ตามสมัยไม่ทัน

1234 Words
ดิสพึ่งจะวางสายจากครอบครัว พ่อแม่ดีใจมากที่เขาตื่นขึ้น และกำลังจะเดินทางจากต่างประเทศเพื่อมาหาเขาให้เร็วที่สุด ครอบครัวเขานั้นมีฐานะที่รวยมากและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่โรงพยาบาลดูแลเขาดีมากระหว่างที่หลับอยู่ แล้วอีกอย่างพ่อแม่ก็มาเยี่ยมเขาทุกปีเลยด้วย ระหว่างนี้เขาจ้องไปที่หน้าต่างสถานะอีกครั้ง เควส : ออกกำลังกาย รางวัล 10 แต้ม (ไม่บังคับ) วิ่ง : 1 กิโลเมตร วิดพื้น : 10 ครั้ง ซิทอัพ : 10 ครั้ง เขาควรทำมันรึเปล่านะ? ถ้าทำจะได้แต้มตั้ง 10 แต้ม ซึ่งเท่าที่เขาวิเคราะห์ดูแล้ว แต้มพวกนี้น่าจะสามารถนำไปอัป ค่าต่างๆ ที่ขึ้นในตอนแรกได้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ และก็เดินออกจากห้องพยาบาลไปทันที ‘วิ่ง 1 กิโลฯ สินะ’ เขาไม่รู้ว่าจะไหวรึเปล่า แต่มันก็น่าลอง เขาหลับไปนานเกินกว่าจะพักแล้ว พวกพยาบาลที่เห็นต่างพากันห้ามดิสไว้ แต่ดิสก็ไม่ฟัง เขาวิ่งหนีพยาบาลออกมา จนไปถึงหน้าตึกได้ เขายืนยันเข่าหายใจหอบตาลาย นี่มันเหนื่อยสุดๆ ไปเลย คงเพราะร่างกายที่พึ่งตื่นมารับไม่ไหวกับการขยับตัวที่มากเกินไป แต่ทันใดนั้น เควส : ออกกำลังกาย รางวัล 10 แต้ม (ไม่บังคับ) วิ่ง : 1 กิโลเมตร ผ่าน! วิดพื้น : 10 ครั้ง ซิทอัพ : 10 ครั้ง ‘ห้ะ แค่วิ่งลงมาจากตึกก็นับเหรอ?’ ดิสมองอย่างไม่เชื่อสายตา…. หลังจากนั้นเขาก็กวาดตามองรอบๆ ทุกอย่างดูเหมือนเดิมเปี๊ยบ เหมือนก่อนที่เขาจะหลับไป บนถนนประชาชนในเมืองใช้ชีวิตปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็ละสายตาจากถ้ำขนาดยักษ์หรือดันเจี้ยนที่โผล่มาให้เห็นอยู่ไกลๆ ไม่ได้เลย แต่เพราะด้วยร่างกายที่หักโหมเกินไป เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว เขาล้มลงกับพื้นก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ มืดไป… ‘แม่ง… ไม่น่าตื่นเต้นเกินไปเลยเรา’ ห้องพยาบาล ดิสตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาลเดิมอีกครั้ง แต่มีสิ่งที่แตกต่างออกไปอยู่สองอย่าง คือ เขาไม่มีสายน้ำเกลืออีกแล้ว ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือตอนนี้พ่อแม่เขาได้มาถึงแล้วและนั่งมองอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างๆ เตียงของเขา “ทำไมถึงทำแบบนี้ลูก…” แม่ร้องห่มร้องไห้พลางกับบีบมือเขาไว้แน่น นั่นทำเขาหน้าเสียไปไม่น้อยกับความใจร้อนของตัวเอง ส่วนคนเป็นพ่อนั้นยืนนิ่งมอง แต่สายตาก็แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษครับ…” ดิสลุกขึ้นกอดแม่ตัวเองอย่างรู้สึกผิด หลังจากนี้ เขาคงต้องคิดให้มากกว่านี้แล้วล่ะ พ่อที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มบางๆ ออกมาก่อนจะเข้ามาร่วมวงกอดด้วย ทั้งสามกอดกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะผละออกมาจากกันด้วยรอยยิ้ม นอกจากวันที่ดิสเกิดมาวันนี้คงเป็นวันที่ครอบครัวนี้มีความสุขที่สุดแล้ว พ่อของดิสทำท่าเหมือนคิดอะไรออก “พ่อลืมไปเลย ว่ามีคนที่พ่ออยากให้รู้จักไว้” ว่าแล้วคนเป็นพ่อก็เดินไปเปิดประตู ทำให้คนที่รออยู่ด้านนอกเดินเข้ามาได้ คนที่เดินเข้ามาเธอเป็นผู้หญิงท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่งสวมชุดคล้ายหมอ เธอมีหน้าตาดูดีมาก ยิ่งมีผมสีชมพูมัดรวบหางม้าอันโดดเด่นนั่น บวกกับใส่แว่นยิ่งดูดีไปกันใหญ่ “เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อน่ะ ชื่อ ‘ราชาวดี’ แถมยังเป็นหมอและพรานทมิฬคลาส S ด้วย” พ่อกล่าวยิ้มๆ ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะเดินมายืนข้างๆ “สวัสดีค่ะคุณดิส ฉันเพิ่งจะมาเป็นหมอที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” พอดิสได้ยินเธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรแบบนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่งด้วยความตกตะลึง นี่เขาควรจะอึ้งกับอะไรก่อนดีนะระหว่างหน้าตา กับการเป็นหมอและพรานทมิฬพร้อมกัน แถมยังเป็นคลาส S ด้วย “ส สวัสดีครับ” ดิสกล่าวตอบกลับราชาวดีด้วยท่าทีเงอะงะ ก็แหงล่ะ ที่ทักษะการสื่อสารเขาห่วยแบบนี้ก็เพราะหลับไปนานเกินไป แม่เอื้อมมือมาแตะที่ไหล่เขาก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “เธอเป็นฮิลเลอร์ระดับสูงเลย เธอสามารถทำให้ร่างกายลูกกลับมาปกติได้” เขาอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ราชาวดีพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้เขา เขาครุ่นคิดแปปนึง ก่อนจะหันไปมองทุกคนในครอบครัว แล้วถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ถ้าคุณราชาวดีมีพลังแข็งแกร่งระดับนั้น ทำไมถึงไม่ใช้พลังนั่นในการปลุกผมให้ตื่นล่ะครับ” ราชาวดีมองเขาก่อนจะยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองเบาๆ “คือตอนที่คนปกติเริ่มมีพลัง คนบางส่วนนำมันไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อก่อจราจลน่ะค่ะ มันเลยมีกฏหมายเพื่อควบคุมเอาไว้ ไม่ให้ใช้พลังในการแทรกแซงระบบต่างๆ ของหลายวิชาชีพ” ดิสที่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นก็ยังอธิบายต่อ “ตามกฏหมายแล้วพรานทมิฬจะสามารถใช้พลังได้เต็มที่ก็ต่อเมื่ออยู่ในดันเจี้ยน ตอนอยู่ในสังคมปกติจะสามารถใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าจะต้องมีการฝึกไว้บ้างเพื่อความคุ้นเคย” เธอว่าต่อ “แต่มันก็มีกรณียกเว้นเวลาดันเจี้ยนแตกเหมือนกันค่ะ” “ดันเจี้ยนแตกเหรอครับ?” ดิสกล่าวพร้อมกับเลิกคิ้ว “ใช่ค่ะ ดันเจี้ยนนั้นจะปิดสนิทตลอดเวลาจนกว่าจะมีคนเปิดเข้าไป ถ้ามีพรานทมิฬเข้าไปเพื่อปิดดันเจี้ยนแต่ทำไม่ได้ มันจะไม่ปิดเอง ทำให้มอนเตอร์ที่อยู่ข้างในสามารถพากันออกมาได้” ดิสตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ตอนเขาหลับโลกมันพัฒนาไปถึงไหนแล้วเนี่ย เขารู้สึกว่าตนไม่แตกต่างจากมนุษย์ยุคหินเลย “แล้วการที่คุณจะทำแบบนั้นกับผม แบบนั้นเอ่อ…” ดิสพูดด้วยท่าทางเงอะงะเล็กน้อย “เรียกว่าฮีลค่ะ” ราชาวดีตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ ที่เห็นท่าทางเขา “นั่นแหละครับ แหะๆ” ดิสหัวเราะตอบก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะเบาๆ แก้เขิน “ไม่เป็นอะไรแน่นอนค่ะ การที่จะฟื้นฟูสภาพร่างกายคุณที่กำลังจะหายดีถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ผิดอะไร” “งั้นเองสินะครับ” พอทั้งสองฝ่ายคุยกันเสร็จ การฟื้นฟูก็เริ่มขึ้น ดิสหันไปมองหน้าพ่อแม่พร้อมกับจับมือพวกเขาประสานไว้ ราชาวดียกมือสองข้างชี้ไปทางดิส ก่อนที่จะมีวงเวทย์สีชมพูเล็กๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดิสตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นไม่น้อย ‘มันคล้ายเวทมนตร์เลย ไม่สิ มันไม่ใช่แค่เหมือน แต่มันคือเวทมนตร์ คนที่พรสวรรค์ตื่นขึ้นคือคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้’ ขณะที่เขากำลังวิเคราะห์ข้อมูลในหัว แสงสีชมพูก็ไหลผ่านเข้ามาในร่างกายเขา ดิสรู้สึกแปลกไม่น้อย ร่างกายผอมโซค่อยๆ กลับมาปกติ ‘วิเศษ…’ To be continued →
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD