บทที่ 10 จับกระต่ายไปขายกันเถิด

3127 Words
คำเตือน มีการบรรยายถึงวิธีการจับสัตว์ในช่วงแรกของบท เยว่ซินมองโพรงกระต่ายด้วยความสนใจ แม้นางจะไม่เคยจับก็ใช่ว่าจะไม่รู้วิธี จะจับได้หรือไม่ลองดูย่อมไม่มีสิ่งใดเสียหายมิใช่หรือ กระต่ายหนึ่งตัวได้ถึงสองร้อยอีแปะ อย่างน้อยขอเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นก็ยังดี “เราจับกระต่ายกันเถิด” “ท่านน้าจับกระต่ายเป็นหรือขอรับ” หลี่เฉียงกล่าวถามด้วยความสงสัย แม้แต่บุตรชายอย่างหยู่ถงยังไม่รู้ว่าท่านแม่จะจับมันได้เช่นไร กระต่ายวิ่งเร็วนักมิใช่หรือ “น้าเคยเห็น แต่ต้องใช้ไฟ เพราะเราไม่มีอาวุธ” เยว่ซินอธิบายให้เด็กทั้งสองคนฟังว่านางจะใช้วิธีใด อาเฉียงและอาถงยืนฟังจนเข้าใจ ท่านน้าจะจุดไฟไล่มันออกมาจากโพรง พวกเขามีหน้าที่จับมัน “อาถงและอาเฉียงจับกระบุงดี ๆ เข้าใจหรือไม่” เยว่ซินปลุกกำลังใจเด็กสองคน แน่นอนว่าเด็กย่อมโหยหาความสนุกสนานในชีวิต การจับกระต่ายย่อมน่าสนใจ หยู่ถงยิ้มกว้างเขย่ามือมารดาไปมาด้วยความตื่นเต้น “เชื่อมือข้าได้เลยท่านแม่” “เช่นนั้นข้าก่อไฟเองขอรับ” หลี่เฉียงอาสาจุดไฟเพราะตนนั้นชำนาญด้านนี้ยิ่งนัก เพียงแค่มีไม้หมุนและเศษใบไม้แห้ง ใช้มีดเล่มเล็กที่พกติดตัวมาด้วยขูดไม้ให้ได้ขุยเท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว เด็กน้อยเริ่มหมุนไม้จุดไฟเมื่อท่านน้าบอกแผนการหมดแล้วโดยมีอาถงนั่งมองด้วยความชื่นชมพี่ชายเต็มหัวใจ เฉียงเกอเก่งกาจด้านการเผายิ่งนัก เขาจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่พี่ชายกลัวยุงมากัดม้าจึงจุดไฟไล่ยุง ไม่รู้จุดอย่างไรจึงไหม้คอกม้าวอดไปทั้งคอกเช่นนั้น อาถงนับถือพี่ชายสุดหัวใจแต่ไม่สามารถทำตามได้เพราะพี่ใหญ่จะตี เนื่องด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาของหลี่เฉียงวัยหกหนาวใช้เวลาไม่นานก็จุดไฟได้ หนึ่งสตรีสองเด็กตอนนี้กำลังวุ่นวายกับการวางแผนจับกระต่าย เยว่ซินนำกระบุงที่บุตรชายวางไว้มาใช้เป็นที่จับ นำฟักทองออกเสียก่อนแล้วให้อาถงจับกระบุงเอาไว้ หันปากกระบุงเข้าทางโพรงกระรอก จากนั้นนางก็หาใบไม้หญ้าแห้งไปหาอาเถียงที่จุดไฟติดแล้ว จุดไฟไว้แล้วค่อยนำใบไม้แห้งไปเผาไฟจะได้ไม่ต้องเสียเวลาจุดใหม่อีกครั้ง ไม่ลืมเอ่ยชื่นชมความสามารถหลานชายไปหลายคำ ก่อนก็ให้เด็กน้อยไปช่วยอาถงจับกระบุงแทน “หากมันเข้ากระบุงพวกเจ้าต้องดึงเชือกทันทีเข้าใจหรือไม่” เยว่ซินสั่งงานลูกสมุนตัวจิ๋วของนางอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เด็ก