ตอนที่ 2
ก่อนนั้น
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น
“อ่าส์ รัดแน่นจัง จะเสร็จ ซีดส์”
เสียงแหบพร่าดังแข่งกับลมหายใจที่หอบเบาๆ สวนทางกับสะโพกสอบที่ยังคงรัวเร่งจังหวะใส่ร่องหลืบที่รัดแน่นตามแรงกระตุ้น ก่อนที่ไม่ถึงนาทีทุกอย่างจะค่อย ๆ สงบลง พร้อมกับท่อนเอ็นที่พ่นน้ำคาวออกมาจนเต็มถุงห่อหุ้ม
“วันนี้คุณเสร็จช้า และกำลังจะทำให้ฉันไปทำงานสาย รู้ตัวเอาไว้ด้วย”
แม้ปากจะบ่นออกไปอย่างนั้น แต่ร่างสวยสมส่วนที่เต็มไปด้วยเหงื่อใครกลับไม่ได้อยู่นิ่งแต่อย่างใด เธอกระโจนลงจากเตียงกว้างได้ก็พุ่งเข้าไปยังตัวห้องน้ำทันที จัดการอาบน้ำทำเวลาเพียงแค่ชั่วครู่ สาวเจ้าก็กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับมือที่หยิบชุดเดรสรัดรูปเน้นส่วนเว้าโค้งมาใส่ด้วยท่าทีเร่งรีบ หากแต่นั่นกลับเป็นภาพที่ทำเอาคนมองหลุดเสียงหัวเราะออกมาในลำคอแทน
“หัวเราะอะไร? เพราะคุณเลยนะ คุณอคินน์ ถ้าฉันถูกหักเงินขึ้นมาจะทำยังไง”
ปากเล็กพูดขึ้นอย่างลืมตัว มือก็เปลี่ยนมาสาละวนกับการลงแปรงเครื่องสำอางไปที่ใบหน้าสวย หวังว่ามันจะเข้มพอที่คนจะจับเค้าโครงใบหน้าเดิมไม่ได้เหมือนทุกครั้ง แต่แล้วความเร่งรีบนั่นกลับถูกดึงให้ชะงักขึ้นมา เมื่อหูได้ยินเสียงพูดประโยคถัดมาของคนที่ยังนอนหายใจแรงอยู่บนเตียง
"ฉันขำเพราะนึกได้ วันนี้เพื่อนฉันมันเรียกเธอว่านางฟ้า ชมแล้วชมอีกว่าสูงส่งนักหนา อยากเห็นหน้าของมันตอนรู้ว่านางฟ้าแสนสูงส่งของมันพึ่งกลืนน้ำของฉันลงคอไป เหอะ คงตลกน่าดู"
"ตลกมากนักหรือไง เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นของเล่น"
"ความทุกข์? นี่ อย่ามาพูดเหมือนกับไม่ชอบหน่อยเลย เวลาเธอร่อนอยู่บนตัวฉันมันสวนทางกับคำพูดเธอนะ ยัยจอมปลอม"
ใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีกับคำพูดจาจาบจ้วงและสายตาโลมเลียของคนบนเตียง ให้ตายสิ ถึงจะนอนด้วยกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ชินกับใบหน้าคมคายและสายตานั่นสักครั้ง
ใบหน้าและแววตาที่น้อยคนจะได้เห็น ยามที่เจ้าตัวไม่มีแว่นตาหนาเตอะมาบดบัง ราวกับว่ามันมีมนต์สะกดไม่ให้เธอสามารถมองไปทางอื่นได้อีก
'ไม่ได้สิยัยชม จะมาเคลิ้มอะไร หมอนี่มันปิศาจ'
"อึก...แต่คุณก็ไม่ควรทำเหมือนเป็นเรื่องตลกแบบนี้ คุณและฉันก็รู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ตลก"
“ไม่เอาน่า อย่าบ่นให้มันมากนักเลย เธอไม่ควรมีปากมีเสียงกับฉัน แล้วเธอก็รู้เหตุผลดีใช่ไหม ว่าเพราะอะไร”
“...”
