ล้มใน 5 นาที

1366 Words
“เดี๋ยวรู้ทางเหรอ!? ” ดิสที่วิ่งจูงมือราชาวดีถึงกับชtงักเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ‘เออว่ะ ดันเจี้ยนไปทางไหนวะ? ’ เขาหยุดวิ่งกลางถนนที่เละเทะจากฝีมือมอนเตอร์ ก่อนจะหันหน้าไปมองราชาวดี ที่ตอนนี้พอโดนปล่อยมือก็ยืนเท้าเข่าตัวเองหอบหายใจ เขาลืมนึกไปเลยว่าตนอัปความเร็วมา การจูงราชาวดีวิ่งไม่แตกต่างจากการทรมานอีกฝ่ายสักนิด ดิสหันมองทางราชาวดีอย่างรู้สึกผิด “ข ขอโทษ” ราชาวดีปัดมือไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ไม่เป็นไร…” ตอนนี้เขาค่อนข้างวิ่งห่างจากจุดเดิม แต่ก็ไม่มากนัก เพราะสามารถเห็นพรานทมิฬวัยมัธยมทั้งสามคนที่วิ่งตามมาอยู่ไกลๆ พร้อมเสียงโวยวายของไผ่ ราชาวดีมองมาทางดิส ก่อนจะกล่าวถามเขาหอบๆ “นี่… ทำไมต้องรีบขนาดนี้สิ” ดิสยิ้มแห้ง “คือไอ้เงื่อนไขที่เราบอกมันมีจับเวลาด้วยอ่ะ” ราชาวดีถึงขั้นเลิกคิ้วเมื่อได้ยินดิสพูดแบบนั้น “ห้ะ? อะไรเนี่ย เงื่อนไขมันคืออะไรกันแน่เนี่ยดิส” เขาคิดแล้วว่าราชาวดีต้องถามแบบนี้ แต่มันก็ไม่แปลกหรอก เล่นทำตัวมากเรื่องขนาดนี้ ถ้าไม่มีใครสงสัยก็บ้าไปละ เขาแสดงท่าทางเงอะงะเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบอีกฝ่าย “คือเรื่องมันยาวจริงๆ อ่ะ รอเรื่องจบนะ เดี๋ยวเล่าเลย” ราชาวดีที่ได้ฟัง ก็ทำได้แค่ถอนหายใจ “ได้… เราหวังว่ามันจะคุ้มค่านะ” ดิสได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา เขาดีใจมากที่ราชาวดีนั้นเข้าใจ ‘ราชาวดีนี่ใจดีจริงๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอด้วยซ้ำ แต่ก็ยังเสี่ยงช่วยเรา’ ระหว่างที่หนุ่มสาวกำลังคุยกัน สามพรานทมิฬก็ได้วิ่งมาถึงจุดที่เขายืนอยู่ ไผ่ไม่รอช้าโวยวายแบบที่ทำมาตลอดระหว่างวิ่งตาม “นี่เฮียเป็นห่านอะไรเนี่ยนึกจะวิ่งก็วิ่ง” ดิสที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ก้มหัวขอโทษทุกคน เพราะตอนนี้เหมือนจะเขาผิดเต็มๆ พรานทมิฬทั้งสามมองเขา ตอนนี้พวกสามพรานได้รับการยืนยันแล้วว่าดิสคงเป็นพวกโรคจิตชอบความรุนแรงจริงๆ เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหน วิ่งตะโกนตามหาดันเจี้ยนหรอก พอทั้งกลุ่มรวมตัวกันครบ ก็ถึงเวลาต้องไปที่ดันเจี้ยนจริงๆ สักที แน่นอนทุกอย่างไม่มีแผน ไม่มีการวางกลยุทธ์ เพราะดิสรีบมาก และตอนนี้เขาเปรียบเสมือนผู้นำของทีมนี้ (ก็อย่างว่าแหละ ทุกอย่างที่ทำคือสิ่งที่เขาต้องการอยู่คนเดียว) ทั้ง 5 คน เริ่มเดินทางโดนมีคนนำทางเป็นสามพรานวัยรุ่น เพราะพวกนั้นรับภารกิจมา จึงรู้ว่าดันเจี้ยนอยู่ตรงไหน ใช้เวลาเดินทางไม่นานราว 10 กว่านาที พวกเขาก็มาถึงจุดหมาย มันอยู่ไม่ห่างโรงพยาบาลนัก มันคือดันเจี้ยนขนาดกลางไม่ใหญ่นักแต่ก็สูงพอๆ กับตึกหลายสิบชั้น ซึ่งแน่นอนบนโลกมีดันเจี้ยนที่ใหญ่กว่านี้อยู่ ดันเจี้ยนตั้งอยู่ข้างถนน มันค่อนข้างจะโดดเด่น แต่ด้วยตึกรอบๆ มันก็ไม่แปลกที่ถ้ามองมาจากถนนหน้าโรงพยาบาลแล้วจะไม่เห็น ‘เหลือเวลาเท่าไหร่เนี่ย’ ถึงจะตื่นเต้นกับการเข้ามาใกล้ดันเจี้ยนครั้งแรก แต่เขาไม่มีเวลาได้รู้สึกมากนัก เควส : เหลือเวลาในการทำเควส 7 นาที บทลงโทษ : หากทำเควสไม่สำเร็จ จะถูกหักแต้มทั้งหมดรวมถึงที่เคยใช้ไปแล้ว 50 แต้ม เขาแทบจะช็อคตาค้างกับเวลาที่เสียไป ‘โอ้ย!! เหลือ 7 นาที จะเอาไรไปทันวะเนี่ย’ เขามองเป็นทางปากถ้ำที่มีประตูขนาดใหญ่เปิดกว้างทิ้งไว้ นั่นเป็นฝีมือของพรานทมิฬกลุ่มแรกที่เข้ามาและถูกจัดการในดันเจี้ยนนั้น ดิสแสดงสีหน้าร้อนรนก่อนจะตั้งท่าเตรียมพุ่งเข้าไป แต่ขณะนั้นก็มีเงาะป่าตัวหนึ่งพุ่งออกมาหาเขาก่อนที่ดิสจะได้ขยับตัว ราชาวดีเตรียมจะสร้างบาเรียแต่มะลิพรานสาววัยมัธยมก็จับข้อมือปรามเธอไว้ เธอจึงหันไปมองเล็กน้อยอย่างสงสัย มะลิจึงกล่าวตอบ “ปล่อยเป็นหน้าที่เราเถอะค่ะ” เคนโด้พุ่งมาขวางหน้าดิสก่อนจะมีวงเวทย์สีเขียวเรืองแสงพร้อมโล่พลังงานสีเดียวกันปรากฏขึ้นที่มือเด็กหนุ่ม ตึ้ง! เงาะป่ากระโจนกระแทกเจ้ากับโล่อย่างจัง เด็กเซถอยสองสามก้าวแต่ก็รับการโจมตีไว้ได้ เท่าที่ดิสเห็นเคนโด้ดูจะลำบากไม่น้อยในการรับมือ ‘นี่สินะความต่างระหว่างคลาส’ “ไผ่!” เคนโด้ตะโกนขึ้นสุดเสียง “รู้แล้วน่า!” คนเป็นพี่ชายขานรับก่อนจะวิ่งตรงเข้ามาหาทันที มือสองข้างของไผ่ปรากฏวงเวทย์สีเหลืองขึ้น ก่อนจะจางหายแปรเปลี่ยนเป็ แส้พลังงานไฟฟ้าสีเดียวกันในมือทั้งสอง ไผ่กระโจนขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะง้างแส้ฟาดเข้าใส่มอนเตอร์อย่างจังจนเกิดแสงสว่างวาบ ร่างของมอนเตอร์ล้มลงตัวไหม้เกรียม ในขณะที่สองพี่น้องยิ้มและชนหมัดกันอย่างรู้ใจ ดิสตื่นเต้นไม่น้อยที่เห็นพวกเด็กๆ ใช้พลังกัน แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว เขาวิ่งผ่านสองพี่น้องไปที่ปากถ้ำทันที ‘จะหมดเวลาแล้ว!’ ระหว่างนั้นมีเงาะป่าสองสามตัวโผล่มา แต่มันก็ไม่คณามือเขา เพียงเขาแค่ชกใส่มันคนละหมัด มอนเตอร์ทุกตัวก็ล้มไปกองกับพื้น พรานทมิฬวัยมัธยมทั้งสามคนได้เห็นแบบนั้นก็อ้าปากค้าง อึ้งตะลึงกับสิ่งที่เห็น “เก่งแฮะ…” ไผ่พึมพำออกมาเบาๆ พอจัดการมอนเตอร์เสร็จ ดิสก็วิ่งตรงเข้าไปในดันเจี้ยนทันที เขาไม่มีเวลามากนัก ทั้ง 4 คนที่เห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้า วิ่งตามดิสเข้าไปทันที ดิสเดินนำทุกคน ภายในถ้ำเป็นอุโมงที่มืดมิด แต่มันไม่ใช่ปัญหา เพราะว่าวงเวทย์ของทุกคนสามารถส่องแสงในความมืดได้ ดิสค่อนข้างจะอิจฉาเล็กน้อย เพราะเขาไม่มีวงเวทย์แบบคนอื่น แต่นั่นก็ทำให้ดิสนั้นเข้าใจ ‘ดูเหมือนว่าเวลาใช้พลัง จะต้องมีวงเวทย์ปรากฏออกมาจริงๆ ด้วย’ ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงปลายทาง ที่อยู่ของบอส ตรงหน้าพวกเขามีบัลลังก์โครงกระดูก พร้อมกับชายร่างกายกำยำหัวฟู ผิวสีดำทมึนสสวมชุดเกราะทหารไทยโบราณจ้องมาทางเขา ดูแล้วส่วนสูงของบอสตัวนี้จัดว่าเท่ากับมาตรฐานของมนุษย์ทั่วไป ดิสที่โดนจ้องมาแบบนั้นก็หลบตาทันทีด้วยความประหม่า ‘โอย… น่ากลัวชิบ’ เขาพยายามข่มอารมณ์ก่อนจะหันไปมองมันอีกครั้ง ‘คล้ายเงาะป่าซะมากกว่าลูกกระจ๊อกซะอีก’ ในขณะนี้ ทุกคนก็เตรียมพร้อมรบ ดิสที่เห็นแบบนั้นจึงยกการ์ดขึ้นเตรียมพร้อมเช่นกัน หึหึหึ… เสียงหัวเราะดังเบาๆ มาจากเงาะป่าตัวบอส “มนุษย์เอ๋ย เจ้าคือกลุ่มคนที่จะมาสังหารข้าสินะ” เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็หันมองไปทางคนอื่นด้วยท่าทางประหลาดใจ “บอสพูดได้ด้วยเหรอ? ” ราชาวดีได้ยินแบบนั้นจึงเลิกคิ้วหันมองไปทางเขา “หือ? ไม่หนิ” ดิสได้ยินคำตอบและได้เห็นสีหน้างวยงงของทุกคนแบบนั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันไม่ปกติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัย เวลาของเควสเหลือไม่มากแล้ว! เขามองไปทางบอสที่ค่อยๆ ยืนขึ้น พร้อมกับหยิบหอกโครงกระดูกขึ้นมาถือไว้ในมือ “ช่วยแสดงให้ข้าเห็นที ว่าพวกเจ้าควรคู่ที่จะสังหารข้าผู้นี้” ดิสมองไปทางเงาะป่าตัวบอสด้วยสีหน้าร้อนรนเล็กน้อย ‘ขนาดบอสยังพูดมากเลยแฮะ’ ตอนนี้เขาจะไม่ชักช้า ดิสตะคอกใส่บอสสุดเสียงก่อนจะกระโจนง้างหมัดเข้าไปหาทันที “หุบปากเลย ฉันจะล้มแกใน 5 นาที!” To be continued →
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD