ตอนนี้ผมก็อยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าผมมาถึงก่อนเวลาอาหารเย็นตามที่แม่บอกก่อนสองสามชั่วโมงเพราะผมไม่ได้เข้าบริษัท ไม่มีอารมณ์ที่จะทำงาน อาจจะฟังดูไร้ความรับผิดชอบแต่ก็นั่นแหละลองมาเป็นผมดู
“พี่ติณณ์ของแม่ มาเร็วจริงๆเลย” เสียงของคนเป็นแม่ดังขึ้นพร้อมกับเดินตรงมาหาผมทันทีเมื่อผมก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน
“ผมไม่อยากแต่ง” ผมพูดขึ้นเมื่อแม่พูดจบเพราะคำพูดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผม
“พี่ติณณ์ไม่น่ารักเลยนะ วันนี้แม่อารมณ์ดีหรือพี่ติณณ์อยากให้แม่อารมณ์เสีย”
ใครจะอยากให้แม่อารมณ์เสียกันเพราะเวลาที่แม่อารมณ์เสียมันยิ่งกว่านางยักษ์เสียอีก ทำเอาทุกคนหัวหดไม่กล้าพูดอะไรแต่วันนี้ผมคิดว่าแม่คงต้องอารมณ์เสียเพราะประโยคที่ผมจะพูด
“แม่จะให้ติณณ์แต่งงานกับคนที่ติณณ์ไม่รักได้ยังไง” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอพูดหน่อยแล้วกัน ยังไงก็ชีวิตมันก็เป็นของผม
“พี่ติณณ์พูดมาตั้งแต่เด็กว่าอยากแต่งงานกับน้อง” ผม งง เป็นไก่ตาแตกยิ่งกว่าเก่าเมื่อแม่พูดขึ้น
“ผมพูดหรอ” ผมถามย้ำอีกครั้ง
“ก็ใช่นะสิ พี่ติณณ์จำน้องไม่ได้หรือไง หนูไอรินที่มาเล่นบ้านเราบ่อยๆไงลูก”
ไอริน เด็กสาวต่างวัยที่เคยมาเล่นที่บ้านของผมบ่อยๆในตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่นั่นมันตอนเด็กเลยนะเว้ย แม่จะมาเอาอะไรกับคำพูดของผม
“หนูไอรินของแม่อายุเท่าไหร่แล้ว” ผมถามกลับทันทีเมื่อความทรงจำเก่าๆเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเริ่มไหลเข้ามาในหัวพร้อมกับยกแก้วน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นดื่มเพื่อปรับความอารมณ์ร้อนของตัวเอง
“อายุสิบแปด”
พรวด !
คำว่าอายุสิบแปดที่แม่พูดจบ ทำเอาผมสำลักน้ำที่ดื่มไปทันที
“สิบแปดปี” ผมพูดย้ำอีกครั้ง
“ก็ใช่นะสิ พี่ติณณ์แก่กว่าน้องสี่ปีไงลูก อะไรกันจำไม่ได้หรอ” แม่พูดขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางไม่เดือดร้อนอะไรแต่เดี๋ยวนะ แม่จะให้ผมแต่งงานกับเด็กอายุสิบแปดมันใช่หรอ
“ถ้าเธออายุสิบแปดทำไมแม่ไม่ให้แต่งงานกับไอ้เต” ไอ้เตที่ผมพูดถึงมันเป็นน้องชายของผม ซึ่งมันชื่อเตชินทร์และอายุของมันก็ไล่เลี่ยกับเด็กนั่นด้วยซ้ำ
“น้องเตแก่กว่าหนูไอรินสองปีนะพี่ติณณ์” แม่พูดขึ้นอีกครั้ง
“ผมแก่กว่าเด็กนั่นถึงสี่ปีเลยนะแม่” ถ้าแต่งแบบเทียบอายุ คนที่เหมาะคงเป็นไอ้เต ไม่ใช่ผม
“แก่กว่าอะไรกันสี่ปีเอง” ผมถอนหายใจทันที
ไอ้เตสองปีบอกแก่ ส่วนผมที่แก่กว่าสี่กลับไม่ขัดอะไร ไหนความยุติธรรม
“แล้วเด็กนั่นยอมแต่งหรอแม่” ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะอายุสิบแปดให้ทายตอนนี้ก็คงอยู่มัธยมหกแต่กลับต้องมาแต่งงาน ยอมได้ไงวะ
“อันนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆมีหน้าที่ทำตามก็พอ” แม่พูดขึ้นแล้วลุกเดินหนีเข้าไปในครัวทันที
แน่นอนว่าถ้าหากเป็นแบบนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้