ๆ จับกระบุงคนละด้าน อาเฉียงอายุมากกว่าเป็นฝ่ายจับเชือกด้วย หากกระต่ายเข้ามาเป็นเขาที่ต้องดึงมัน “ข้าและอาถงพร้อมแล้วขอรับ” “เช่นนั้นเริ่มเลย” หากจะถามว่าผู้ใดกระตือรือร้นที่สุดคงเป็นเยว่ซินผู้นี้กระมัง เหมือนคำว่าเงิน เงิน เงิน ลอยอยู่เต็มหน้า ร่างบางนำใบไม้แห้งที่กำลังไหม้ยัดเข้าไปในโพรงของมันแล้วดึงออก ส่งแค่ควันเข้าไปด้านในเท่านั้น ไม่รู้ถูกหรือไม่นางไม่เคยทำ แต่เคยเห็นวิธีการไล่ผึ้งเขาทำเช่นนี้ มือบางยัดควันเข้าไปหลายครั้งไม่นานกระต่ายในโพรงก็วิ่งออกมาจากโพรงอย่างที่นางคิด วิ่งเข้ากระบุงใหญ่ไปแล้วหนึ่งตัว “ท่านแม่ดูขอรับ จับได้แล้วขอรับ” อาถงตื่นเต้นกว่าใครเขา ปล่อยกระบุงกระโดดดีใจใหญ่จนพี่ชายต้องดึงกลับมาจับกระบุงช่วยอีกครั้ง เชือกปากกระบุงถูกดึงเพื่อมัดไม่ให้สัตว์ด้านในออกมา หากแต่เด็กสองคนช่างทุลักทุเลนักเพราะกระต่ายตัวใหญ่ “อาถงอาเหลียงจับกระบุงดี ๆ ลูก แม่จะเป่าควันเข้ารังมันเพิ่ม” เยว่ซินยัดใบไม้ไหม้เข้ารังมันเพิ่มก่อนจะดึงออก ไม่ทันได้มองเด็ก ๆ เลยว่าสู้รบกับกระต่ายเป็นเช่นไรบ้าง “อ้าก ท่านน้ามันดิ้นแรงมากขอรับ” กระต่ายตัวใหญ่ดิ้นครั้งเดียวเด็กสองคนแทบล้มหัวคะมำ อาเฉียงทั้งกลัวทั้งฮึดสู้ หากแต่อาถงที่อายุน้อยกว่าพี่ชายนั้นน้ำตาไหลพรากเต็มแก้มเสียแล้ว “ฮืออท่านแม่ข้าต้านทานพลังมันไม่ไหว พี่ใหญ่ ช่วยข้ากับท่านแม่ด้วยขอรับบบ!” เสียงเล็กก้องกังวาลดังไปทั่วป่า เยว่ซินทั้งอยากปลอบลูกแต่มือก็ยังถือหญ้าแห้งอยู่ อาเฉียงเองก็ฟัดกับกระต่ายไม่มีแม้แต่เวลาไปสนใจน้องชาย สามบุรุษที่ขุดหน่อไม้อยู่วิ่งหน้าตั้งมาตามเสียงอย่างรวดเร็ว ในมือกำพร้าแน่นคิดว่าทั้งสามเจอสัตว์ร้ายเข้า ภาพตรงหน้ากลับเป็นเด็กสองคนกำลังช่วยกันจับกระบุงที่มีกระต่ายอยู่ในนั้น ท่านน้ากำลังสุมไฟในโพรงเพิ่ม เยว่ซินหันมาเจอทั้งสามก็รีบกวักมือเรียกพวกเขาให้มาช่วยจับโดยที่มู่เฉินยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด “พวกเจ้าเอากระบุงมาดักมันอีกเร็วเข้า” “ขอรับท่านน้า” ทั้งสามวิ่งมาช่วยเหลือโดยเร็วเหมือนพึ่งได้สติ ฮุ่ยเฟินไปช่วยน้องชายสองคนจับกระบุง ดึงเชือกให้แน่นไม่ให้มันออกมา ส่วนจางจิ้งและมู่เฉินเทของในกระบุงที่แบกมาออกแล้วนำไปดักโพรงกระต่าย “อาเฉียงเจ้าปลอบอาถงก่อนพี่ชายจะจับเอง” ฮุ่ยเฟินมัดปากกระบุงจนแน่น ดันหลังน้องชายไปกอดปลอบโยนอาถงตัวน้อยที่ร้องไห้ยังไม่หยุดด้วยความตกใจกลัว ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวายไปหมด หยู่ถงจูงแขนเฉียงเกอเดินมาจับหลังมารดาที่กำลังสุมไฟอยู่เหมือนหาที่พึ่ง เยว่ซินลูบหัวบุตรชายไปก็สุมไฟไปจนอาถงเริ่มกลับมาสนุกสนานอีกครั้งยามที่กระต่ายวิ่งออกมาอีกหลายตัว “โอ้ มันมาแล้ว พี่ใหญ่มันมาแล้ว” เด็กน้อยกระโดดไปมาด้วยความดีอกดีใจ น้ำตาที่อาบแก้มเมื่อครู่นี้เหมือนเป็นภาพฝัน ดึงแขนเฉียงเกอวิ่งมาดูกระต่ายอย่างกระตือรือร้น กระบุงของจิ้งเกอและเฉินเกอมีกระต่ายอีกหลายตัววิ่งเข้ากระบุงใหญ่โดยมีท่านแม่สุมไฟด้วยดวงตาเป็นประกาย เยว่ซินมองกระต่ายวิ่งออกมาด้วยความดีใจและโล่งใจ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่อดตายไปได้สักเดือนแล้ว ระหว่างนั้นจะได้มีเวลาวางแผนชีวิตว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี มู่เฉินยกกระบุงกระต่ายที่มัดปากเสร็จแล้วมาไว้ให้อาเฟินดูแล หยิบกระบุงอันใหม่ไปดักรอเผื่อจะมีกระต่ายออกมาอีก แต่สุมไฟเพิ่มอยู่นานก็ไม่เห็นจะมีสักตัวท่านแม่จึงหยุด “แม่ว่าคงหมดแล้วกระมัง” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ความทุลักทุเลเมื่อครู่นี้จบสิ้นเสียที มู่เฉินเดินมาช่วยมารดาดับไฟให้นางไปพัก ทั้งยังมองนางอย่างเป็นห่วง ท่านแม่พึ่งได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้แผลยังไม่ทันหาย วันนี้กลับมาจับกระต่ายเสียแล้วจะไม่ให้เขาเป็นห่วงนางได้อย่างไร “ท่านแม่เจ็บแผลหรือไม่ขอรับ” “แม่ไม่เจ็บแล้วลูก” ร่างบางยิ้มให้บุตรชายที่เป็นห่วงนางมากขนาดนี้ การถูกรักและใส่ใจใครบ้างจะไม่รู้สึกดี พอเห็นว่ามารดาไม่เป็นอะไรมู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านแม่ กระต่ายได้ห้าตัวเลยขอรับ” หยู่ถงวิ่งไปนับมันมาเมื่อครู่นี้วิ่งไปบอกมารดาด้วยใบหน้าสดใส เยว่ซินคำนวณในใจคร่าว ๆ ก็เผยยิ้มออกมา กระทั่งบุตรชายของนางก็ยิ้มเช่นกัน กระต่ายห้าตัวอย่างน้อยต้องได้พันอีแปะ หากแบ่งกันกับเด็ก ๆ คนละห้าส่วนอย่างน้อยนางก็ยังได้ห้าร้อยอีแปะอยู่ได้เป็นเดือนอย่างแน่นอน “เก่งมาก พวกเจ้าทุกคนเลย” เสียงหวานเอ่ยชื่นชมเด็ก ๆ จากใจจริง แม้กระทั่งเด็กหนุ่มทั้งสามก็ยิ้มออกมา ปกติเรื่องเช่นนี้คือเรื่องปกติที่ควรทำได้ ดังนั้นท่านพ่อจึงไม่ได้ชื่นชมพวกเขาเช่นที่ท่านน้ากำลังชม พึ่งรู้ว่ามีคนชื่นชมแล้วมันรู้สึกดีเพียงนี้ ระหว่างนี้ทุกคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของที่เททิ้งไว้ใต้ร่มไม้ กระบุงใหญ่สองอันมีกระต่ายอยู่ทำให้ข้าวของที่เหลือต้องนำไปใส่กระบุงอีกอันแทน ส่วนกระบุงเล็กนั้นมู่เฉินหยิบหน่อไม้หย่อนลงไปเพิ่มเพียงอันสองอันเท่านั้นไม่อยากให้น้องชายทั้งสองคนหนัก “กลับกันเถิด ต้องไปขายอีก แต่น้าไม่รู้ต้องไปขายที่ใด” ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อแหงนมองดวงตะวันบนฟ้า ตอนนี้คงใกล้มื้อเที่ยงแล้วกระมัง หากขายกระต่ายได้นางก็อยากทำอาหารเลี้ยงพวกเขาทุกคนที่ช่วยจับกระต่าย “ท่านพ่อรู้ขอรับ ให้ท่านพ่อขายให้ได้” ฮุ่ยเฟินกล่าวตอบ “ดียิ่ง เช่นนั้นกระต่ายห้าตัว พวกเจ้าเอาไปสามตัว น้าและเด็ก ๆ เอาสองตัวดีหรือไม่” เยว่ซินเอ่ยขึ้นมองกระต่ายห้าตัวในกระบุง จางจิ้งชะงักเดินกลับมามองกระต่ายที่ท่านน้าบอกจะให้พวกเขาตั้งสามตัวทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดมากเช่นที่นางทำ “ไม่ดีขอรับ ท่านเป็นคนคิด พวกเราเพียงช่วยเท่านั้น ไม่ต้องให้ข้ากับน้องหรอกขอรับ” “ได้อย่างไรกัน” เยว่ซินเอ่ยอย่างไม่ยอม เด็ก ๆ ช่วยมากเพียงนี้จะไม่ให้ได้อย่างไร ช่วยกันจับก็ต้องแบ่งกัน จางจิ้งนึกครู่หนึ่งพร้อมมองกระต่ายอยู่นานโดยมีน้องชายสองคนยืนลุ้นคำตอบด้วยเช่นกัน “เช่นนั้นท่านน้าสามตัว พวกข้าสองตัวขอรับ” นิ้วชี้ไปที่กระต่ายตัวเล็กที่สุดสองตัว ทั้งเด็กอีกสองคนยังพยักหน้าตามเห็นด้วยกับพี่ชาย การจับกระต่ายนั้นจับยาก ทั้งตัวเล็กและวิ่งเร็ว หากท่านน้าไม่รู้วิธีแม้แต่กระต่ายสักตัวพวกเขาก็ไม่มีทางทำให้มันอยู่ในกระบุงได้ “ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ขอรับ ข้าอยากให้ท่านน้าทำฟักทองแข็ง ๆ ให้กินมากกว่า” หลี่เฉียงเอ่ยถึงเรื่องนี้เยว่ซินจึงยิ้มรับการตัดสินใจของพวกเขา เด็กพวกนี้ห่วงกินมากกว่าหรืออย่างไรกัน ท่านน้าเช่นนางพยักหน้าตอบอย่างไม่มีสิ่งใดจะแย้ง “ได้ เช่นนั้นน้าจะทำสังขยาฟักทองให้พวกเจ้ากิน แต่เก็บฟักทองเพิ่มอีกสักหน่อยเผื่อทำเผื่อท่านลุงท่านป้าด้วย” “ขอรับ” เด็ก ๆ โล่งใจขึ้นมาเมื่อท่านน้าไม่ดื้อดึงอยากแบ่งกระต่ายให้พวกเขาเกินสองตัว กระต่ายห้าตัวพวกเราเพียงช่วยจับกระบุงเท่านั้น ได้สองตัวก็นับว่าท่านน้าใจดีมากแล้ว สองคนแบกกระบุงกระต่าย คนหนึ่งแบกกระบุงของที่นำมารวมกัน อาถงและอาเฉียงอุ้มฟักทองอีกคนละลูก และท่านน้าเยว่ซินอุ้มอีกสองลูกเดินกลับออกจากป่าด้วยรอยยิ้มเบิกบานโดยมีมู่เฉินคะยั้นคะยอขอถือช่วยมารดาไปตลอดทางจนคนอื่น ๆ หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ใช้เวลาสองเค่อก็เดินมาถึงหลังบ้านท่านปู่ท่ง อาเฉียงจึงวิ่งไปหาบิดาก่อน เหมือนท่านพ่อกำลังจะเอาเกวียนออกไปไหนกลัวจะไม่ทัน จางลี่เป็นคนมองเห็นบุตรชายก่อนสามีจึงเอ่ยเรียกเอาไว้ได้ มองไกล ๆ เห็นบ้านผิงเดินมาด้วย ทั้งสองจึงลงจากเกวียนเดินกลับเข้าไปที่แคร่หน้าบ้าน “ท่านพ่อ” “เข้าป่ามาหรือ นึกว่าพวกเจ้าถางหญ้าอยู่บ้านอาเฉิน” “ท่านน้าพาพวกข้าจับกระต่ายป่าขอรับ ได้ตั้งห้าตัว” หลี่เฉียงดึงบิดาให้เดินมาดู สองบุรุษวางกระบุงให้อ้ายเสินดู มิใช่เพียงอ้ายเสิน ฮุ่ยซิวเองก็เดินมาดูกระต่ายที่เยว่ซินพาพวกเขาไปจับด้วย กระต่ายตัวเป็น ๆ อยู่ในกระบุงทำเอาสองบุรุษอดทึ่งไม่ได้ ไม่จับด้วยอาวุธแล้วจับเช่นไรหรือนี่ “เจ้าหายแล้วหรืออาซิน ข้าย้ำเจ้าว่าให้พักก่อนมิใช่หรือ” จางลี่บ่นออกมาอย่างลืมตัวขณะที่คนอื่น ๆ สนใจกระต่าย เยว่ซินยิ้มแห้ง มิใช่พี่สาวที่บ่นข้าคนแรก หากมู่เฉินบ่นนางได้คงบ่นนางตั้งแต่ที่โพรงกระต่ายแล้ว “ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ อาจจะเพราะท่านเทพช่วยไว้” “เอาเถิด ๆ แล้วเจ้าจับมันได้อย่างไรไม่มีแผลสักแผลเลย” อ้ายเสินเอ่ยขึ้นไม่อยากให้ภรรยาบ่นนางมากกว่านี้จนจางลี่มองค้อนสามีไปหนึ่งที ท่านพี่ก็เป็นเช่นนี้ เยว่ซินก็ซุกซนมาแต่ไหนแต่ไร ยามนางบ่นเหมือนมารดาอีกฝ่ายก็ช่วยพูดให้เหมือนเป็นบิดาจนท่านพ่อสามีหยอกล้อพวกเราอยู่หลายครั้ง เพราะตอนนั้นเยว่ซินอายุเพียงสิบห้าหนาวเท่านั้น ยามสามีนางพาห่าวเกอไปล่าสัตว์ เยว่ซินย่อมมาหานางเพื่อร่ำเรียนการทำงานบ้านงานเรือนและการทำอาหารจนสนิทกันและนับถือนางเป็นพี่สาว เยว่ซินหัวเราะชอบใจกับท่าทีของทั้งสองคน ยังดีที่เยว่ซินคนก่อนเป็นคนดีทั้งยังเป็นน้องสาวที่ดี หากเป็นคนนิสัยไม่ดีหรือนางร้ายในละครหลังข่าวนางย่อมไม่รู้จะหันไปพึ่งพาผู้ใด ทั้งเด็กอายุเพียงสิบห้าหนาวอย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็ก โลกของนางนั้นเรายังเล่นสนุกกันอยู่เลย นางในยามนั้นจะซุกซนก็ไม่แปลก อยู่ตระกูลขุนนางก็ถูกตามใจมาตลอด งานการไม่เคยได้ทำ มีพี่ชายพี่สาวคอยตามใจ จนตัดขาดกับครอบครัวเมื่อนางตัดสินใจมาตบแต่งกับท่านพี่ย้ายมาอยู่ที่นี่ จางลี่บ่นน้องสาวจนพอใจแล้วพวกเราก็กลับมาสนใจกระต่ายต่อ ปกติแล้วล่ากระต่ายจะต้องมีบาดแผล ทำให้สองพี่น้องอดทึ่งไม่ได้ว่านางพาเด็ก ๆ ไปจับอย่างไรจึงยังตัวขาวมีชีวิตอยู่เช่นนี้กัน “ข้าเพียงนำหญ้าแห้งจุดไฟแล้วเอาไปใส่โพรง มันก็จะวิ่งออกมาใส่กระบุงที่เด็ก ๆ จับไว้เจ้าค่ะ เสินเกอ ซิวเกอนำไปทำได้เจ้าค่ะ” “ขอบใจเจ้ามาก แต่ป่านี้ไม่ค่อยมีกระต่าย ปล่อยไว้ให้เจ้าพาเด็ก ๆ ไปจับดีกว่า พวกข้าจะล่าสัตว์ใหญ่เอง” อ้ายเสินโบกมือไปมา กระต่ายตัวเล็กจับยากกว่าสัตว์ใหญ่ เขามีอาวุธจับสัตว์ใหญ่จะดีกว่า ให้นางและบุตรชายไปจับเถิด เอ่ยจบบุตรชายคนเล็กก็พยักหน้าตามทันที “ท่านพ่อเอ่ยถูกต้องขอรับ จับกระต่ายสนุกยิ่งนัก อาถงร้องไห้เสียงดังก้องป่า คิกคิก” “เฉียงเกอท่านก็ร้องเช่นกันเพียงแต่ไม่มีน้ำตาเพราะบ่อน้ำตาท่านอยู่ไกล” อาถงถูกพี่ชายล้อก็หน้าแดงก่ำเขินอายล้อพี่ชายคืนบ้าง เด็กน้อยบึนปากเดินไปกอดพี่ใหญ่อย่างเขินอาย “เช่นนั้นไปขายกันเถิด ไปด้วยกันเผื่อเจ้าจะซื้อของเพิ่ม” “เจ้าค่ะ ไปกับแม่หรือไม่” เยว่ซินหันไปหาบุตรชายทั้งสองคน อาเฉินย่อมพยักหน้า อาถงเองก็พยักหน้าเช่นกัน นานมากแล้วที่สองพี่น้องไม่ได้เข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของ มู่เฉินเคยไปบ่อยตอนเป็นเด็ก ยามท่านพ่อและท่านลุงล่าสัตว์ได้เขามักจะตามไปในเมืองด้วย แต่ช่วงหลังมานี้ไม่ได้ไปบ่อยแล้วโดยเฉพาะอาถงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง “เช่นนั้นให้ท่านพ่อท่านแม่ไปนะขอรับ ข้าจะนำของไปที่บ้านท่านน้าและอาจจะไปเก็บฟักทองมาเพิ่ม” จางจิ้งเลือกไม่ไปดีกว่าเพราะมีบิดามารดาแล้ว “ได้ ไปกันเถิด” อ้ายเสินแบกกระบุงขึ้นเกวียน บุตรชายเอ่ยบอกว่าแบ่งกระต่ายกับท่านน้าแล้วพวกเขาเอาแค่ตัวเล็ก ๆ เพราะรู้ว่าครอบครัวอาเฉินต้องการเงิน เขาและภรรยารู้สึกภูมิใจกับทั้งสามคนยิ่งนักที่รู้ความเช่นนี้ เยว่ซินและบุตรชายขึ้นเกวียนมาม้าก็ออกวิ่ง สามแม่ลูกนั่งฝั่งเดียวกันปล่อยให้ท่านป้านั่งอีกฝั่งคนเดียว เยว่ซินนำผ้าที่ถือติดมือมาเช็ดหน้าให้อาถง นางชุบน้ำที่ตุ่มบ้านท่านปู่มาแล้วครึ่งผืน เช็ดหน้าเช็ดมือให้บุตรชายคนเล็กจนสะอาด อาถงเองก็นั่งนิ่งให้มารดาเช็ดหน้าให้โดยมีท่านป้าจางนั่งยิ้มมองอยู่ ยิ่งทำให้เขามีความสุขมากขึ้น “เจ้าใหญ่หันมาเร็ว แม่จะเช็ดหน้าเช็ดตาให้” เช็ดให้หยู่ถงเสร็จแล้วนางจึงหันไปหาบุตรชายคนโต “ท่านแม่ข้าโตแล้วนะขอรับ” มู่เฉินหน้าแดงก่ำเขินอายท่านป้าแต่ก็ไม่ได้เบี่ยงหน้าออกกลัวท่านแม่จะเสียใจ เยว่ซินยิ้มอย่างพออกพอใจพลิกผ้าอีกด้านเช็ดหน้าเช็ดมือให้บุตรชาย สิบหนาวจะโตได้อย่างไร ลูกก็คือลูกอยู่วันยังค่ำ เช็ดเสร็จจางลี่ก็แนะนำให้ผึ่งผ้าไว้บนเกวียนนางจึงทำตามอย่างไม่อิดออด มองใบหน้าบุตรชายทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน เยว่ซินคนก่อนเลี้ยงพวกเขามานานก็แล้วไปเถิด นางพึ่งเคยเลี้ยงบุตรนี่ ชาติก่อนก็ยังไม่ทันได้รับเด็กบุญธรรมมาเลี้ยงก็ตกตายแล้ว นางเห่อลูกก็ไม่แปลก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD