บทที่ 1 คนบุญเยอะตายไว
เมืองหนึ่งในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เข้าสู่ปีพุทธศักราชที่ ๒๕๖๖ แล้ว ทุกบ้านเรือนต่างจัดงานสังสรรค์เพื่อส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังเวียนมาถึงกันอย่างเบิกบานใจ
จางเยว่ซินเคาะนิ้วกับพวงมาลัยรถยนต์คันโปรดขณะจอดติดไฟแดง หัวรถมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาครอบครัว รอยยิ้มงดงามปรากฏขึ้นเล็กน้อยยามที่นึกไปถึงว่าปีนี้พ่อแม่จะมอบของขวัญสิ่งใดให้เธอกัน
ครอบครัวเราเป็นเชื้อสายจีน ปู่ย่าตายายโล้สำเภามาที่นี่เมื่อนานมาแล้ว ร่วมกันทำธุรกิจตั้งแต่นั้นมา เธอเองก็เป็นหนึ่งในบุตรสาวที่กำลังสานต่อกิจการของครอบครัว เพราะมาถึงรุ่นพ่อแม่มีแต่บุตรสาว มีเยว่ซินและน้องสาวชื่อเยว่เล่อ ตอนนี้กำลังจะขึ้นปีสามมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนบริษัทจะหยุดยาววันปีใหม่ ท่านประธานเช่นเธอจึงทำบุญใหญ่ของบริษัทเสียเลยเพื่อเป็นสิริมงคลให้ครอบครัว พนักงานและหน้าที่การงานของพวกเราให้ เจริญก้าวหน้ามากกว่าปีนี้
//ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด//
เสียงเรียกเข้าจากมือถือดังขึ้นขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อย มือบางเอื้อมหยิบมันขึ้นมากดรับสายเมื่อหน้าจอปรากฎชื่อว่าเป็นมารดาที่โทรมา
“ค่ะม้า”
“ซินใกล้ถึงยังลูก” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยถามขึ้นจากปลายสาย พร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ของน้องสาวดังอยู่ไกล ๆ ว่าหิวไส้จะกิ่วแล้ว เยว่ซินหัวเราะขบขัน เด็กคนนี้กินเก่งอย่างกับอะไร
“ตอนนี้ซินติดไฟแดงอยู่ซอยก่อนเข้าบ้านเองค่ะ ม้าเตรียมอาหารเลย เงินซินทำบุญหมดแล้วหิวมากเลยค่ะ” หญิงสาวพูดติดตลกจนมารดาหัวเราะเบา ๆ
“รีบมา ป๊าแกตั้งเตาแล้ว คืนนี้จะกินหมูจุ่มกัน”
“ค่ะ” สายถูกตัดไปแล้ว มือบางวางมือถือลงที่เดิม สายตามองสัญญาณไฟจราจรอยู่ตลอด รอไม่นานจากไฟสีแดงก็กลายเป็นสีเขียว รถของเธอเองก็เคลื่อนตัวตามรถคันหน้าไปด้วยหัวใจเบิกบาน อีกไม่นานจะถึงบ้านแล้ว
//ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด//
กว่าสี่ชั่วโมงแล้วที่ลูกสาวของพวกเราเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เขา ภรรยาและลูกสาวคนเล็กนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่กล้าลุกไปไหนเลยแม้จะง่วงและหิวมากเพียงใดก็ตาม หมูจุ่มที่เตรียมไว้กินร่วมกันกับครอบครัวยังไม่มีใครได้แตะต้อง บุตรสาวคนโตของครอบครัวประสบอุบัติเหตุรถชนขณะกลับจากทำงาน
เยว่เล่อนั่งกอดมารดาร้องไห้ไม่แพ้กัน เธอและป๊าเดินออกไปรับพี่สาวอยู่หน้าบ้านเตรียมพร้อมเอ่ยปากบ่นที่มาช้าเช่นทุกครั้ง หากแต่เสียงดังเหมือนระเบิดทำให้สามพ่อแม่ลูกวิ่งไปที่เกิดเหตุทันที เยว่เล่อเรียนแพทย์เข้าปีที่สามแล้วอาจจะช่วยเหลือคนเจ็บได้ไม่มากก็น้อย ไม่คิดว่าคนที่ประสบเหตุจะเป็นพี่ซินพี่สาวของตนเอง
//แกรก// เสียงประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกพร้อมทีมแพทย์เดินออกมาด้านนอกด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่
“คนไข้ยังไม่พ้นขีดอันตรายครับ หมออยากให้ครอบครัวทำใจเอาไว้ด้วยนะครับ” คุณหมอเอ่ยบอกด้วยสีหน้าหนักใจ รถคู่กรณีพุ่งชนเข้ากลางตัวรถทำให้คนเจ็บอาการค่อนข้างสาหัส เป็นตายเท่ากัน
“ฮืออ” เยว่เล่อทั้งร้องไห้ทั้งประคองมารดาที่กำลังจะเป็นลม ครอบครัวตระกูลจางพบเจอความโชคร้ายในขณะที่ผู้คนเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่อย่างมีความสุข เหตุใดพระเจ้าจึงใจร้ายกับพวกเราเช่นนี้
ภาพผืนน้ำกว้างไกลไม่ต่างจากท้องฟ้าสดใสด้านบน ทุ่งหญ้าเขียวขจีกำลังเอนไหวไปตามสายลมที่นำพา พัดไปซ้ายทีขวาทีเหมือนต้องการจะหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น ร่างบางเดินเหยียบย่ำผืนหญ้าไปโดยไม่มีรองเท้ารองรับแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บเท้าเลย
เธอคือหญิงสาวอายุ 28 ปี เรียนจบคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ ตอนนี้เป็นเจ้าของบริษัทส่งออกสินค้าประเภทหนึ่งตั้งแต่เรียนจบ สานต่อกิจการของครอบครัวจนกลับมาเฟื่องฟูใหม่ได้อีกครั้ง วันนี้เป็นวันที่กิจการของครอบครัวประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
หน้าที่การงานมั่นคง สุขภาพแข็งแรง มีเงินสำรองจนครอบครัวอายุไปถึงแปดสิบปี ส่วนตัวเธอเองวางแผนเกษียณในอายุสามสิบห้าปี ให้คุณอามารับช่วงต่อตรงนี้แทน วางแผนเอาไว้ว่าอยากรับเด็กมาเลี้ยงสักสองคน ซื้อบ้านสักหลังที่อยู่นอกเมือง
ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสองคนไปจนแก่ก็พอแล้ว เธอทำงานหนักมาตลอดเพื่อเตรียมพร้อม ทำทุกอย่างให้รู้สึกว่า ต่อให้เยว่ซินจะตายในวันนี้ พรุ่งนี้ ครอบครัวจะต้องไม่ลำบาก ลูกสองคนจะต้องไม่ลำบากเรื่องเงิน
ไม่คิดว่าทันทีที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนจะเกิดอุบัติเหตุขณะกลับบ้าน หลังจากไฟเขียวเธอก็ออกรถปกติ ไม่รู้ว่ามีรถผ่าไฟแดงมา
ทั้งไม่รู้ด้วยว่าตั้งใจผ่าไฟแดงหรือเมาหรือรถเบรกแตก ตื่นขึ้นมาเยว่ซินก็มาอยู่ที่นี่แล้ว จะไปสอบถามจากใครได้ วันนี้พึ่งทำบุญใหญ่บริษัทไปหยก ๆ
คนบุญเยอะตายไวพึ่งเข้าใจก็วันนี้
เท้าก้าวเดินไปตามผืนหญ้าไปเรื่อย ๆ หากแต่รู้สึกเหมือนมันคือผืนหญ้าที่สุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุด เดินมานานเท่าใดก็ไม่เจอสิ่งใดเลยนอกจากต้นหญ้าและท้องฟ้าด้านบน
“ตามข้ามาเถิด” เสียงหนึ่งเรียกให้เธอหันไปมอง เป็นชายชราผู้หนึ่ง เยว่ซินย่อมคิดว่านี่คือเทพเทวดาที่จะนำพาเธอไปจุติ เพราะเมื่อครู่นี้ยังไม่มีผู้ใดเลย ท่านตาผู้นี้มาอยู่ข้างกายเธอตั้งแต่เมื่อใดก็ได้รู้ จึงเดินตามไปอย่างไม่มีข้อสงสัย
เดินตามโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าชายชราจะพาไปที่ใด นรกหรือสวรรค์ แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว เบื้องหน้าพลันปรากฏหน้าผาสูงชัน มองลงไปเบื้องล่างมืดสนิท สูงเพียงนั้นเหตุใดจึงพามาที่นี่
“ยามนี้เจ้าเหมือนคนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ข้าจึงนำพาเจ้ามาที่แห่งนี้ เสี้ยวจิตอีกครึ่งหนึ่งของเจ้าอยู่ที่นี่ หลอมรวมเป็นเจ้าในตอนนี้ ข้าให้เจ้าทำภารกิจสั่งสมคุณงามความดี หากจบสิ้นภารกิจแล้วเจ้าจะตื่นขึ้นเพื่อใช้ชีวิตกับครอบครัวของเจ้าต่อ”
ชายชราเอ่ยขึ้นแต่กลับหันมองท้องฟ้ากว้างเบื้องหน้าไม่ได้มองเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เยว่ซินคิดตามที่อีกฝ่ายบอก เสี้ยวจิตคือวิญญาณหรือ เธอไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ หมายถึงร่างจริงเธอเป็นตายเท่ากัน อีกฝ่ายจึงดึงมาหลอมรวมกับร่างในโลกนี้ให้เธอทำคุณงามความดีใช่หรือไม่นะ
“เป็นอย่างที่เจ้าคิดทุกประการ” ร่างบางสะดุ้งที่เหมือนถูกอ่านความคิด ชายชรากระแอมไอก่อนจะหันหน้ามาเอ่ยกับหญิงสาว
“เจ้าอีกคนในโลกนี้ก็ตกตายไปแล้ว ข้าจึงดึงเจ้ามาหลอมรวมกับเสี้ยววิญญาณของนาง เจ้าและนางคือคนเดียวกันไม่ใช่ใครอื่น ทำคุณงามความดีก็จะได้กลับไปหาครอบครัวพร้อมกับนำเสี้ยวจิตนี้กลับไปด้วย”
“เจ้าค่ะท่านผู้เฒ่า” เยว่ซินพยักหน้าเข้าใจ ให้นางบุกน้ำลุยไฟก็ย่อมทำได้หากได้กลับไปหาครอบครัว ชายชราเองก็พยักหน้าพึงพอใจที่นางไม่ชักถามมากความ
“เจ้าเห็นเด็กสองคนนั้นหรือไม่ บิดาตกตายไปแล้ว มารดาก็หายสาบสูญไปต้องอยู่กันลำพังสองพี่น้อง ข้าให้โอกาสเจ้าทายว่าตนเองจะได้เกิดเป็นผู้ใด” ท่านเทพอาวุโสเอ่ยขึ้น ร่างบางเดินไปดูภาพเหตุการณ์มากมายกำลังฉายให้นางดูอยู่ใต้เหวลึกทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังมืดมนอยู่เลย
ตากลมมองเด็กน้อยสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านหลังหนึ่ง มีพี่ใหญ่คอยดูแลตามประสาเด็กจะทำได้ เก็บผักเก็บหญ้ากินน่าสงสารยิ่งนัก
“เอ่ยมาขนาดนี้แล้วนะเจ้าคะท่านผู้เฒ่า มารดาที่หายไปแน่นอนเจ้าค่ะ” ร่างบางเอ่ยตอบออกไปด้วยความมั่นใจ เธอเป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นแม่คนอยู่แล้ว
“เป็นเช่นนั้น รู้แล้วก็รีบกระโดดลงไปเสีย” ชายชรากล่าวขึ้นเสียงเรียบเหมือนเมื่อครู๋นี้ไม่ได้เอ่ยเรื่องน่าตกใจออกมา
“เจ็บหรือไม่เจ้าคะ” เยว่ซินมองมองลงไปด้านล่างอีกครั้ง นี่ท่านผู้เฒ่าจะให้เธอกระโดดลงไปหรือ สูงขนาดนี้มิใช่จะตายอีกรอบกระมัง
“ไม่เจ็บ กระโดดลงไปเร็วเข้า” ชายชราเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดเพราะเขาต้องไปทำอย่างอื่นต่อแล้ว
“ข้ากลัวเจ้าค่ะ”
“ชักช้านัก” น้ำเสียงติดรำคาญมากกว่าเดิมเอ่ยขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะถอยห่างไป และ .... ยกเท้าขึ้นมา
//พลั่ก//
“กรี๊สสสส!”
อนิจจา จางเยว่ซินถูกตาเฒ่านั่นถีบลงจากหน้าผา
เรื่องใหม่มาแล้ว เรื่องนี้สุขนิยมสโลว์ไลฟ์เช่นเดิมนะคะ และชื่อ แซ่ หรืออะไรก็ตามไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องโจวเฟิ่งเจี๋ยเรื่องที่แล้วน้าต่อให้แซ่บางคนจะเหมือนกันค่ะ