“หรืออยากให้ทั้งมหาลัยรู้? ว่านางฟ้าแสนดีที่ใครต่อใครชื่นชม ที่จริงแล้วเน่าเฟะขนาดไหน”
ริมฝีปากของคนฟังขบเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บใจในคำดูหมิ่นนั่น แต่ถึงอย่างนั้นที่เธอทำกลับมีเพียงแค่เก็บเครื่องสำอางของตัวเองลงกระเป๋าพอลวก ๆ แล้วพาเรือนร่างที่เพิ่งทอดกายให้อีกฝ่ายระบายความใคร่ ตรงไปยังตำแหน่งของประตูทันทีโดยไม่มีคำโต้แย้งใด ๆ
หรือจะพูดให้ถูกก็คือชมพูแพรไม่สามารถจะกล้างัดข้อกับผู้ชายที่ชื่ออคินน์คนนี้ได้เลย
“หึ นึกว่าจะแน่ ยัยลูกคุณหนูจอมปลอม”
น้ำเสียงเป็นต่อดังออกมากับตัวเอง สายตามองทอดตามติดคนสวยดาวคณะไปติด ๆ ก่อนไม่นานเจ้าของส่วนสูงเกือบสองเมตรจะหันมาจัดการตัวเองเช่นกัน เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ถูกสวมเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ในขณะที่มือหนาทำหน้าที่สางเส้นผมชุ่มเหงื่อพอลวก ๆ อย่างไม่ต้องการจะให้เป็นทรงอะไร
ตามมาด้วยแว่นหนาเตอะเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็จำได้ทันทีว่านี่คืออคินน์เด็กเนิร์ดหน้าตายประจำคณะ ต่างจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าเชื่อว่าแค่ใส่แว่น คนเราจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
และถ้าถามว่าเหตุใดตัวเขากับสาวสวยแสนดี ฉายานางฟ้าของคณะถึงมาลงเอยกันแบบนี้ เรื่องมันคงเริ่มต้นมาจากเมื่อเกือบครึ่งปีก่อนนี่...
ครึ่งปีก่อนหน้านี้
“ชม นั่นคุณลุงอนันต์ กับคุณป้าราตรี ส่วนข้าง ๆ นั่นก็อคินน์ไง จำได้ไหมลูก”
คำถามที่ไม่ได้มีไว้เพื่อถาม ถูกตอบสนองมาด้วยรอยยิ้มเจือจางของสาวเจ้าผู้เป็นลูก แน่นอนในใจของสาวเจ้าตอนนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างที่มันอัดแน่นและตีวนกันไปหมด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบังคับตัวเองพนมมือขึ้นไหว้ผู้เป็นเจ้าบ้านไปอย่างมารยาทควรจะมีได้เหมือนเคย
“ไหว้พระเถอะ ว่าแต่คุณวิชัยมานี่มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ พักหลัง ๆ นี่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนี่ เอ แต่ได้ข่าวว่าธุรกิจไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นี่คะ”
คุณนายของบ้านเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ แต่แววตากลับแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ว่าตัวเธอพอจะรู้จุดประสงค์ในการมาเยือนของสามคนพ่อแม่ลูกนี่ดี
“เอ่อ ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ เลยว่าจะมาขอพึงบารมีคุณทั้งสองสักหน่อย”
“จะให้ช่วยอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่หนักหนาอะไรเราก็ยินดีช่วย อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนอื่นไกล”
