ตอนนี้พวกเขายังยืนคุยกันอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน ดิสโล่งใจไม่น้อยที่ทุกอย่างดูจะราบรื่นดีไม่มีปัญหา แต่เขายอมรับเลยว่าตื่นเต้นไม่น้อยที่ต้องไปสู้กับบอสแล้วปิดดันเจี้ยน
ราชาวดีมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ อย่างว่าแหละ นี่เป็นครั้งแรก ไม่แปลกที่ราชาวดีจะเข้าใจ เธอเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ดิสพร้อมกับยิ้มให้เป็นกำลังใจ
ดิสที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มตอบเธอ
เด็กสาวพรานทมิฬที่เห็นสถานการณ์กดดันคลี่คลายลงแบบนั้นจึงกล่าวเริ่มบทสนาทันที “เราอาจจะเริ่มต้นกันไม่สวยสักเท่าไหร่แต่ตอนนี้ เรามาทำความรู้จักกันไว้ดีกว่านะคะ”
เธอกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ดิสและราชาวดีจึงพยักหน้ารับ ดิสไม่มีปัญหาอะไรกับการทำความรู้จักผู้คนอยู่แล้ว เพราะเขาคิดว่าคนเดียวที่มีปัญหาคือไอ้เด็กเกเรนั่น
เด็กสาวที่เห็นแบบนั้นจึงรีบแนะนำตัวก่อนทันที “หนูชื่อมะลิค่ะ พรสวรรค์ของหนูคือการเทเลพอร์ตแบบที่พวกคุณเห็น เป็นพรานทมิฬคลาส B ค่ะ”
ดิสได้ยินแบบนั้นก็หันไปทางราชาวดี “พรสวรรค์..”
“พลังพิเศษของพวกพรานทมิฬ ถ้าเป็นทางการจะเรียกว่าพรสวรรค์น่ะ”
พอราชาวดีอธิบายแบบนั้นดิสก็เข้าใจทันที ตอนแรกเขาก็เดาว่าเป็นแบบนี้ แต่ตนแค่ต้องการให้ราชาวดียืนยันเพียงเท่านั้น
พอเด็กสาวที่ชื่อมะลิแนะนำตัวเสร็จ เด็กชายสวมแว่นจึงแนะนำตัวต่อหลังจากนั้น “ส่วนผมชื่อ ‘เคนโด้’ พรสวรรค์คือโล่ครับ เป็นพรานทมิฬคลาส C”
ท่าทางของเคนโด้หรือเด็กชายสวมแว่นคนนี้ ต่างจากไอ้เด็กเกเรนั่นลิบลับ ทั้งดูมีมารยาทกว่าและนอบน้อมกว่า
แต่ในที่สุดก็ถึงคิวของคนที่พวกเขาไม่อยากรู้จักที่สุดแนะนำตัว
ไอ้เด็กเกเรกระแอมเล็กน้อย “ชื่อไผ่ อยู่คลาส B มีพลังเป็นแส้สายฟ้า”
ดิสเลิกคิ้วนิดหน่อยพอได้ยินไอ้เด็กนั่นพูด ‘พรสวรรค์มันเท่จังวะ’
“เขาชื่อเต็มว่ากิ่งไผ่ครับ เป็นพี่ชายผมเอง” เด็กชายสวมแว่นหรือเคนโด้พูดพลางกับหัวเราะ
ดิสและราชาวดีเองก็กลั้นขำเหมือนกัน
‘นิสัยห้าวเป้ง แต่ชื่อน่ารักเฉยเลย แถมเป็นพี่น้องกับเคนโด้ด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลย’
เมื่อเด็กเกเรหรือไผ่เห็นแบบนั้นก็หันไปทำหน้าดุใส่น้องตัวเอง “หุบปากเลย!”
พอว่าเสร็จก็หันมาจ้องทางดิสและราชาวดีตาเขม็ง “เรียกไผ่ก็พอ”
‘ไม่ต้องห่วงไอ้หนู ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากเรียกชื่อเอ็งด้วยซ้ำ’
ดิสคิดในใจระหว่างนั้น ก่อนทุกคนจะหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว ดิสแสดงท่าทางเลิ่กลั่กเล็กน้อย
‘ถึงคิวเราแล้วสินะ’
“ชื่อดิสครับ ไม่ได้เป็นพรานทมิฬ”
ทุกคนนิ่งอึ้งไปกับคำตอบนั้นก่อนไอ้เด็กเกเรจะเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“ห้ะ ถ้าเฮียไม่ได้เป็นพรานแล้วมายืนหน้าสลอนตรงนี้ทำไมเนี่ย? ”
ดิสคิ้วกระตุกเล็กน้อย “เป็นความลับน่ะครับ แค่ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ ผมไม่เป็นภาระหรอก ผมก็มีพรสวรรค์เหมือนกัน”
พอได้ยินดิสพูดแบบนั้น พรานทมิฬวัยมัธยมทั้งสามก็คนก็หันมองศพมอนเตอร์ที่เกลื่อนกลาดบนถนนรอบๆ ทันที
เด็กเกเรหันมามองดิสอีกครั้ง “ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับถ้าจะเข้าไป ศพมอนเตอร์บนถนนก็ยืนยันได้ดีแล้ว”
ไผ่ไม่ได้คาใจในตัวดิส เพียงแต่แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น ว่าทำไมคนที่ยังไม่ได้เป็นพรานทมิฬถึงอยากปิดดันเจี้ยนด้วย อีกสองคนที่เหลือก็คิดเหมือนกัน พวกเขาได้แต่สงสัยว่าดิสเป็นพวกโรคจิตชอบใช้ความรุนแรงรึไง เพราะถ้าไม่ใช่พรานทมิฬ ปิดดันเจี้ยนได้ก็ไม่มีค่าจ้างให้
ไม่มีใครในกลุ่มพรานรอราชาวดีแนะนำตัว เพราะทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าราชาวดีคือใคร ราชาวดีเองก็รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายรู้จักตนอยู่แล้วจึงไม่ได้แนะนำตัว
ถึงพรานทมิฬทั้งสามจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของดิส แต่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามอะไร เพราะดูจากศพมอนเตอร์ทั้งหมดมันก็ยืนยันได้แล้วว่าดิสเองก็ไม่ธรรมดา
มะลิหันไปมองทางดิสเล็กน้อย “อย่างน้อยถ้าไม่บอกเหตุผล ขอทราบพรสวรรค์ของคุณได้รึเปล่าคะ? คุณต้องทรงพลังมากแน่ๆ ถึงจัดการมอนเตอร์ทั้งหมดนี้ได้”
ดิสเลิกคิ้วหัวเราะแห้ง ก่อนจะพยักหน้าให้เด็กสาวเล็กน้อย “ผมมีพละกำลังมากกว่ามนุษย์ปกติน่ะครับ”
พอเขาว่าจบดิสก็หันไปทางราชาวดี “อีกอย่างผมจัดการไปแค่ 10 ตัวเอง ที่เหลือราชาวดีเป็นคนจัดการ”
เมื่อกลุ่มพรานทมิฬวัยมัธยมได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไปตามๆ กัน
ไผ่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมาทางดิส “นี่ถ้าจะถ่อมตัวก็เบาๆ หน่อยเฮีย ฮีลเลอร์จะฆ่ามอนเยอะขนาดนี้ได้ยังไง”
ดิสมองไปทางอีกฝ่ายนิ่งๆ เป็นคำตอบเท่านั้น พอพรานทมิฬทั้งสามคนเห็นแบบนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าดิสไม่ได้โกหก
ทั้งกลุ่มพากันหันไปมองราชาวดี นั่นทำหญิงสาวผมชมพูประหม่าไม่น้อย
เคนโด้ตาลุกวาวและสงสัยว่าเธอทำได้ยังไงกัน เขาก็รู้อยู่หรอกว่ามันมีความแตกต่างของคลาสเข้ามาเกี่ยวด้วย แต่เขาก็ต้องการจะรู้เคล็ดลับ เพราะเขากับราชาวดีนั้นว่ากันตามตรงแล้ว พรสวรรค์ของทั้งคู่อยู่สายเดียวกัน คือสายซัพพอร์ตเพื่อน ‘โล่’ และ ‘ฮีลเลอร์’
“คุณทำได้ยังไงกันครับ? ” เคนโด้มองไปทางราชาวดีด้วยสายตาที่ดูมุ่งมั่น
ราชาวดียกมือขึ้นมาเกาแก้มเบาๆ ด้วยความประหม่า “เอ่อ… เราแค่ต้องไม่ตีกรอบให้ตัวเองว่าทำได้แค่ไหนค่ะ ไม่ยึดติดกับรูปแบบการต่อสู้แบบเดิมซ้ำๆ ”
เคนโด้พยักหน้าตั้งใจฟัง แต่ไผ่ที่เห็นแบบนั้นก็ทำสีหน้าล้อเลียนเล็กน้อย จนมะลิต้องตบแขนเบาๆ เป็นการเตือน
ดิสเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมา นี่ก็เสียเวลามามากแล้ว เขาคิดว่าควรจะไปปิดดันเจี้ยนสักที
ระหว่างที่เคนโด้กับราชาวดีกำลังคุยกัน ดิสจึงกดเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาดู
ห้าวันมานี้ดิสได้เรียนรู้หลายอย่าง 1 ในนั้นคือ ระบบจะแสดงหน้าต่างสถานะออกมาตามที่เขาคิดและต้องการ
แต่สิ่งที่เขาเห็นก็ถึงกับต้องนิ่งอึ้งไปเมื่อหน้าต่างระบบเปิดขึ้นมา
เควส : เหลือเวลาในการทำเควส 21 นาที
บทลงโทษ : หากทำเควสไม่สำเร็จ จะถูกหักแต้มทั้งหมดรวมถึงที่เคยใช้ไปแล้ว 50 แต้ม
‘ลืมไปเลยว่ามันเป็นเควสแบบจับเวลา ม่ายย เหลือแค่ 20 นาทีแล้ววว!’
ดิสตื่นตระหนกไม่น้อย เขาลืมไปเลย เขามองไปทางราชาวดีด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไปกันเถอะ”
ราชาวดีมองไปทางเขาก่อนจะกล่าวตอบ “ไม่ต้องรีบสิ วางแผนกันกันก่อน”
“มันไม่มีเวลาแล้ววดี!”
ดิสว่าก่อนจะคว้าข้อมือราชาวดีแล้วพาวิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวรู้ทางเหรอ!? ”
To be continued →