ตอนที่8ถูกขับไล่ออกจากบ้าน1.2
นางสมรแกล้งสลบ ความจริงนางรู้สึกตัวมาสักพักแล้ว กุมารภูมิเห็นแบบนั้นก็รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่าง จึงเอาหญ้าที่มีขนมาถูตรงจมูกนาง ไม่นานเสียงจามของนางก็ดังขึ้น ทำให้ทุกคนหันมา…
"ฮัดเช้ยยยย" นางคันจมูกมาก สุดท้ายก็จามออกมา แล้วทุกคนถึงได้รู้ว่านางสมรไม่ได้สลบเหมือนอย่างที่เห็น
"เอาแหละเรื่องมันเป็นยังไง แล้วปู่ทิดให้อาคมไปตามฉันมาทำไมเหรอ" ผู้ใหญ่บ้านคำปัน อายุ 40 ปีเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชนะการเลือกตั้งไม่นานมานี้ เขารีบชวนผู้ช่วยมาด้วย นึกว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับปู่ทิด
"ฉันเดินผ่านมาแถวนี้ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย กลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่ จึงให้อาคมไปตามคำปันเรื่องนี้ต้องฟังจากปากเด็กๆก่อน" แค่ท่าทางของท่าน คำปันก็รู้แล้วคนอย่างปู่ทิด เรื่องความถูกต้องมาก่อนเสมอ ทำให้ท่านเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน…
"พูดไปสิ บอกทุกคนว่าแกเป็นคนผลักย่าตัวเองจนล้ม" กำจรตะคอกใส่สองพี่น้อง ทำให้สองพี่น้องสะดุ้งกอดกันกลม สีหน้าหวาดผวา ยิ่งข้าวฟ่าง น้ำตาเอ่อล้นออกมา…
"หนูและน้องไม่ได้เป็นคนผลัก ย่าหกล้มเองต่างหาก" ข้าวฟ่างบอกชายชราที่มีใบหน้าโหดร้าย
"โกหก แกนั่นแหละผลักฉัน นี่ทุก ๆคน สองพี่น้องมันรวมหัวกันจะฆ่าย่าตัวเอง เพราะมันเกลียดที่ฉันไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่น แล้วยังมาว่าพี่กับฉันอีกนะพี่กำจร…" นางสมรชี้หน้าสองพี่น้องด้วยสายตาที่ชิงชังแล้วหันมาฟ้องผัวตัวเองโดยใส่ความเท็จลงไป
"แล้วมีใครเห็นบ้าง ว่าข้าวฟ่างและน้องเป็นคนผลักย่าตัวเอง….ในเมื่อไม่มีใครเห็นก็ให้มันจบไปเถอะ" ผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าไม่มีใครเป็นอะไร อีกอย่างเด็กแค่นี้ จะไปเอาความให้เป็นเรื่องใหญ่โตทำไม นอกเสียจากว่า ผู้ใหญ่บ้านนี้ใจคับแคบอย่างที่ลูกบ้านพูดถึง
"ไม่ได้ นังเด็กเปรตมันดูถูกเหยียดหยามฉัน ไหนๆผู้ใหญ่บ้านมาแล้วก็เป็นพยาน ฉันไม่ต้องการหลานเนรคุณแบบนี้หรอก" นางสมรชี้หน้าด่าสองพี่น้อง
"ใช้ มันคิดว่าเป็นใคร ถึงมาเถียงผู้ใหญ่ฉอดๆ ทุกคนเป็นพยานเลยนะว่าสี่แม่ลูกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวฉันแล้ว ที่ผ่านมาถึงว่าให้ซุกหัวนอนหมาละกัน" กำจรไม่ชอบพวกเขาอยู่แล้ว พอนางสมรใส่อารมณ์ไป เขาก็ยิ่งอารมณ์เสียที่ทำให้ตกเป็นเป้าสายตา เลยพูดว่าที่ผ่านมาพวกเขาอยู่ได้เพราะเขา เพื่อที่จะให้พวกมันตกเป็นขี้ปากชาวบ้านที่ยืนมุงดู
"ในเมื่อปู่และย่าจะไล่พวกเราออกจากบ้านไป ทุกอย่างในบ้านก็ได้มาด้วยเงินของพ่อสมบัติ งั้นย่าและปู่ต้องแบ่งทุกอย่างในบ้านให้พวกเราด้วย" ข้าวฟ่างรู้ว่าของกินของใช้ทุกอย่างเป็นเงินที่พ่อส่งมา
"เห็นไหมทุกคน นังเด็กนี่ปีกกล้าขาแข็งมันเป็นคนหน้าเลือด อกตัญญู พ่อแกมีอะไรห๊ะ ทุกวันนี้พวกฉันอยู่ได้เพราะเงินที่ได้จากลูกชายคนโตและลูกเขยฉันไปทำงาน ส่วนของพ่อแกฉันไม่เคยเห็นมันส่งเงินสักบาทเดียว" นางสมรยื่นอกพูด แต่ในใจก็สงสัยว่านังเด็กเปรตมันรู้ได้ยังไงว่า ทุกอย่างที่พวกเขาใช้เป็นเงินพ่อมัน
"ย่าโกหก..ปู่กับย่าทำไมเป็นคนแบบนี้ พ่อส่งเงินมาให้ย่าและปู่ตลอด แล้วทำไมย่าพูดแบบนี้ด้วย” ข้าวฟ่างไม่ยอม พ่อทำงานงกๆ แต่ปู่กับย่ากลับบอกว่าไม่ได้เงินจากพ่อ ตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคือพ่อมากกว่า…
"เอ๊ะ...ผัวฉันไปทำงานที่เดียวกับสมบัติ เขาเล่าให้ฉันฟังว่า สมบัติไม่เคยได้ใช้เงินเดือนเลย เงินทุกบาททุกสตางค์เขาส่งมาให้ที่บ้านหมด ข้าวก็กินกับเจ้าของงานเอามาให้เท่านั้นนี่นา” นางเอื้อยที่มามุงดูอยู่พูดขึ้นมา
“ใช่ๆ สามีฉันก็กลับมาเล่าให้ฉันฟังด้วย..สมบัติไม่เคยเก็บเงินไว้เลย” แล้วเสียงซุบซิบนินทาก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเสียงสาปแช่งนางสมรและกำจร
"เอาแหละๆ สรุปกำจรจะไล่สี่แม่ลูกออกจากบ้านใช่ไหม” ปู่ทิดขี้คร้านจะฟังแล้ว ท่านเชื่อว่าเด็กๆไม่ได้ทำ ระหว่างที่ฟังการถกเถียงกันอยู่นั้น เหมือนได้ยินเสียงข้าวฟ่างให้พาพวกเขาออกจากบ้านหลังนี้ พอท่านหันไปสบตา เธอก็พยักหน้าว่าใช่แล้ว เธอและครอบครัวไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
"ใช่,ไม่ใช่" สองผัวเมียตอบพร้อมกันแต่คำตอบไม่เหมือนกัน กำจรตอบว่าใช่ ส่วนสมรตอบว่าไม่ใช่ เพราะนางเริ่มลังเลและคิดได้ว่าถ้ามันขาดสี่แม่ลูกไป ใครจะทำงานบ้าน หาบน้ำ หาฟืน เกี่ยวข้าว ตำข้าวและซักเสื้อผ้าให้ทุกคน
"เอากำจรว่า ในเมื่อแกเป็นเจ้าของบ้าน ตกลงจะขับพวกเขาออกจากบ้าน แล้วพ่อของเด็กๆด้วยใช่ไหม"
"ฉันเชื่อว่าสมบัติจะต้องอยู่ทดแทนบุญคุณฉัน มันไม่มีทางออกจากตระกูลฉันหรอก"
"เช่นนั้นให้สมบัติกลับมาก่อนค่อยให้เขาตัดสินใจ แต่ตอนนี้แกจะไล่สี่คนนี้ไป พวกเขาต้องมีอะไรติดไม้ติดมือไปด้วย” ปู่ทิดเริ่มพูดให้ทุกคนได้ยินและเป็นพยานหรืออีกทางหนึ่งเพื่อกดดันสองผัวเมียคู่นี้
"ฉันไม่มีเงินให้พวกมันหรอก" กำจรรีบพูดขึ้นมา
"ไม่ใช่เงินหรอกกำจร ถ้าที่ผ่านมาพ่อของพวกเขาส่งเงินมาตลอด แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้เงินจากแก งั้นก็ควรจะให้เป็นที่ดินทำกินสักผืนหนึ่ง”
"ไม่ได้นะพี่กำจร,ไม่ได้นะพ่อ" นางสมรไม่เห็นด้วย สายใจก็ไม่ยอม
"งั้นก็ขอเป็นเงิน ครึ่งหนึ่งที่พ่อเด็กส่งมา" ผู้ใหญ่บ้านออกตัวพูดเพื่อให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวเด็ก ๆ อีกใจก็สงสัยว่าภรรยาของสมบัติไปไหน…
"ก็แค่ที่ดินเปล่าๆ พวกแกจะไปเสียดายอะไร หรือพวกแกมีเงินห๊ะ" กำจรตะคอกใส่เมียและลูก ที่ดินปลายแถวนั้น ไม่มีค่าไม่ราคาด้วย
"ยังไม่หมด นอกจากที่ดินต้องให้ โอ่งน้ำ 1 ใบ หม้อ 2 ใบ กระทะ 1 ใบ จาน ชาม ช้อน อย่างละคู่ ถังน้ำ 1 คู่ ข้าวสารสองกระสอบ มีด 1 เล่ม เสียบ 1 ใบ จอบ 1 อัน และฟืนคนละครึ่ง” ทุกคนเงียบกริบไม่คิดว่าปู่ทิดจะเรียกร้องไห้ครอบครัวนี้มากมายขนาดนี้ จนเมื่อได้ยินเสียงกำจร
"ได้…ไปเอามาสายใจ” กำจรหันไปทางลูกสาวและลูกสะใภ้
"เดี๋ยวพี่กำจร ข้าวสารให้ได้แค่ครึ่งกระสอบเท่านั้น จะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ มีให้แค่นี้" นางสมรพูดไปในใจก็เริ่มเสียดายข้าวเขาเครื่องใช้ เพราะแต่ละอย่างที่ซื้อมาเป็นของดีของทนทานทั้งนั้น นางซื้อด้วยเงินของสมบัติส่วนเงินที่ลูกชายเอามาให้นางเก็บไว้
"เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นไปเอาโฉนดที่ดินเสีย ไหนๆ ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยมาแล้ว พวกเขาจะได้ไม่เสียเวลา" ปู่ทิดไม่สนใจนางสมร ก็แค่ข้าวสารบ้านเขามีเยอะแยะ
ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่คิดว่าจะต้องเสียที่ดินให้กาฝาก กำจรทำเป็นหน้าใหญ่ ใจกว้างเดินขึ้นไปบนบ้าน เพื่อเอาโฉนดที่ดิน ส่วนสายใจและบัวลอยเอาของมากองไว้ตรงหน้าเด็กสองคนนั้น ชาวบ้านที่ยืนดูคนใจยักษ์พวกนี้ ก็ยังไม่ไปไหน ทุกคนสงสัยว่าขวัญเรือนและสมชายไปไหนนะ คนที่อยู่ใกล้ก็บอกคนที่ว่าทั้งสองแม่ลูกออกจากบ้านแต่เช้าทุกวัน เพื่อไปหาฟืน นำมาใช้หน้าหนาวใกล้จะถึงนี้
"โอ้ว...นี่แกจะให้พวกเขาไปอยู่ท้ายป่าเลยเหร๊อ..ฉันเห็นแกมีที่ดินติดถนนใหญ่หลายแปลงไม่ใช่หรือ"
"จะไม่เอาก็ได้นะ..แต่พวกมันจะไม่ได้เงินจากฉัน" กำจรตะคอกใส่ปู่ทิดของเด็กๆ
"พวกเราเอาก็ได้จ้ะ" ข้าวฟ่างไม่สนใจว่าเป็นที่ดินแถวไหน ขอแค่ได้ออกจากบ้านหลังนี้ก็พอ
"เห็นไหม พวกมันไม่ว่าอะไร แถมที่นั่นยังมีกระท่อมพอให้พวกมันทั้งสี่ได้ซุกหัวนอนด้วย" กำจรเห็นว่าที่ดินที่อยู่ติดป่า มันไม่มีประโยชน์อะไร เขาเคยสร้างกระท่อมเอาไว้เพื่อจะเลี้ยงวัว แต่ลูกชายเอาเงินไปหมุน สุดท้ายก็รู้ว่ามันเอาไปเล่นพนันจนหมด ไม่ได้เงินคืนสักบาท จึงปล่อยที่ร้างไว้
จากนั้นผู้ใหญ่บ้านเขียนสัญญาขึ้นมา ว่าที่ดินนี้กำจรได้ยกให้ครอบครัวนี้แล้ว มีทุกคนเป็นพยาน คนที่ครอบครองคือชื่อของขวัญเรือน ภรรยาของสมบัติ เป็นอันรับรู้กัน แล้วทั้งสี่คนถูกลบชื่อออกจากทะเบียนบ้าน มีทุกคนเป็นพยานเช่นกัน ความจริงเรื่องแบบนี้ต้องไปทำที่อำเภอและกรมที่ดิน แต่เนื่องจากระยะทางเป็นอุปสรรค ทางอำเภอจึงมอบอำนาจให้ผู้ใหญ่บ้านบ้านจัดการ แล้วลงมารายงานกรมที่ดินและที่อำเภออีกที ระหว่างนั้นสองแม่ลูกแบกฟืนเข้ามาในบ้านพอดี ชาวบ้านทยอยกันกลับไปหมดแล้วเหลือแค่ปู่ทิดและผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วย
"ข้าว สม ปู่ทิด ผู้ใหญ่บ้าน เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ” ขวัญเรือนตกใจ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลูกๆ นางรีบวางตะกร้าที่แบกฟืนมาจนเต็มหลังเห็นลูกสาวลูกชายนั่งพื้นกอดกันกลม ใบหน้าแดงก่ำ
"แม่ พี่ชาย พวกเราถูกไล่ออกจากบ้านแล้วครับ” สมพูดเสร็จก็วิ่งเข้าไปกอดแม่ ส่วนพ่อแม่สามีและพี่สะใภ้กับน้องสาวสามีเข้าบ้านกันหมดแล้ว
"คมไปยืมเกวียนหรือรถลากที่บ้านสมานสิ ข้าวฟ่างพาแม่และพี่ชายไปเก็บเสื้อผ้า" ปู่ทิดไม่ตอบแต่จะให้ข้าวฟ่างคุยกับแม่เอง
"ใช่ๆ เดี๋ยวฉันจะไปส่งพวกเธอด้วย" ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยเห็นว่าคนระดับปู่ทิด ยื่นมือลงมาช่วยเหลือสี่คนนี้ เขาที่เป็นผู้นำก็ควรจะแสดงน้ำใจให้ลูกบ้านด้วย
ระหว่างเก็บเสื้อผ้าที่มีแค่ไม่กี่ชิ้น เธอก็เล่าให้แม่และพี่ชายฟัง ถึงสาเหตุที่ถูกไล่ออกจากบ้าน มีน้องชายและภูมิช่วยเล่าและทั้งสองคนเล่าอย่างละเอียด และชี้ไปที่แก้มทั้งสองข้างของพี่สาว ที่ยังมีรอยฝ่ามือประทับอยู่
ขวัญเรือนเข้าไปกอดลูกสาวไว้ แล้วลูบใบหน้าแดงๆของลูก พร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา สมชายก็เข้า ลูบศีรษะน้องเบา ๆ สมเห็นแบบนั้นก็รีบเข้าไปกอดพี่สาว กลายเป็นว่าทุกคนโอบกอดข้าวฟ่างไว้