณ์พูดขึ้นหลังจากที่พวกเราทานอาหารเย็นเสร็จ “ทางน้องก็ได้ฤกษ์แล้วค่ะคุณพี่” ตามต่อด้วยคุณแม่ของฉันที่พูดขึ้นพร้อมหยิบกระดาษใบเล็กๆขึ้นมา “น้องไปให้หลวงพ่อวัดดังดูฤกษ์ให้เลยนะคะ” คุณแม่ของฉันพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมส่งกระดาษใบเล็กให้คุณป้ามณี “อีกสามเดือนเป็นช่วงที่พี่ติณณ์เรียนจบพอดีเลย ส่วนหนูไอรินก็สามารถทำเรื่องเข้ามหาลัยได้แล้ว ฤกษ์ดีมากเลยนะ” คุณป้ามณีที่ดูฤกษ์ในกระดาษก็พูดขึ้นทันที “แสดงว่าอีกสามเดือนงานแต่งจะถูกจัดขึ้นใช่ไหมครับ” พี่ติณณ์ที่นั่งอยู่ข้างฉันถามขึ้น “ใช่แล้วพี่ติณณ์ อีกสามเดือนลูก” คุณป้ามณีตอบกลับลูกชาย “งั้นในระหว่างนี้ก่อนถึงงานแต่ง แม่ว่าพี่ติณณ์เอาหนูไอรินไปอยู่ด้วยที่คอนโดน่าจะดีนะ เดี๋ยวแต่งไปก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว” คุณป้ามณีพูดขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้ฉันเกิดความไม่สบายใจขึ้นเพราะฉันไม่ได้เตรียมใจที่จะไปอยู่กับเขาในตอนนี้ “แม่อย่าพึ่งตัดสินใจเองแบบนี้ ถามคุณป้าจันทร์เพ็ญก่อนดีไหม ลูกสาวเขาจะให้เอาไปง่ายๆแบบนี้ไม่ดีนะ” ฉันรู้ดีว่าที่เขาพูดไม่ใช่การแสดงออกถึงความเป็นสุภาพบุรุษหรืออะไรแต่เขาแค่ไม่อยากให้ฉันไปอยู่ด้วยเพียงเท่านั้น “คุณน้องว่ายังไงคะ ให้อยู่ด้วยกันก่อนหรืออยู่หลังแต่ง” คุณป้ามณีหันหน้ามาถามคุณแม่ของฉัน ฉันเองรู้คำตอบดีว่าคุณแม่ก็อยากให้ลูกสาวคนเดียวอย่างฉันอยู่บ้านกับท่านอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้ไปอยู่กับคนอื่นล่ะ ยิ่งฉันพึ่งกลับมาด้วยความคิดถึงก็ต้องมีมาก “อยู่ก่อนแต่งก็ดีนะคะ มีอะไรจะได้ปรับกันไป” ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ ฉันหน้าถอดสีทันทีเมื่อคุณแม่เริ่มเห็นด้วยกับคุณป้ามณี “แล้วพี่ติณณ์ว่ายังไงบ้างลูก ถ้าให้หนูไอรินไปอยู่ด้วย” คุณป้ามณีถามขึ้นอีกครั้งเหมือนต้องการความคิดเห็น “ผมก็ขัดแม่ไม่ได้อยู่แล้วไหมล่ะ” คนข้างๆฉันตอบกลับไปทันที “แล้วไอรินล่ะลูก โอเคใช่ไหม” คราวนี้เป็นคุณแม่ที่หันมาถามฉันแทน เหอะ คิดว่าจะไม่ถามกันเสียแล้ว คิดว่าจะคิดเองเออเองกันไปหมด “ไม่ค่ะ หนูไม่อยากไปอยู่กับพี่ติณณ์” ฉันตอบตามความต้องการของฉันทันที ฉันมีเวลาอีกสามเดือน ฉันควรได้ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ใช่ถูกมัดมือชกให้ไปอยู่กับเขา “ผู้ใหญ่เขาเห็นพร้อมตรงกัน พี่ติณณ์เขาก็ไม่ขัดข้อง ไอรินจะขัดทำไมลูก” คุณแม่พูดขึ้นต่อ นั่นทำให้ฉันต้องหันหน้าไปมองคนเป็นพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือ “ลูกคงอยากใช้ชีวิตอิสระก่อนแหละคุณ” คราวนี้คุณพ่อของฉันพูดขึ้นซึ่งคุณพ่อรู้ใจฉันที่สุด “อยู่กับพี่ติณณ์ หนูไอรินก็มีอิสระเต็มที่นะลูก ป้าว่าอยู่ด้วยกันไปเลยน่าจะดี หนูไอรินเองก็พึ่งกลับมาไทยได้ไม่นาน ไม่รู้ทางไปไหนมาไหน อยู่กับพี่ติณณ์ก็คงจะดีนะ” คุณป้ามณีพูดขึ้นอย่างยาวเหยียดทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี “แบบนั้นหนูยิ่งเกรงใจเลยค่ะคุณป้า” ฉันตอบกลับอีกครั้งเมื่อคิดคำพูดดีๆได้ “เกรงใจอะไรกัน ไม่ต้องเกรงใจจริงไหมพี่ติณณ์” คุณป้ามณีหันไปพูดกับลูกชายอย่างไพเราะแต่สายตากลับเป็นการบังคับชัดๆ “อือ ไม่ต้องเกรงใจ” ฉันเชื่อแล้วจริงๆว่าพี่ติณณ์ขัดแม่ไม่ได้ “คราวนี้สบายใจแล้วนะหนูไอริน” เป็นคุณลุงกำพลพ่อของพี่ติณณ์พูดขึ้น “สบายใจแล้วค่ะ” ฉันจึงตอบกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้ “แล้วหนูต้องย้ายไปอยู่กับพี่ติณณ์วันไหนคะ” “วันนี้เลยไหมหนูไอริน / วันนี้เลยลูก” “วะ…วันนี้หรอคะ !”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD