เช้านี้หญิงสาวชวนหนุ่มน้อยและพี่เลี้ยงทั้งสองมาเปลี่ยนบรรยากาศทานมื้อเช้าที่น้ำตกท้ายไร่ มาถึงก็เป็นไปตามที่ชวิศบรรยายเพราะที่น้ำตกแห่งนี้น้ำใสเห็นตัวปลา ปรียาดารู้สึกว่าธรรมชาติสวยงามแบบนี้น่าเสียดายที่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกตั้งสูงตระหง่านไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนคนที่อยู่ที่ต่างจังหวัด ทั้งสี่เดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆจนไปหยุดอยู่ที่โขดหินขนาดใหญ่ กุลและกานต์ช่วยกันจัดแจงข้าวของที่เตรียมมาปิคนิค
“ชอบไหมครับ”
“ชอบคร๊าบ”
“ถ้าชอบวันนี้ต้องทานข้าวให้หมดนะคะ”
“ได้เลยคร๊าบ” น้องชลเป็นเด็กดีเชื่อฟังปรียาดาเป็นอย่างดี ชรัณตื่นขึ้นมาก็พบว่าบ้านทั้งหลังดูเงียบผิดปกติเขาเลยถามหาทุกคนจากแม่นมนาถและได้ความว่าทุกคนออกไปทานข้าวเช้ากันที่น้ำตก
“คุณปรีเขากลัวคุณหนูจะร้อนน่ะค่ะเลยพากันออกไปตั้งแต่เช้า”
“ครับ ไม่มีใครอยู่อย่างนั้นผมขอแค่กาแฟดำก็พอครับ”
“ได้ค่ะ” หลังจากดื่มกาแฟดำเสร็จนายหัวชรัณก็ออกไปทำงานในไร่ทันที เขากะว่าถ้าเสร็จธุระแล้วจะแวะไปดูลูกชายเสียหน่อยไม่รู้จะดื้อซนกับพี่เลี้ยงคนใหม่หรือเปล่า
“กุลจ้ะพี่ขอลงไปเล่นน้ำหน่อยนะ”
“น้ำค่อนข้างไหลแรงนะคะจะดีหรอคะกุลว่า...”
“ดีสิจ้ะ นะๆพี่ขอลงไปแปบเดียว ส่วนน้องชลเล่นแค่ริมๆนี้พอนะลูกเพราะตรงที่พี่ปรีจะไปมันลึก” หนุ่มน้อยพยักหน้าเข้าใจ
“ก็ได้ค่ะ” กุลมีท่าทีลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมให้หญิงสาวลงไปเล่นน้ำ ปรียาดาแวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างมีความสุข หล่อนว่ายไปว่ายมารู้สึกสนุกมากๆ
“พี่ปรีกุลว่าขึ้นได้แล้วนะคะ”
“จริงด้วยค่ะพี่ปรีขึ้นเถอะค่ะเกิดนายหัวรู้พวกเราโดนบ่นแน่ๆ”
“อีกแปบเดียวจ้ะ พี่ยังสนุกอยู่เลยนะ”
“พี่ปรีขึ้นเถอะคร๊าบเดี๋ยวคุณพ่อดุนะคร๊าบ เวลาคุณพ่อดุน่ากลัว”
“ใช่เลยค่ะคุณหนู” กุลกระซิบกระซาบเสียงเบา หญิงสาวยังคงแวกว่ายในน้ำต่อไปจนกระทั่งรู้สึกถึงความผิดปกติ เธอรู้สึกว่าขาของเธอเป็นตะคริวมันเริ่มขยับไม่ได้จนต้องร้องขอความช่วยเหลือ กุลและกานต์ลนลานตกใจกลัว กานต์ที่ได้สติรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในไร่ เสียงร้องขอความช่วยเหลือทำให้นายหัวชรัณรีบออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ พี่ปรีจมน้ำ นายหัวรีบไปช่วยพี่ปรีด้วยค่ะ” จนประโยคของหญิงสาวเขาก็รีบวิ่งไปที่ท้ายไร่ทันทีโดยมีกานต์วิ่งตามไปติดๆ ในใจของปรียาดาคิดว่าเธอคงต้องมาจบชีวิตที่นี่สินะ เธอเห็นใบหน้าของบิดามารดาลอยมาในห่วงความรู้สึก เธอบอกรักท่านทั้งสองและคิดว่าพวกท่านกำลังจะพาเธอไปอยู่ด้วยกัน ชรัณกระโดดลงไปในน้ำอย่างไม่ห่วงชีวิตของตนเอง เขารู้เพียงแต่ว่าต้องช่วยหญิงสาวให้ได้ เป็นเรื่องยากลำบากเพราะน้ำเริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ไม่เกินความสามารถคนตัวโตอย่างเขา เขาช่วยเธอขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ หญิงสาวนอนหงายอยู่บนพื้นจากนั้นเขาก็ทำการผายปอดด้วยวิธีการเป่าปาก ไม่นานหญิงสาวก็ฟื้นคืนสติ เธอได้ยินเสียงร้องไห้โยเยของน้องชลและได้ยินเสียงของคนอื่นๆด้วยแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของใคร
“คุณปรี คุณปรีได้ยินผมไหมครับ”
“…”
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองในที่สุดคุณปรีก็ฟื้นแล้ว” กุลและกานต์ก็รู้สึกโล่งใจไม่ต่างกันที่หญิงสาวปลอดภัย
“ว่าไงครับคุณโอเคไหม”
“อะ โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“เรารีบพาพี่ปรีกลับบ้านดีกว่าค่ะนายหัว”
“กลับบ้านกันครับลูก ไม่ต้องร้องแล้วนะพี่ปรีของหนูปลอดภัยแล้ว”
“ฮึกๆ ครับคุณพ่อ” กุลกอดคุณหนูของบ้านแนบอกเพื่อให้หนุ่มน้อยรู้สึกปลอดภัย ชรัณมาส่งหญิงสาวที่ห้องพักแขกจากนั้นก็ฝากให้สาวใช้ช่วยดูแลเปลี่ยนชุดและหายามาให้หญิงสาวทาน เขาเพิ่งรู้ก็วันนี้แหละว่าหญิงสาวแท้จริงแล้วดื้อกว่าลูกชายของเขาเสียอีก กุลและกานต์บอกกับเขาว่าได้ห้ามเธอแล้วแต่เธอไม่ฟังสองสาวจึงไม่กล้าขัด ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองอย่างลวกๆ ไม่รู้จะมีเรื่องอะไรน่าปวดหัวกว่านี้อีกไหมนะ ด้าน ชวิศเมื่อได้ทราบข่าวจากน้องชายก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน แต่พอรู้ว่าหญิงปลอดภัยแล้วก็โล่งอก
“ยัยปรีหล่อนนี่จะให้ฉันปวดหัวไปถึงไหนกัน”
“เจ๊ หยุดบ่นก่อนได้ไหมคะปรีสำนึกผิดไม่ทันแล้วค่ะ”
“หล่อนเป็นเด็กหรือไงใครห้ามก็ไม่ฟัง”
“ปรีสัญญาค่ะจะไม่ตามใจตัวเองอีกแล้ว นะคะอย่าบ่นปรีเลยนะ”
“ที่บ่นหล่อนก็รู้ว่าเพราะอะไร”
“ปรีรู้ว่าเจ๊ทั้งรักทั้งเป็นห่วง ปรีขอโทษค่ะ”
“เฮ้อ รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหน”
“...”
“ถ้าหล่อนเป็นอะไรไปฉันจะอธิบายเรื่องนี้กับคนอื่นแล้วก็พ่อแม่ของหล่อนบนท้องฟ้ายังไง”
“ฮึกๆ” ปรียาดาพูดอะไรไม่ออกน้ำตามันไหลออกมาเป็นสายรู้สึกเสียใจและรู้ซึ้งแล้ว
“อ่ะๆไม่บ่นแล้วก็ได้ ไปนอนพักซะนะ มีอะไรก็โทรมาหาได้ตลอด” ชวิศได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆก็เลิกบ่นอัตโนมัติ
“ขะ ขอบคุณค่ะ ปรีรักเจ๊วิสนะ”
“เจ๊รู้ๆ”