“พ่อไม่คิดจะห้ามแม่เลยหรือไง” ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะตรงนี้มีคนเป็นพ่อนั่งอยู่นานแล้วแต่ไม่คิดจะเอ่ยปากอะไรเลยสักนิด
“แกอยากเห็นแม่แกอารมณ์ไม่ดีหรือไง” คนเป็นพ่อตอบกลับมา
“ก็ไม่แต่นี่ผมต้องแต่งงานเลยนะ” ผมว่าขึ้นอย่างหัวเสียเพราะรู้ได้อย่างทันทีว่าพ่อก็ช่วยไม่ได้
“หนูไอรินหน้าตาน่ารัก แกจะกลัวอะไร” จะน่ารักหรือไม่น่ารัก ถ้าคนมันไม่อยากแต่งก็คือไม่อยากแต่ง
“ที่บอกว่าน่ารัก พ่อเคยเจอแล้วหรือไง” เพราะผมไม่เจอเด็กนั่นมาหลายปีแล้ว จำได้ว่าเธอต้องไปเรียนเมืองนอกและเธอหายไปจากความทรงจำของผมแบบไม่มีผลอะไรต่อชีวิตของผมเลย จนตอนนี้เธอกลับมามีผลต่อชีวิตของผมอีกครั้ง
“อาทิตย์ก่อนแม่แกพึ่งจะชวนมากินข้าวที่บ้าน” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะเลี่ยงเดินออกมา
เวลาผ่านไป
รถยนต์คันใหม่ถูกขับเข้ามาจอดภายในบ้านของผมพร้อมกับบุคคลมาใหม่สามคนที่กำลังเดินเข้ามา
แน่นอนว่าสองคนข้างหน้าผมรู้จักดีเพราะเป็นคนสนิทของพ่อกับแม่แต่คนสุดท้ายที่เดินเข้ามากลับไม่คุ้นหน้า
คำว่าน่ารักของผมหายไปทันทีเมื่อเห็นเด็กคนนี้ เธอไม่ได้ดูน่ารักแต่เธอกลับดูแสบและซน ท่าทางการเดิน สไตล์การแต่งตัวที่ดูไม่เป็นผู้หญิงแบบนี้ พ่อเอาอะไรมาพูดน่ารัก
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” ผมพูดขึ้นพร้อมยกมือไหว้อย่างเคารพ
“สวัสดีค่ะ โตไวเป็นหนุ่มแล้วนะเนี่ย” คุณป้าจันทร์เพ็ญตอบกลับมา ส่วนคุณลุงศักดิ์ดาก็พยักหน้าให้ผมหนึ่งทีเป็นอันรู้กัน
“สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า” เสียงเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างพูดขึ้นพร้อมยกมือไหว้ด้วยท่าทางคุ้นชิน
“ไหว้พี่เขาด้วยสิไอริน” คุณป้าจันทร์เพ็ญพูดขึ้น นั่นทำให้เด็กคนนี้ยกมือไหว้ผมอย่างลวกๆ
ท่าทางแบบนี้ ดูก็รู้ว่าโดนบังคับมาเหมือนกัน
“เดี๋ยวเด็กๆไปคุยกับดีกว่านะเพราะคนแก่จะเข้าครัว” เสียงแม่ของผมดังขึ้นพร้อมกับจับมือคุณป้าจันทร์เพ็ญเข้าไปในครัว ส่วนคุณป้าจันทร์เพ็ญเองก็ผลักตัวลูกสาวเข้าหาผม
ผมจึงรับตัวของเธอไว้ตามสัญชาตญาณ
“หลอกแต๊ะอั๋งหนูหรอ” เธอพูดขึ้นพร้อมกับดีดตัวออกจากผม
“ตัวเท่านี้มีอะไรให้จับ ถ้าฉันไม่รับเธอไว้ตอนนี้เธอเจ็บไปแล้วหรือเปล่า” ผมตอบกลับทันที ไม่รู้เอาอะไรมาคิดว่าผมจะแต๊ะอั๋ง เธอไม่ใช่สเปคของผมเลยด้วยซ้ำ
สเปคผมก็คงหนีไม่พ้นผู้หญิงแซ่บๆ ต่างกับเธอที่ดูห้าวๆโก๊ะๆเพราะจากการแต่งตัวก็พอดูออก กางเกงยีนขายาวกับเสื้อยืดตัวโคร่งๆ
บทสนทนาของเราทั้งคู่จบลงแค่นั้นเพราะไม่มีผมหรือเธอที่สานต่อ
“พี่อยากแต่งงานหรอ” เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปอยู่นาน
“ฉันไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลยด้วยซ้ำ” คำตอบของผมทำเอาคนตรงหน้าถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เรามายกเลิกงานแต่งกันไหม”
“ฉันขัดแม่ไม่ได้ แล้วเธอล่ะขัดแม่ได้หรือเปล่า”