เดินทางไม่นานก็มาถึงในเมือง หากแต่ก็ยังนานสำหรับเยว่ซินที่นั่งรถยนต์จนเคยชินจึงรู้สึกเหมือนใจจะขาด นางพูดคุยเรื่องทั่วไปกับพี่สาวจนแทบไม่มีเรื่องคุยกันแล้ว มือถือก็ไม่มีให้เล่น เวลาจึงหมดไปกับการพูดคุยกับบุตรชายและมองสำรวจบ้านเมืองในยุคนี้
ช่วงพ้นหมู่บ้านนั้นถนนมีเพียงทุ่งนาและผ่านหมู่บ้านอื่นอีกสองหมู่บ้าน ระหว่างนางมองดูสองพี่น้องก็นั่งคุยกันเช่นกัน อาถงตื่นตาตื่นใจกับเมืองยิ่งนัก ปกติเคยมาตอนเทศกาลยามค่ำคืนที่ท่านปู่ท่งพามา วันนี้ได้มาตอนกลางวันก็อดถามพี่ใหญ่หรือท่านป้าไม่ได้ว่าหมู่บ้านนี้คือหมู่บ้านอะไร
“ในเมืองมีม้าเยอะประเดี๋ยวเจ้าจะชอบมากกว่านี้” จางลี่เอ่ยบอกหลานชายอย่างเอ็นดู กระทั่งเยว่ซินเองก็เหมือนคนไม่เคยเข้าเมืองคงเพราะนางหายไปนาน บ้านเมืองก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ถามเก่งไม่ต่างจากบุตรชายเลยโดยมีอาเฉินนั่งหัวเราะมองอยู่
นั่งมาอีกหนึ่งเค่อก็เข้ามาในเมือง สามแม่ลูกมองด้านหลังที่เปิดโล่งดูเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“มีม้าจริงด้วยขอรับท่านป้า”
เยว่ซินมองบ้านเมืองอย่างสนอกสนใจ แต่ในหัวนางล้วนมีแต่เรื่องธุรกิจอยู่เช่นเดิม แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีเช่นกัน มองดูผู้คน มองดูรถม้า มองดูอาคารบ้านเรือนมากมายไม่วางตา
เหมือนดูหนังจีนโบราณเลย บนถนนนั้นมีทั้งคนเดินและนั่งเกวียนหรือรถม้าตามแต่ฐานะทางบ้าน ที่พวกเรานั่งอยู่นั้นคือเกวียนเทียมม้า แตกต่างจากรถม้าคือใหญ่กว่าแต่เดินทางช้ากว่า ราคาย่อมถูกกว่ารถม้าที่ขุนนางใช้เป็นพาหนะ
หรือหากต้องการนั่งรถม้าย่อมมีรถม้าที่ผ่านหมู่บ้าน ยิ่งเป็นคนในหมู่บ้านยิ่งดีนักได้ขึ้นก่อนผู้อื่น พี่สาวจางลี่บอกแก่นางว่าครั้งละสองอีแปะเพียงเท่านั้น หากอยากขึ้นก็ไปรอที่หน้าหมู่บ้านช่วงปลายยามเหม่า (06:00) ถึงต้นยามเฉิน (07:30)
ร่างบางพยักหน้าเข้าใจจดจำเอาไว้หากยามหน้าต้องการพาเด็ก ๆ ไปจะได้รู้วิธี หรือหากเก็บของป่าได้อยากนำไปขายจะได้ไม่ลำบากบ้านท่านปู่
อ้ายเสินหยุดเกวียนที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง เขาและน้องชายมาขายสัตว์ป่าที่นี่บ่อยครั้งจนสนิทสนมกับเจ้าของร้าน ทั้งใจดีและไม่กดราคา ไม่รังเกียจที่พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้าน
“ท่านแม่หลบหลังข้านะขอรับ” มู่เฉินเอ่ยบอกเหมือนลืมตัว เดินเข้ามาใกล้ก็พบเจอคนมากมายย่อมเป็นตัวเขาที่ไม่คุ้นชิน มือข้างหนึ่งจึงจับแขนเสื้อมารดาเอาไว้ไม่ได้แตะโดนผิวของนาง
อีกข้างย่อมเป็นมือของหยู่ถง เยว่ซินปล่อยให้บุตรชายจูงตามอย่างที่อยากทำ นางสนใจเพียงเหลาอาหารที่กำลังเดินเข้ามา เป็นอาคารไม้สองชั้นขนาดใหญ่ มีผู้คนมากมายเข้ามาที่นี่ มองดูชุดที่แตกต่างกันแล้วคงเป็นเหล่าพ่อค้าหรือคนต่างเมืองกระมัง
ในหัวตอนนี้ย่อมมีแต่เรื่องธุรกิจ เยว่ซินกำลังวางแผนและสำรวจกลุ่มลูกค้าในร้านทุกคนรวมถึงราคาที่ติดอยู่บนผนัง ทุกอย่างในนี้นางเก็บใส่หัวเอาไว้จนหมดเพื่อวางแผนอนาคตของครอบครัว
“อ้าวอาเสินอาลี่ มาขายสิ่งใดหรือ” ทั้งห้าเดินเข้ามาถึงหลังร้านก็มีชายชราผู้หนึ่งออกมาหา สองสามีภรรยาย่อมเคยเห็นจนสนิทสนมกัน
“เถ้าแก่ น้องสาวข้านางพาเด็ก ๆ จับกระต่ายได้ขอรับ ข้าจึงพานางมาขาย”
“คารวะผู้อาวุโสเจ้าค่ะ” ร่างบางพาลูกชายยอบกายทักทายผู้อาวุโสกว่าด้วยความเคยชิน ชายชราเห็นเช่นนั้นก็ชะงักทันทีไม่คิดว่านางจะยอบกายคารวะตนเองเช่นนี้
ทั้งนางยังไม่ดูเหมือนบุตรชาวบ้านทั่วไป กิริยามารยาทบุตรขุนนางย่อมถูกฝึกจากมามา ดังนั้นมองปราดเดียวย่อมรู้ว่านางคือบุตรขุนนางที่ได้รับการฝึกมาจากคนในวัง ย่อมเป็นบุตรขุนนางขั้นสูง
ชายชรามองพิศหญิงสาวอยู่นานจนลืมตัว ในสายตาของคนอื่นแม้แต่เยว่ซินเองย่อมรู้สึกอึดอัด
“เถ้าแก่ ดูสินค้าเลยหรือไม่ขอรับ” อ้ายเสินเอ่ยแทรกขึ้นกลัวชายชราจะชมชอบนาง ทั้งจางลี่ยังเดินมาบังเยว่ซินจนชายชรารู้ตัว หัวเราะออกมาที่เห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ เด็กสองคนก็จ้องเขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ข้าเพียงไม่ค่อยถูกคนที่นี่คารวะจึงตกใจ ขออภัยที่เสียมารยาทกับเจ้า” เมื่ออีกฝ่ายอธิบายด้วยใบหน้าจริงใจทุกคนเองก็หมดความกังวล
เยว่ซินเป็นบุตรสาวขุนนางไม่แปลกที่นางจะทักทายผู้อื่นเช่นนี้ มู่เฉินและหยู่ถงคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมออกอย่างโล่งใจเช่นกัน ไม่นานทุกคนก็กลับมาสนใจสินค้าที่นำมา ชายชราและคนงานเปิดดูกระต่ายป่าสองกระบุงก่อนจะมีสีหน้าตกใจ
“ไม่มีบาดแผล ทั้งยังมีชีวิตอยู่ เจ้าเก่งกาจยิ่งนัก” นายท่านเจ้าของเหลาอาหารกล่าวชมตามจริง เขารับซื้อกระต่ายมาเกือบพัน ๆ ตัวแล้วย่อมมีบาดแผลเช่นยามล่าสัตว์อื่น
อาเสินบอกตนว่านางกับเด็ก ๆ จับมาได้คงมิใช่วิ่งไล่จับมากระมังจึงไม่มีบาดแผลเช่นนี้ เยว่ซินยิ้มบางเพราะเดาออกว่าทุกคนคิดเช่นไร
“ผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปเจ้าค่ะ ข้าเพียงมีเด็ก ๆ ช่วยไล่จับจึงได้มา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างไรก็ดี กระต่ายข้าให้ตัวละสามร้อยอีแปะ ตัวเล็กสองตัวตัวละสองร้อยห้าสิบอีแปะว่าอย่างไร” เยว่ซินหันมองพี่สาวและเสินเกอเพราะนางไม่รู้ อ้ายเสินพึ่งนึกได้ว่านางไม่เคยมาค้าขายจึงพยักหน้ารับชายชราไปเพราะเป็นราคาที่ดีนัก
ปกติกระต่ายป่าราคาที่มากที่สุดคือสองร้อยอีแปะสำหรับกระต่ายตัวใหญ่
“เช่นนั้นจะให้คนนำเงินมาให้ หากมีอีกนำมาขายข้าเล่าอาเสิน” ชายชราเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดีก่อนจะเดินออกไปเมื่อมีคนมาเรียก ทั้งห้าจึงถูกเชิญให้นั่งรอเสียก่อนระหว่างที่คนของนายท่านเข้าไปหยิบเงิน
“ท่านแม่ เราได้เงินเยอะเพียงใดหรือขอรับ” เด็กน้อยเอ่ยถามเพราะไม่รู้ เยว่ซินนึกครู่หนึ่งเพราะราคาข้าวของนางเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน ราคาเมื่อสองปีที่แล้วในความทรงจำของอีกเสี้ยวจิตไม่รู้ยามนี้เปลี่ยนแปลงมากน้อยเท่าใด
“อาจสามารถซื้อข้าวขาวได้สองกระบุง ซื้อไข่ได้ห้าสิบฟองกระมัง”
“โอ้ มากมายนัก ซื้อน้ำตาลปั้นได้กี่อันหรือขอรับ”
“เจ้าห่วงแต่ขนมหวานหรือ” มู่เฉินจับมือน้องชายอยู่อดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ ร่างบางจึงนั่งหาเรื่องคุยกับทั้งสองอยู่นาน คุยเล่นกับมู่เฉินว่าซื้อน้ำตาลปั้นให้น้องได้ไม่เกินกี่ไม้ดี
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มตอบทันทีว่าหนึ่งไม้จนหยู่ถงหน้ามุ่ยแง่งอนพี่ชายโดยมีนางมองอยู่ ผู้เป็นมารดาย่อมเป็นนักเจรจา พูดคุยกับสองพี่น้องให้พวกเขาต่อรองกันเองสุดท้ายหยู่ถงก็มีสีหน้าดีขึ้นเมื่อพี่ใหญ่ให้ซื้อได้สามไม้
รอไม่นานชายชราก็เดินออกมาพร้อมถุงเงินสองถุงให้ทั้งสองคน อ้ายเสินเปิดนับตรงนั้นเผื่อจะขาดหรือเกิน นับเสร็จก็เป็นอันเสร็จสิ้นการซื้อขายแล้ว ร่ำลากันครู่หนึ่งก็เดินออกมาจากเหลาอาหารเพราะอีกฝ่ายมีงานต่อ
มือหนายื่นถุงเงินให้นางผู้นับถือกันเป็นพี่ชายน้องสาว ทั้งยังเปิดดูถุงเงินที่เป็นส่วนแบ่งของบุตรชายอย่างไม่สบายใจ ถุงเงินมีน้ำหนักย่อมหมายความว่ามีเงินในถุงมาก
“เจ้าแบ่งไปอีกสักสองร้อยอีแปะดีหรือไม่อาซิน”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ช่วยกันจับแบ่งกันย่อมเป็นอันสมควรแล้วเจ้าค่ะ ทั้งข้ายังได้มากกว่าเด็ก ๆ ตั้งหลายร้อยอีแปะ วันหน้าก็ต้องเข้าป่าเช่นเดิม เงินเท่านี้เองก็เพียงพออยู่ได้หลายเดือนไม่ลำบากแล้วเจ้าค่ะเสินเกอ” เยว่ซินโบกมือปฏิเสธโดยเร็ว
“พอแล้ว เจ้าแบ่งให้พวกเขาเท่านี้ก็มากแล้ว เก็บเอาไว้ใช้จ่ายเถิด อยากไปซื้อของหรือไม่ ข้ากับอาลี่เองก็จะไปที่ว่าการสักครู่ก่อนค่อยมาเจอกันที่เกวียน” อ้ายเสินเอ่ยบอกนาง อาถงไม่พูดไม่จาแต่จ้องร้านขนมหวานน้ำลายแทบไหล
ส่วนอาเฉินเองก็หันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวผู้ใดจะมาขโมยเงินจากมารดาไป เด็กสองคนนี้น่าเอ็นดูยิ่งนัก ส่วนเขาและจางลี่นั้นถูกหัวหน้าหมู่บ้านวานมาทำธุระให้ครู่หนึ่งต้องไปที่ว่าการเสียก่อน
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นไปกันเถิดลูก”
“ขอรับ” อาเฉินจูงมือน้องชายเดินตามมารดาไป สามแม่ลูกเดินแยกจากทั้งสองมาอีกทาง เสินเกอกับเจียเจี่ยจะไปที่ว่าการ นางจะไปตลาด
เยว่ซินกำเงินเก้าร้อยอีแปะด้วยความตื่นเต้นกลัวมันหาย เรียกได้ว่ามือสั่นกว่าตอนคุยงานกับลูกค้าผ่านโปรเจคมูลค่าเป็นสิบล้านยี่สิบล้านนางยังไม่มือสั่นเท่าตอนนี้เลย จากเจ้าของกิจการมีเงินมากมายตอนนี้กำลังรักษาเงินไม่ถึงหนึ่งตำลึงเงินเท่าชีวิต
ชาวบ้านชาวช่องเขาเจอโสมเจอเห็ดหลินจือมีเงินเป็นพันเป็นหมื่นตำลึงทองในวันเดียว ดูนางสิ หาได้น้อยกว่าคนอื่นไม่พอหนักกระเป๋าอีกต่างหาก ช่างน่าอดสูแท้ท่านประธานจางผู้นี้
ตัดพ้อไปก็มองเมืองโดยรอบอย่างสนอกสนใจไปด้วย เมืองอี้เป็นเมืองทางผ่านดังนั้นจึงมีขบวนพ่อค้าให้เห็นอยู่ตลอด ตรงหน้านั้นเป็นซอยหนึ่งและมีตลาด มีร้านรวงขายของด้านใน ส่วนพื้นที่ที่เดินอยู่นั้นไม่มีคนขายของตามทางเดินเลย
ร้านส่วนมากเป็นร้านที่มีอาคาร ที่ว่าการเมือง ร้านชายตำรา โรงหมอ เหลาอาหาร โรงเตี๊ยม บนถนนเองก็มีขบวนพ่อค้าเดินทางผ่านไปหรือหยุดพักที่นี่ให้เห็นอีกด้วย
หยู่ถงจับมือมารดาและพี่ใหญ่มองม้าหลายตัวอย่างชอบใจ เขาไม่เคยมาที่นี่เลยย่อมไม่เคยเห็นม้ามากมายเพียงนี้ ตัวใหญ่กว่าม้าท่านปู่ท่งเสียอีก ดังนั้นแล้วนอกจากน้ำตาลปั้นก็คงเป็นม้าที่เด็กน้อยให้ความสนใจ
“เราซื้อกระบุงเพิ่มดีหรือไม่อาเฉิน” เดินผ่านร้านหนึ่งเสียงหวานจึงเอ่ยถามบุตรชาย มู่เฉินคิดอยู่นานกลัวมันจะแพง แต่ท่านแม่ยิ้มให้เหมือนรอเขาอนุญาติเขาจะตอบสิ่งใดได้
“ขอรับ อันเดิมเก่าแล้ว”
ว่าแล้วทั้งสามก็เดินเข้าร้านขายของจักสาน ได้กระบุงใหญ่อันละสามสิบอีแปะมาหนึ่งอันและตะกร้าถือหนึ่งอันอันละยี่สิบอีแปะ เยว่ซินจ่ายเงินเสร็จก็พาเด็ก ๆ เดินต่อ กระบุงนั้นอยู่บนหลังเจ้าใหญ่ ตะกร้านางถืออยู่เผื่อจะได้ใส่ข้าวของ
“เจ้าสองคนอยากกินน้ำตาลปั้นหรือไม่ หรือซื้อของเสร็จค่อยซื้อ” เดินผ่านร้านขายขนมหวานนางจึงเอ่ยถามบุตรชายอีกครั้ง อาถงพยักหน้าก่อนผู้ใดจึงหยุดซื้อ น้ำตาลปั้นไม้ละสองอีแปะ นางซื้อให้สามไม้ตามที่ตกลงกันเอาไว้ เด็กน้อยบอกนางว่าจะแบ่งพี่ชายคนละหนึ่งไม้ครึ่งแม้มู่เฉินจะปฏิเสธก็ตามก่อนพวกเราจะเดินกันต่อเพื่อซื้อของเข้าบ้าน
วันแรกที่ท่านแม่กลับมาก็หาเงินได้ตั้งเก้าร้อยอีแปะ ดียิ่งนัก