นางถอนใจแรงๆ สูดลมหายใจลึกๆ พยายามทำใจให้สงบ เพราะหากปึงปังไป วลัยอรจะเตลิดจนกู่ไม่กลับ
“แกรู้ได้ยังไงยัยอร ว่าแม่ไม่เคยมีความรัก?”
นางย้อนถาม กลั้นใจรอฟังคำตอบ เมื่อนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ ระหว่างสามีกับตัวเอง ความรู้สึกนั่นไม่เคยมี เมื่อผูกพันกันก็เพราะธุรกิจ แล้วก็อยู่ต่อเพราะภาระหน้าที่
“อรรู้!! คนรักกัน เขาต้องทำดีต่อกันสิคะ คุณพ่อ กับคุณแม่เหมือนหุ่นไขลาน ทำเหมือนถูกโปรแกรมไว้ ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก”
ภาวนาสะท้อนใจ บุตรสาวเติบใหญ่กว่าที่นางคิด วลัยอรละเอียดอ่อนจนแยกแยะสิ่งที่นางกับสามีปฏิบัติใส่กันเชียวหรือ...ใช่ นางไม่ได้ ‘รัก’ พันภพ แต่ก็ไม่ถึงกับรังเกียจ แต่สำหรับบุตรสาวแล้ว วลัยอรเป็นดั่งหัวใจของเธอ ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้วลัยอรเสื่อมค่า นางจะขัดขวางและปกป้องให้จงได้
“อย่าทำเป็นอวดรู้...แกเพิ่งจะอายุแค่นี้ ยังไม่รู้หรอก อนาคตจะต้องเจออะไรอีก บางสิ่งที่เราอยากทำ ก็ทำไม่ได้อย่างใจคิดหรอกนะ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้เราต้องทบทวน หากจะฝืนรั้นทำอย่างที่ตัวเองต้องการ”
นางถือโอกาสสั่งสอนบุตรสาว สังคมตีกรอบ ขีดกั้นความปรารถนา จนบางครั้งนางก็อึดอัด
“ไม่ค่ะ...อรไม่มีทางเห็นด้วยกับกรอบที่คุณแม่พยายามจะยัดเหยียดให้”
หญิงสาวเถียงลั่น
“แล้วไอ้กรอบที่ฉันโยนใส่แก่ มันไม่ดีหรือไงหะ!! ถามหน่อยสิยัยอร...หากแกไม่มีนามสกุลฉันพ่วงท้าย ไม่มีพ่อ แม่คอยดูแล แกจะเลี้ยงตัวเองยังไง เมื่อแม้แต่ทอดไข่ แกยังทำไม่เป็น”
ภาวนาตวาดเสียงกร้าว...วลัยอรยึดความรักเป็นใหญ่ แล้วไอ้ความรักที่บุตรสาวอ้างถึง ทำให้หล่อนอิ่มท้องหรือไม่ มีที่นอนอุ่นๆ ให้ซุกตัวนอน มีหลังคาหนาๆ คุ้มฝนกับลมหนาวหรือเปล่า ไอ้กระจอกนั่นเอาความคิดเพ้อฝันโยนใส่หัวของวลัยอรมา ทุกสิ่งคือภาพมายา ลวงตาและไร้ความเป็นจริง
สาววัยรุ่นสลดลง...เธอก้มหน้านิ่ง น้ำตาหยดพราว แม้จะทุ่มเถียงในใจ แต่ก็เป็นคำพูดที่ไม่มีน้ำหนัก เพราะหากว่ากันตามจริง...ความรักที่เธอโหยหา ก็ไม่ได้ทำให้เธออิ่มท้อง...เมื่อพะนายมีแต่ตัว ในขณะที่เธอเองก็จมไม่ลง...เพราะเติบโตมาท่ามกลางความสะดวกสบาย
“ฉันจะจับแกใส่ตะกร้าล้างน้ำ แล้วส่งไปชุบตัวที่อังกฤษ แกไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง...เมื่อเรื่องนี้น้าแกเห็นด้วย...”
ภาคินคือคนๆ เดียวที่วลัยอรกลัว ชายหนุ่มเด็ดขาด และไม่มีใครกล้าขัด แม้แต่ประมุขของบ้านอภิเษศโยธา
วลัยอรเม้มปากแน่น เธอทุ่มตัวลงสะอื้นไห้อีกครั้ง หลังประตูห้องถูกปิดงับลง และมารดาเดินจากไป
‘ลาก่อนพี่นาย’
หญิงสาวกล่าวลาพะนายฝากสายลมไป...เธอยังเด็กเกินกว่าที่จะต้านทานคำบัญชาของทุกคนรอบตัว
แต่วลัยอรรู้...สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าตัวเองกับพะนาย คือ ความรักที่บริสุทธิ์
หญิงสาวหลุบเปลือกตาลง จมดิ่งในห้วงนินทรา แม้จะมีความกังวลลึกๆ เกาะกุมอยู่ในใจ แต่ความอ่อนเพลียที่ผจญมาเกือบ2 วันเต็มๆ ระหว่างที่หนีกระเซอะกระเซิงไปกับพะนาย บีบบังคับให้ร่างกายของเธอปิดสวิซท์ตัวเอง
สองคนพี่น้องหอบสังขารสะบักสะบอมไม่ต่างกันเดินออกมาจากสถานที่โอ่อ่า มีสายตาหมิ่นๆ มองตามมาตลอดทาง เมื่อสภาพร่างกายของคนทั้งคู่น่าสังเวชเหลือทน...
พะแพงเดินเท้าเปล่า เธอไม่มีแม้แต่รองเท้า...
พะนายเองก็ย่ำแย่ เขามีร่องรอยบาดเจ็บไปทั้งตัว มีแต่คราบเลือด กับความบอบช้ำ
“พี่นาย...แพงไม่มีสตางค์เลย...พี่นายพอมีมั้ย?”
หญิงสาวเอ่ยถามพี่ชายเสียงสั่น เธอกัดกระพุ้งแก้มมองตรงไปยังเบื้องหน้า พยายามไม่ใส่ใจสายตาหลายคู่ที่มองมายังเธอ
“ยะ อยู่ในกระเป๋ากางเกง...”
พะนายกัดฟันพูด เขาเจ็บร้าวไปทั้งกระบอกตา
“เราต้องกลับบ้านก่อน ค่อยไปโรงพยาบาล”
พะแพงกล่าว...เธอต้องพาพะนายไปหาบิดา...เขาจะได้เลิกทำตัวหมดอาลัยตายยากนี่สักที
“ไม่พี่ไม่ไปโรงพยาบาล...” ชายหนุ่มปฏิเสธ เจ็บแค่นี้ไกลหัวใจ...แค่พักฟื้นไม่กี่วันก็หาย
พะแพงเม้มปาก “แต่พี่ต้องไป...ตอนนี้เราต้องกลับบ้าน เพราะไปสภาพนี่ พ่อคงทรุดหนักกว่าเดิมถ้าเห็น”
สภาพตัวเองกับพะนายแทบไม่ต่างกัน...สองพี่น้องที่ถูกทำร้ายจนยับเยิน ถึงพะแพงจะไม่มีแผล แต่เธอก็เจ็บไม่ต่างกับพะนายเลย
พะนายขมวดคิ้ว “พ่อ หมายความว่ายังไงแพง...พ่ออยู่ที่ไหน?”
น้ำเสียงร้อนรน เขาเริ่มวิตก...เมื่อน้ำตาของพะแพงไหลปริ่มออกมาอีก
“กลับบ้านก่อนพี่นาย แพงจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง...”
หญิงสาวกลั้นสะอื้น...ขณะนี้ไม่เหมาะที่จะบอกเล่าความทุกข์ร้อนให้พะนายรู้สึกแย่ลงไปอีก
พะแพงโบกมือเรียกรถยนต์โดยสาร สารถีคนขับเขม้นมองสองพี่น้อง ก่อนจะพยักหน้าตกลง เมื่อสังเวชทั้งสองคน และสถานที่ที่ลูกค้าแจ้ง...เขาก็เคยพักอาศัยอยู่ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มสาวคู่นี้ แต่น้ำใจอันน้อยนิดที่พอจะมีให้ได้ เพราะหากเขาไม่รับทั้งสองคนขึ้นมา...ก็คงไม่มีรถยนต์โดยสารคันไหนเปิดรับ...
“ขอบคุณค่ะลุง...”
พะแพงกล่าวขอบคุณ เมื่อเธอเองก็กำลังวิตก เธอกับพี่ชายจะกลับถึงบ้านยังไง หากไม่มีรถยนต์คันไหนเปิดประตูรับ
“ช่วยได้ก็ช่วยกันไป แต่ไปโดนอะไรมาล่ะ คงไม่ใช่คนร้ายใช่ไหม?”
“เข้าใจผิดกันนิดหน่อยค่ะ รับรองได้หนูกับพี่ไม่ใช่คนร้ายแน่ๆ”
หญิงสาวรีบตอบ ส่งยิ้มแหยๆ ให้ พร้อมกับรีบยุติการสนทนา ปล่อยให้พะนายนั่งหลับตานิ่งๆ ไปตลอดทาง...
มาถึงปากทางเข้าบ้านในเวลาที่เกือบจะเช้า เริ่มมีร้านค้าออกมาตั้งแผงขาย พะแพงพยุงพะนายเดินตามซอยแคบๆ พยายามหลบตาตาคน เมื่อเธอยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใคร...
พะนายนั่งเอนๆ บนเก้าอี้หวาย ที่มีสภาพดีสุดในบ้าน เขามองสภาพยับเยินของข้าวของเครื่องใช้ ด้วยสายตาปวดร้าว...
เป็นเพราะเขาใช่ไหม เป็นเพราะเขาทำอะไรแบบไม่คิด ความเดือดร้อนนั่น เลยลุกลามมายังครอบครัว
“บอกพี่ได้ยังแพง พ่อเป็นอะไร?”
น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยถาม และเขาก็นิ่งรอคำตอบ
“อาบน้ำล้างหน้า ทำแผลก่อนดีมั้ยพี่นาย ยังไงพี่ก็ต้องรู้ว่าพ่อเป็นอะไร เพราะแพงกำลังจะพาพี่ไปหาพ่อพอดี”
พะแพงพูดเสียงสั่น เธอหมุนตัวเดินหนี ต้องรีบอาบน้ำล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าของเขาทิ้ง ขจัดคราบและร่องรอยที่ผู้ชายคนนั้นฝากไว้ ออกไปให้หมดจากร่างกายตัวเอง
“อืม...”
พะนายดันตัวลุกขึ้นยืน เขาเดินออกไปหลังบ้าน เมื่อห้องน้ำถูกพะแพงใช้ เขาเป็นผู้ชาย น้ำในโอ่งหลังบ้านคงช่วยย่นเวลาให้สั้นลง เขาอยากรู้เต็มแก่...ว่าบิดาเป็นอะไรกันแน่ มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาทำหรือเปล่า?
15 นาที พะแพงออกมาจากห้อง หลังแต่งตัวรัดกุม...และพะนายเองก็เตรียมพร้อมเขาอาบน้ำล้างคราบเลือด เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ กำลังนั่งรอน้องสาวด้วยความอดทน
สองพี่น้องเดินออกมาจากบ้าน พะนายเข็นจักยานยนต์คันเก่งออกมาสตาร์ทเครื่องรอ
“พอจะบอกพี่ได้ยัง พ่อเป็นอะไร?”
เสียงแข็งๆ เอ่ยถาม...
“พ่อเป็นโรคไต...” พะแพงตอบ เธอเงียบเพราะก้อนสะอื้นวิ่งมาจุกที่ลำคอ
“หะ!!” พะนายผงะ รถเฉลบลงข้างทางเล็กน้อย แต่เมื่อชายหนุ่มตั้งสติได้ เขาประคองรถจักรยานยนต์ขึ้นมาอยู่ในเส้นทางปกติตามเดิม
“อาการเป็นไงบ้าง...” ชายหนุ่มคนพี่กลั้นใจถาม แค่โรคที่บิดาเป็นอยู่เข้าก็แทบทรุด
“น่าวิตก ต้องเปลี่ยนไตถึงจะพอมีทางรอด...ตอนนี้อยู่ ICU”
เสียงตอบสั่นเครือ พะนายไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้ เวลานี้พะแพงคงกำลังร่ำไห้
“ตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมพี่ไม่รู้เลย...”
“เมื่อวาน แพงพยายามโทร. หาพี่นายแล้ว แต่ไม่มีคนรับสาย”
พะนายถอนใจเฮือก โทรศัพท์ส่วนตัวเขาหายไประหว่างทาง...ช่วงเวลาที่กำลังหนีการตามล่าจากภาคิน แบบกระเซอะกระเซิง...
หากเขาสิ้นชีพก็คงไม่มีวันรู้ว่าบิดากำลังเผชิญหน้ากับโรคร้าย...พะนายเงยหน้ามองแผ่นฟ้า หลังจอดรถจักรยานยนต์ไว้ข้างตึก ตอนที่เดินไปยังตึกผู้ป่วย ICU ในเวลาใกล้ 8:00 นาฬิกา
“แพงอยากให้พี่นายตัดใจจากเธอ...พี่นายก็รู้ เขาเดียดฉันท์เราขนาดนี้ คงไม่มีวันยอมรับพี่นายหรอก”
หญิงสาวกระซิบเตือนพะนาย ตอนที่นั่งรอเวลา...