น้ำเสียงของเจ้าบ้านวัยกลางคนแม้จะไม่ได้อ่อนโยนนักแต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้างจนเกินไป เพราะอย่างน้อยครั้งหนึ่งครอบครัวของคนตรงหน้าก็ยังได้ชื่อว่าเคยได้เป็นหุ้นส่วนร่วมงานกันมาก่อน แม้ว่าปัจจุบันมันจะเป็นเพียงแค่อดีตแล้วก็ตาม
"คือเราอยากจะมาขอยืมเงินคุณอนันต์สักก้อนหนึ่งไปต่อทุนครับ"
"นี่อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่ว่าคุณกำลังจะถูกฟ้องล้มละลายเป็นเรื่องจริง" เจ้าบ้านเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย
"เอ่อ…คือ ธุรกิจส่งออกช่วงนี้ขาดทุนยับเลยครับ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง คือ…"
"งั้นคงเรื่องจริงสินะ ถึงได้แบกหน้ามา"
คราวนี้เป็นเสียงของภรรยาเจ้าบ้านเอ่ยขึ้น ที่จริงเธอกับสามีไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการให้ยืมเงิน แต่ประโยคหลังที่ดังออกมาจากปากคนเป็นพ่อนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิด
"คุณไม่ต้องกลัวว่าเราจะโกงนะครับ นี่เลย ยัยชมลูกสาวผมเอง ผมยกให้ทางคุณเอาไว้เป็นหลักประกันเลยว่าจะไม่เบี้ยวเงินแน่นอน ยัยชมเป็นเด็กเรียบร้อย แถมเรียนอยู่ที่เดียวกับลูกชายของพวกคุณ รับรองว่าเด็กคนนี้จะดูแลลูกชายคุณเป็นอย่างดีแน่นอนครับ"
แม้จะเป็นคำพูดฟังดูสวยหรูแต่สุดท้ายความหมายสำหรับคนฟังมันก็คือ การเอาลูกมา 'ขายตัว' อยู่ดี พอได้ยินกับหูในฐานะพ่อคนเหมือนกันเขาเองก็อดจะรู้สึกโมโหไม่ได้
“อะไร นี่มันยังไม่หมดยุคขายลูกกินหรือเด็กขัดดอกอีกเหรอคุณวิชัย มันไม่ล้าสมัยเกินไปหน่อยรึไง”
น้ำเสียงค่อนไปทางไม่พอใจของเจ้าบ้านวัยกลางคน ดังกระแทกหน้าสามพ่อแม่ลูกที่เรียงแถวกันตรงฝั่งข้ามอย่างจัง โดยเฉพาะตัวหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกชายของเขา ที่กำลังจะถูกพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองเปลี่ยนสถานะให้ว่าเป็น ‘สินค้าเดินได้’ แลกกับเงินเพื่อไปต่อธุรกิจที่มันกำลังจะล้มละลาย
ใบหน้าสวยราวกับพระเจ้าปั้นแต่ง ดวงตากลมยามจ้องมองเข้าไป แม้ไม่สนิทชิดเชื้อก็รู้ได้ว่ามันฉายแววโศกเศร้าออกมาเพียงใด
ในความรู้สึกของตัวเขาและภรรยาที่นังอยู่ข้างกายตอนนี้มันคงเลี่ยงคำว่าเวทนาไม่พ้น ไม่ต่างอะไรกับตัวของอคินน์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“แต่พวกเรามีความจำเป็นจริง ๆ นะครับ ช่วยพวกเราทีเถอะ ยัยชมเองก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรขนาดนั้น ใช่มั้ยอคินน์”
ริมฝีปากของอคินน์ยกขึ้นบ่งบอกถึงความดูแคลนที่มีให้ จริงอยู่ที่ครอบครัวของเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากครอบครัวหนึ่ง หยิบจับตัวไหนไม่มีคำว่าขาดทุนกลับมา ไหนจะเรื่องพื้นฐานครอบครัวที่เป็นเชื้อสายผู้ดีเก่าอีก เรื่องเงินทองมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยกับการช่วยใครสักคน อันที่จริงไม่ต้องมีตัวขัดดอกหรือสินค้าอะไรแบบนี้เลยก็ได้ แต่เหตุผลของการลังเลที่จะช่วยในครั้งนี้ มันมาจากสิ่งที่สองสามีภรรยานี่ทำมากกว่า
คิดได้ยังไงขายลูกกิน ถึงจะบอกว่าแค่ขัดดอกก็เถอะ แต่ถ้าให้พูดกันตรง ๆ ก็คือตอนนี้ทั้งคู่ไม่มีปัญญาหาเงินที่ว่ามาไถ่ลูกสาวแน่ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกลายเป็นสินค้าถาวร
อีกอย่าง เขาเองก็เคยเห็นยัยชมพูแพรนี่ผ่านป้ายโฆษณาของคณะเรียนบ่อยๆ แค่เห็นเสี้ยวหน้าก็จำได้ เธอเคยเป็นดาวของคณะตอนปีหนึ่ง แถมยังวางตัวสูงส่ง เรื่องความเต็มใจจะมาเป็นของขัดดอก อคินน์คิดว่าเธอคงไม่ได้เต็มใจ ท่าทางวันนี้ก็ค่อนไปทางน่าสงสาร แม้ภายนอกอคินน์จะดูเป็นคนไม่สนโลกแค่ไหน แต่ก็คงไม่อาจเมินเฉยกับสิ่งที่พ่อแม่คู่นี้ทำได้
“เอาตรง ๆ นะ ผมไม่เคยขาดแคลนเรื่องผู้หญิง อีกอย่างผมไม่นิยมซื้อสินค้าที่ไม่เต็มใจด้วยสิ”
“ใครบอกกันว่ายัยชมไม่เต็มใจกันจ๊ะ เต็มใจมากต่างหาก ใช่มั้ยยัยชม” แรงบีบจากมือของคนเป็นแม่ที่ส่งตรงมายังต้นแขนนั่น เป็นการบอกกลาย ๆ ว่าคำตอบมันถูกล็อกเอาไว้แล้วเรียบร้อย
“เอ่อ ค่ะ” คนกำลังจะถูกขายตอบออกมาสั้น ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยซ้ำ นั่นยิ่งเรียกให้อคินน์รู้สึกเวทนามาแกมสมเพชมากขึ้นไปอีก
"พอเถอะ เลิกมีความคิดที่จะขายลูกกินเถอะ มันน่าสมเพช"
ถูกเด็กรุ่นลูกถอนหงอกมาขนาดนี้ทำเอาสองสามีภรรยาถึงกับเงียบปากทันทีเพราะโต้แย้งไม่ได้ ครั้นพอเหลือบมองไปยังผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เวลานี้ทั้งคู่ก็ต่างแสดงท่าทีเมินเฉยกลับมา ราวจะบอกว่าลูกว่ายังไงพวกตนว่าตาม สุดท้ายที่ทั้งคู่ทำได้คือเพียงแค่พาตัวของลูกสาวกลับไปด้วยความอับอายเท่านั้น
"เดี๋ยว เธอน่ะ"
เสียงเรียกที่ไม่ได้ดังมากกลับเรียกให้คนที่เดินตามท้ายขบวนชะงักอยู่หน่อย ก่อนจะหันมาหมายจะเอ่ยปากถาม ทว่า ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของอคินน์ก็ถูกปลดออกแล้วยื่นส่งมาให้เธอแทน
"เอานี่ไปขาย น่าจะได้หลักล้านอยู่ ไม่สิ คงหลายล้าน คงช่วยต่อลมหายใจพวกเธอไปได้อีกหน่อย แล้วก็อย่าตามพ่อแม่ไปหาขัดดอกที่ไหนอีกล่ะ มองดูแล้วมันทุเรศ" ชมพูแพรไม่ได้เอ่ยตอบโต้สิ่งใดออกไป ได้แต่ก้มหน้ารับนาฬิกาเรือนนั้นมาโดยไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากคำว่าขอบคุณเบา ๆ
หากแต่ใครมันจะไปคิดว่านาฬิกาเรือนนี้ มันจะพาตัวของชมพูแพรมาเจอเรื่องราววุ่นวายเพิ่มมากขึ้น กับความลับของเธอที่ถูกผู้ชายคนนี้ค้นเจออีกครั้ง
"นั่นมัน...ทำไมเหมือนของกูเลยว่ะ"
เสียงพึมพำดังออกมาพอให้ตัวเองได้ยิน เมื่อเวลานี้เขามองเห็นภาพของหญิงสาวนางหนึ่ง ที่แต่งตัวจัดเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้าตา และทรงผม กำลังนั่งคอยบริการให้ลูกค้าผู้ชายอยู่ในสถานที่อโคจร ซึ่งนั่นมันคงไม่เป็นจุดสนใจของเขาเลยสักนิด ถ้าสาวเจ้าไม่มีนาฬิกาที่คล้ายกับของเขาอยู่บนข้อมือเล็กนั่น
***