ตอนที่7ถูกขับไล่ออกจากบ้าน1.1
สองพี่น้องตื่นมาอีกทีก็ไม่เห็นแม่และพี่ชายแล้ว แต่เห็นชามข้าวอยู่วางข้างๆ
"โครกคราก อุ้ย..พี่ข้าวสมหิวแล้วครับ”
"พี่รู้แล้วไปล้างหน้าล้างตากันเถอะ เดี๋ยวค่อยมากินข้าวกัน”
"ภูมิิ แม่และพี่ชายไปนานแล้วเหรอ"
"น่าจะถึงที่ผ่าฟืนแล้วพี่ข้าว"
กับข้าววันนี้มีแกงหยวกกล้วยใส่หมูหรือไก่เธอไม่รู้ เมื่อวานยังมีรถด่วนที่เก็บไว้กินสำหรับเช้านี้ แค่นี้ก็เป็นมื้อเช้าที่แสนอร่อยแล้ว ทั้งสองกินข้าวใช้เวลาไม่นาน ก็เตรียมตัวไปบ้านปู่ทิด และจะเอาเงินไปคืนท่านด้วย ระหว่างทางเธอเห็นลุงสมานขับเกวียนออกไป
"สวัสดีจ้ะลุงสมาน,สวัสดีครับลุงสมาน" ทั้งสองคนยกมือไหว้ลุงสมาน
"สวัสดีหนูข้าวฟ่างและสมจิตร...จะไปไหนกันเหรอ" สมานไม่ได้เห็นสามพี่น้องมาสักพักแล้ว แต่เมื่อไรที่ลูกชายลูกสาวกลับมา เด็กๆก็จะมาเที่ยวที่บ้านเขา
"พวกเราจะไปหาปู่ทิดจ้ะ ท่านเอาหนังสือให้ข้าวและน้องๆ"
"จริงสิ สิ้นปีนี้สีดาก็จะกลับมานะ เดี๋ยวลุงจะให้สอนหนังสือให้ข้าวและน้อง”
"ขอบคุณจ้ะลุงสมาน ข้าวจะรอสีดากลับมา"
"อืม..ฝากบอกพี่ชายเราด้วย สืบก็จะกลับมาบ้านเหมือนกัน"
"ได้จ้ะ วันหน้าข้าวและพี่ชายจะขอยืมรถลากของลุงสักวันได้ไหมจ๊ะ
"อ้อ...ได้สิ เห็นว่าไปหาฟืนมาแล้วใช่ไหม แล้วจะขนวันไหน ลุงจะได้ไปช่วยพวกหนูด้วย"
"ขอบคุณจ้ะ แค่ลุงให้ยืมรถลาก พวกเราก็เกรงใจมากแล้ว ลุงอย่าไปเลย"
"มีอะไรให้ลุกช่วยก็บอกนะข้าวฟ่าง ลุงเอ็นดูหนูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งอย่าได้เกรงใจ"
"งั้นขอบคุณลุงมากนะจ๊ะ หนูจะจำไว้" จากนั้นก็ปล่อยให้ลุงไปทำงาน สองพี่น้องลุงสมานมองตามจนลับสายตา
อนาคตลุงสมานถูกไข้ป่าเล่นงาน เขาเสียชีวิตตอนสีดาอายุ 12 ปี ข้าวฟ่างไม่ได้บอกน้อง แต่คิดว่าเธอกลับมาทันที่จะช่วยลุงสมาน
"สวัสดีพี่คม,สวัสดีครับพี่คม" วันนี้พี่คมมารอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
"เข้ามาเลย ท่านกำลังรอข้าวและน้องอยู่" สองพี่น้องรู้สึกดีอย่างไรไม่รู้ อาจเป็นเพราะที่นี่คือความสบายใจกระมัง
"สวัสดีจ้ะปู่ทิด เมื่อคืนหลับสบายไหมจ๊ะ”
"อื้มมม...หลับสบายจริงๆอย่างที่หนูว่างั้นแหละ” สีหน้าสดใสของปู่ทิด ต่างกับเมื่อวานที่หน้าหมองคล้ำ เหมือนคนไม่มีความหวัง ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่ข้าวฟ่างลองใช้ของประทาน และ ยังได้ตอบแทนความช่วยเหลือที่ท่านให้เมื่อยังไม่ได้กลับมา
"งั้นก็ดีแล้วจ้ะ นี่น้ำสมุนไพร ปู่ทิดดื่มเลยนะจ๊ะ พรุ่งนี้อีกวันก็จะครบสามครั้งแล้ว ต่อไปข้าวว่าปู่ทิดน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ”
"อืม..ขอบใจมาก สมุนไพรตัวนี้ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่มันมีสรรพคุณยอดเยี่ยม ขอบใจหนูข้าวและครอบครัวจริงๆ” ในความรู้สึกเขาเหมือนเป็นการดื่มน้ำเปล่าเสียมากกว่า แต่เด็กน้อยตรงหน้าบอกว่าต้มยามาให้แล้ว
"ปู่ทิดเป็นคนดี สมควรแล้วที่จะหายจากโรคนี้จ้ะ แล้วหนูเอาเงิน 300 มาคืนปู่ทิดด้วย”
"เงินอะไร...ฉันไม่เคยเก็บเงินไว้ไปเรื่อย แล้วเธอเจอที่ไหน มาอ้างว่าเป็นของฉัน"
"ข้าวเจอในหนังสือเล่มที่ปู่ทิดให้มาจ้ะ”
"แล้วคิดว่าเป็นของฉัน..." แววตาใสซื่อพยักหน้าให้
"ไม่ใช่ของฉันเหรอ...ในเมื่อหนังสือนั้นฉันยกให้เธอแล้ว เงินที่อยู่ในนั้นก็เป็นของเธอด้วย เก็บไว้เถอะ"
"แต่มันเยอะมากนะจ๊ะปู่ทิด"
"เก็บไว้ดีๆ อนาคตเธอกับครอบครัวอาจต้องใช้เงิน ถ้ามีอะไรก็มาบอกฉันได้”
"ขอบคุณปู่ทิดที่เอ็นดูพวกเรา ข้าวจะจำไว้จ้ะ แล้วก็ขอบคุณหนังสือและเงินนี้ด้วยนะจ๊ะ ข้าวจะเก็บไว้อย่างดี" หลังจากที่นวดปู่ทิดอีกครั้ง ก็ให้ท่านไปพักผ่อน แล้วสองพี่น้องขอตัวไปอยู่ที่ห้องหนังสือ
แล้วอยู่จนใกล้เที่ยงก็หยิบหนังสือมาคนละสามเล่ม เพื่อจะกลับ ก่อนกลับก็ขอลาปู่ทิด แต่ท่านได้ให้แม่พี่คมทำอาหารเผื่อทั้งสองคนไว้แล้ว สุดท้ายก็ได้กินมื้อเที่ยงกับปู่ทิดอีกครั้ง… จากนั้นสองพี่น้องเดินกลับบ้านหิ้วหนังสือไปด้วย พอลับสายคนก็เก็บเข้าสร้อยคอทันที…แต่เมื่อเข้าไปในบ้าน…
"เห้อะ..เป็นเด็กเป็นเล็กเที่ยวได้เที่ยวดี เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง จริ้ง" เมื่อเช้าพวกเราสองพี่น้องก้าวขาข้างไหนออกจากบ้านนะ กลับมาเจอย่าอยู่หน้าบ้านพอดี
"สมกับพี่ข้าวไม่ได้ไปเที่ยวนะย่า พวกเราปะ " ข้าวรีบปิดปากน้องชายไว้ ตอนนี้คนตัวเล็กเริ่มรู้ตัวแล้ว เขาเกือบจะหลุดปากพูดว่าไปช่วยปู่ทิด
"ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เถียงผู้หลักผู้ใหญ่พ่อแม่ไม่รู้จักสั่งสอน ถึงได้เป็นแบบนี้สินะ”
“พ่อแม่สอนพวกเรามาดี แต่ถ้าเป็นย่าก็ว่าไปอย่าง...เพี๊ยะ...โอ้ยย” นางสมรเกลียดสี่แม่ลูกนี้อยู่แล้ว ยิ่งอีเด็กเปรตมันพูดไม่เข้าหู นางใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่ใบหน้าเล็กๆ จนมือนางเจ็บไปด้วย ร่างบางกระเด็นไปไกล
"พี่ข้าว...ย่าตบพี่ข้าวทำไมครับ..ย่าใจร้ายที่สุด” สมเข้ามาประคองพี่สาวที่โดนตบจนเซไปทางซ้าย ใบหน้าคว่ำพื้น
"อีเด็กเวร อีเด็กไม่รู้จักบุญคุณ ทุกวันนี้พวกแกกินข้าวบนบ้านฉัน แล้วยังนอนใต้ชายคาบ้านฉัน พวกแกยังมีหน้ากล่าวหาว่าฉันใจร้ายอีกเหร๊อ ดี วันนี้เลือดไม่ออกจากปากแกคงไม่รู้จักคำว่าบุญคุณแล้วมั้ง" นางยกมืออีกข้างหวังจะตบสมจิตร
"ย่า จะตีน้องสมไม่ได้นะ น้องยังเล็กอยู่" ข้าวฟ่างกางแขนปกป้องน้องไว้
"หรือแกจะให้ฉันตบแกดี สายใจไปเอาไม้มาให้แม่ โอ้ยย..ตึก" กุมารถูมิทนไม่ไหว โยนก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นใส่เท้าคนแก่ใจร้าย นางสมรเจ็บขาก็เลยยกขาข้างที่เจ็บขึ้น ปรกติคนแก่ทรงตัวไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ทำให้ร่างอวบล้มหัวฟาดพื้น
"ย่า" ข้าวฟ่างจะลุกไปหาย่าเธอไม่อยากให้ใครว่าพ่อสมบัติและแม่ขวัญว่าไม่ได้สั่งสอนลูก เธอตั้งใจจะใช้มือซ้ายจับย่าแต่น้องชายดึงเธอไว้ ระหว่างนั้นสายใจไปเอาไม้ที่จะใช้ตีเธอกลับมาพอดี
"แม่...นี่พวกแกผลักย่าตัวเองเหรอ อีเด็กเวร อีเด็กเนรคุณ พ่อ พ่อ แม่สลบไปแล้ว” ตอนนี้สายใจเข้าใจไปแล้วว่าเด็กสองคนนี้เป็นคนผลักแม่เธอ เลยตะโกนส่งเสียงดังใครที่ผ่านไปมาก็หยุดมอง บางคนเข้ามาดูเหตุการณ์ตรงหน้า
กำจรที่หลับกลางวันอยู่ก็ได้ยินเสียงตะโกนโวยวายดังมาจากหน้าบ้าน เขาลุกขึ้นออกไปดู สะใภ้ใหญ่ที่กล่อมลูกนอนอยู่ก็ได้ยินเสียงดัง นางก็ออกมาดูด้วย
ข้าวฟ่างบอกภูมิว่าเวลานี้ พวกเขาพูดอะไรไม่มีใครฟัง ย่าก็ยังไม่ได้สติ แม่และพี่ชายก็อยู่บนเขา เธอไม่อยากให้น้องโดนตี คิดได้ดังนั้น เธอก็เริ่มท่องคาถา มีภูมิอยู่ข้างๆพยักหน้าว่าทำเลยพี่ข้าว
“จิตนะ ตรนะ ธรนะ ทิมาทานะ ธังมะทะ ”เมื่อเธอท่องครบสามจบ
“ปู่ทิด มาช่วยพวกเราที่บ้านด้วย” เธอขอโทษปู่ทิดในใจ ที่ดึงท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ แต่เวลานี้เธอมองหาใครไม่ได้แล้ว ทางด้านปู่ทิดท่านเหมือนมีลางสังหรณ์เกี่ยวกับผู้มีพระคุณตัวน้อย แม้จะเป็นเพียงแค่ประเดี๋ยว แต่มีความรู้สึกว่า เด็กๆต้องการความช่วยเลย จึงชวนคมออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่บ้านกำจร
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นห๊ะ..แล้วแกกับแม่ไปนั่งบนพื้นทำไมอีสายใจ” เขาไม่ทันมองเด็กสองคนที่นั่งกอดกันบนพื้น แต่เห็นเมียที่สลบอยู่ในอ้อมกอดลูกสาว
“พ่อก็ดูสิจ้ะ ที่แม่เป็นแบบนี้เพราะมันสองคนผลักแม่ล้ม ตอนนี้แม่ยังไม่ฟื้นเลย พ่อต้องจัดการไล่มันออกจากบ้านเลยนะจ๊ะ” เพราะความเกลียดชังครอบงำ สายใจพูดออกไปด้วยอารมณ์ล้วนๆ โดยลืมนึกไปว่าที่ผ่านมาเธออยู่สุขสบายเพราะเด็กๆและพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้
“ขวางหู ขวางตายังไม่พอ ยังทำตัวเป็นคนเนรคุณอีก เอาไม้มา..ถ้าไม่เห็นเลือดคงไม่รู้จักสำนึกบุญคุณสินนะ”
“ปู่ต้องฟังพวกเราก่อน ข้าวและน้องไม่ได้ทำ ย่าหกล้มเองต่างหาก ถ้าพวกเราขวางหูขวางตาปู่ก็ขับพวกเราออกจากตระกูลเลยสิ” ฉันพูดออกไป เพราะจะได้มีข้ออ้าง ความจริงฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่สักวินาทีเดียว
“ไม่ต้องมาเถียง แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าปู่ พวกแกมันก็แค่ส่วนเกินของบ้านฉัน แล้วฉันก็ไม่เคยต้อนรับพวกแกและแม่แกเข้ามาอยู่ในกระกูลฉัน ไอ่พวกไม่มีหัวนอนปลายเท้า มายืนตรงหน้าฉันนี่ มาสิ้” กำจรโกรธจัดที่เด็กเมื่อวานซึม มาพูดฉอดๆ ไม่มีความยำเกรงเขา
“ไม่…ถ้าพวกเราเป็นส่วนเกินของบ้าน ปู่ก็ปล่อยพวกเราไปตายเถอะ ไม่กล้าใช่ไหม เพราะปู่ยังได้เงินจากพ่อของพวกเราอย่างไรเล่า ปู่ไม่เคยให้แม่และพวกเราเลย ปูเก็บไว้ซื้อของกินของใช้ ในขณะที่พวกเราสี่แม่ลูกทำงานงกๆ ได้กินกับข้าวที่เหลือ แล้วปู่เอาเงินของพ่อเราไปให้ลุงใหญ่ด้วย แต่ให้พวกเราอด ๆอยาก ๆเพียะ!!!” ความโกรธที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก จึงไปตบหน้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม นางมันปีกกล้าขาแข็งขึ้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ ที่ผ่านมามันไม่ยอมมาให้เห็นหน้า น้อยครั้งที่จะเจอมัน จึงใช้มือที่เหี่ยวย่นตบไปที่ใบหน้าน่าเกลียด
“เอาไม้มาบัวลอย” มันยังไม่สาแก่ใจนายกำจร สั่งให้ลูกสะใภ้ไปเอาไม้มา คนที่อยู่บ้านข้างเรือนเคียงก็มายืนมุงดูเสียงเอะอะโวยวายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทางด้านปู่ทิดเขารีบมาและทันได้ยินที่กำจรและข้าวฟ่างพูด ท่านให้คมรีบไปตามผู้ใหญ่บ้านมาที่นี่ เพราะรอช้าไม่ได้แล้ว เห็นหนูข้าวโดนมาหนักไม่น้อย ใบหน้าทั้งสองข้างมีรอยฝ่ามือทั้ง5 ปรากฏอยู่ ยังไม่พอน้ำตาไหลเป็นทาง
“หยุดนะกำจร แทนที่จะเป็นห่วงเมียแล้วมาลงอะไรกับเด็กๆ”
“มาทำไม? ไม่สบายไม่ใช่เหรอ เรื่องในครอบครัวคนอื่นอย่ายุ่ง” เขาตกใจเล็กน้อย ไหนวันก่อนได้ข่าวว่าไอ่ทิดมันใกล้ตายแล้วไม่ใช่เหรอ
“ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำกับเด็กตาดำๆแบบนี้ แกเป็นผู้ใหญ่ ถ้าจะให้เด็กเคารพต้องมีความเป็นธรรมให้พวกเขา ไม่ใช่ทำตัวเป็นนักเลง เห็นผิดเป็นถูก คิดว่าตัวเองถูกทุกอย่าง” กำจรเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เพียงเพราะสายตาที่ชาวบ้านส่งมาให้
“เร็วสิ พยุงเมียแกขึ้นแคร่ แล้วค่อยคุยกัน ฉันอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง” ปู่ทิดออกคำสั่ง หลังจากที่เขาพยุงเมียขึ้นมาแล้ว ลูกสะใภ้ก็เอายาดม ยาหอมมาให้ นางสมรแกล้งสลบต่อ เพราะได้ยินเสียงคนซุบซิบนินทาครอบครัวเธอ และอยากให้คนเหล่านั้นเอาผิดอีเด็กเปรตนี่ให้ได้ ไม่นานก็มีผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาด้วย
“เอาแหละ มาคุยกัน ส่วนใครที่อยากอยู่ร่วมฟังก็เข้ามานั่ง” ดูเหมือนปู่ทิดอยากประจานสองผัวเมียใจร้ายนี้ให้ทุกคนได้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมที่มีให้ครอบครัวข้าวฟ่าง ชาวบ้านที่มุงดูก่อนหน้านั้น ต่างเข้ามาฟังตามที่ปู่ทิดต้องการ แม้กำจรจะไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้