ตอนที่ 3
กลางวันอีกคน กลางคืนอีกคน
“นาฬิกานั่น...”
“มีอะไรหรือเปล่าคะคินน์” เสียงเอ่ยถามเบา ๆ จากคนที่ดังมาจากด้านหลัง ดึงสติให้อคินน์พาตัวเองออกจากภาพความสงสัยตรงหน้าชั่วขณะ ก่อนจะหันมาสนใจสาวสวยที่อยู่ข้างหลังแทน
“ก็เปล่าหรอก มองอะไรเรื่อย ๆ ”
คนฟังยิ้มหวานออกมาเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะค่อย ๆ ทรุดกายลงนั่งข้างกับคนตัวใหญ่กว่า มันแนบชิดจนเรียกว่าแทบจะสิงกันให้ได้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นอคินน์กลับไม่ได้เอ่ยห้ามหรือรังเกียจ ปล่อยให้สาวเจ้าคนสนิทนัวเนียกับตัวเองต่อไปความคุ้นชิน
ท่ามกลางแสงสลัวของบรรยากาศไนต์คลับยามค่ำคืนแบบนี้ หากเปรียบเทียบกับเวลาของช่วงกลางวันแล้ว คงไม่อยากมีใครเชื่อเท่าไหร่ว่าหนุ่มหล่อดูมีออร่าเปล่งประกายแววตาเจ้าสำราญตรงหน้า จะเป็นคนเดียวกับเด็กเนิร์ดแว่นหนาเตอะแสนเชยเวลาอยู่มหาลัย
ฟังดูอาจเหมือนละครหลังข่าวไปบ้าง แต่นี่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับอคินน์ ตอนอยู่มหาลัยด้วยความที่ว่าเจ้าตัวไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกเพิ่มเข้าไปกับเหตุผลที่ว่าอยากเอาใจคุณหญิงย่าของตัวที่เป็นผู้ดีเก่าหัวค่อนข้างโบราณ อคินน์จึงมีบุคลิกสองอย่างในร่างเดียวกันแบบนี้ ตอนอยู่มหาลัยหรือต่อหน้าคนเป็นย่าก็อีกแบบหนึ่ง เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทหรือออกสังสรรค์หาความบันเทิงใส่ตัวเหมือนตอนนี้ อคินน์ผู้เรียบร้อยก็กลับกลายเป็นหนุ่มฮอตสาว ๆ หลายคนอยากจะครอบครอง
"ว่าไงคะ มองอะไร สาวคนใหม่เหรอ"
น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของเอริเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง พร้อมกับปลายนิ้วที่กรีดจับแก้วเครื่องดื่มสีสวยขึ้นจิบ ทั้งยังทอดสายตามองคนตรงหน้าอย่างมีจริต
"ก็มองอะไรไปเรื่อย ทำไมคะ? หึงเหรอ"
ท้ายประโยคดังขึ้นในทำนองที่ไม่ได้หวังเอาใจ หรืออยากให้สาวเจ้ารู้สึกแบบนั้น มันเหมือนเป็นการถามเพื่อหยอกล้อมากกว่าซึ่งเอริเองก็รู้ดี ริมฝีปากสวยถึงได้ยกยิ้มขึ้นเล็ก ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยคำอะไรออกไปให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิด หรือรำคาญใจจนพาลมาเบื่อเธอเอา
และใช่ แม้ในใจมันจะอยากครอบครอง อยากให้อคินน์มองเธอเพียงแค่คนเดียว แต่นิสัยไม่ชอบให้ใครมาอยู่เหนือชีวิตของเขา มันก็ทำให้เอริที่คบหากับอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนแก้เหงาคนโปรดรู้ดีว่าตัวเองต้องทำตัวอย่างไร
อย่างน้อยก็เพื่อรอเวลาให้ปลาตัวโตนี่กินเหยื่ออย่างสมบูรณ์
บทสนทนาถึงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว แข่งกับเสียงดนตรีที่เปิดคลอในร้าน ทว่า ในหัวของอคินน์นั้นมันยังไม่สามารถสลัดเรื่องสงสัยที่กำลังเกิดขึ้นได้เลย ภาพของนาฬิกาเรือนคุ้นเคยที่มันอยู่บนข้อมือเล็กของสาวสวย ท่าทีกร้านโลกคนหนึ่งซึ่งมันเหมือนกับเรือนที่เขายกให้ชมพูแพรไม่มีผิด
หรือจะบังเอิญ?
คำนั้นผุดขึ้นมาในหัว แต่ก็หายไปด้วยความรวดเร็วกับเหตุผลที่ว่า มันจะเป็นไปได้ไง ในเมื่อนาฬิการุ่นนี้ความพิเศษที่สมราคาของมันคือ มีผลิตมาแค่สิบเรือนในโลกเท่านั้น ถ้าบอกว่าเป็นของเด็กคนนี้เองก็ยากจะเชื่อ หรือถ้าบอกว่าเป็นของเสี่ยกระเป๋าหนักที่เจ้าตัวกำลังให้บริการอยู่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หากดูจากรสนิยมของเจ้าตัว
หรือยัยนั่นเอามาขาย? ไม่น่าจะปล่อยได้ไวขนาดนี้นะ
หรือจริงๆ แล้ว...
เสียงพึมพำของอคินน์ขาดหายลงไปในลำคอกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นในหัว กรามคมขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน ทั้งดวงตายังฉายแววไม่พอใจขึ้นมาไม่น้อย ยามทอดมองไปยังร่างของสาวเจ้าในชุดนุ่งน้อยนิดจนแทบปิดอะไรไม่มิดคนนั้น
เพื่อรอเวลาที่จะได้ไขความสงสัยในใจของตัวเองให้คลายลง จนกระทั่งถึงจังหวะหนึ่งที่เห็นเป็นภาพของหญิงสาวที่ปลีกตัวออกไปอีกทางหนึ่งคนเดียวเงียบ ๆ
"บ้าชะมัด รุ่มร่ามกว่าคนอื่นแต่ดันให้ทิปมาแค่พันเดียว มือยังกับหนวดปลามึก งก!"
เสียงบ่นในระดับที่พอตัวเองได้ยินดังขึ้นจากคนงามที่เดินทอดน่องมาตามทางเดินค่อนไปทางสลัวของไนท์คลับแห่งนี้ ใบหน้าสวยที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางหนาจนคาดเดาเคล้าโครงเดิมไม่ได้ ออกอาการหงุดหงิดขัดใจขึ้นมาไม่น้อย เมื่อทิปที่ควรจะได้มากกว่านี้หากเทียบกับงานที่เปลืองตัวไม่น้อยเมื่อครู่ กลับแลกมาเพียงธนบัตรใบเดียวเสียอย่างนั้น
แต่ถึงปากจะบ่นแค่ไหน สุดท้ายสิ่งที่สาวเจ้าทำได้คือเพียงแค่ระบายลมหายใจหงุดหงิดออกมา แล้วปั้นหน้าเตรียมรับลูกค้าคนใหม่ต่อไปเท่านั้น ทว่า...
“อ๊ะ! ทำอะไรคะคุณ”
เสียงค่อนข้างไปทางตกใจดังขึ้นมาแทบจะทันที เมื่อจู่ ๆ ในตอนที่เจ้าตัวกำลังเดินทอดน่องปล่อยอารมณ์ไปกับความคิดมากมายในหัว ต้นแขนสวยกลับถูกมือของใครคนหนึ่งกระชากเอาไว้ด้วยจังหวะค่อนข้างแรง
แรงสะบัดจากการกระชากทำให้ผมสีน้ำตาลดัดลอนเฉี่ยวสะบัดตามไป ครั้นพอสายตามองกลับยังตัวต้นเหตุถึงได้เห็นว่าแรงดึงนั่น มาจากชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน แต่ไม่รู้ทำไมเธอกลับรู้สึกว่าตัวเองคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้เหลือเกิน โดยเฉพาะแววตาสีน้ำตาลเข้มยามจ้องมองมายังตัวเธอเวลานี้
“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“นาฬิกานี่เธอได้มายังไง” คิ้วสวยของเจ้าของข้อมือขมวดเข้าหากันอยู่หน่อยกับคำถาม ตาจ้องมองไปยังมือคู่ใหญ่ที่เลื่อนจับชูข้อมือให้ยกขึ้น จนตัวนาฬิกามันเลื่อนไหลมาตามช่องว่างที่เหลืออยู่พอสมควร
“ว่าไง เงียบทำไม ตกลงเธอได้นาฬิกาเรือนนี้มายังไง ขโมยมาเหรอ ใช่ไหม” เสียงเข้มของอคินน์ยังคงดังออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสาวตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมตอบข้อสงสัยของเขา
“เปล่านะคะ! คือ...”
“จะบอกว่าซื้อเองเหรอ ราคาเท่าไหร่รู้ไหมก่อนจะแถน่ะ อีกอย่างนาฬิกานี่มันมีตัวอักษรพิเศษอยู่ตรงนี้ ซึ่งฉันเป็นคนสั่งทำเอง แล้วเธอคิดว่าฉันจะจำนาฬิกาตัวเองไม่ได้?”
คำนั้นทำเอาคนฟังทั้งตกใจและงุนงงไม่น้อย นาฬิกาของเขา? คำนี้มันลอยวนไปมาในรอยหยักความคิดของหญิงสาวไปมา พยายามนึกยังไงก็หาคำตอบไม่ได้ เพราะเจ้าของนาฬิกาที่ว่าก็คืออคินน์ หนุ่มแว่นแสนเชยที่เธอเพิ่งไปเจอมาเท่านั้น แต่คนตรงหน้าตอนนี้ที่จัดเต็มทั้งตัวแบบนั้น มันคนละคนกันชัด ๆ
แต่เดี๋ยวนะ ทำไมดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นี้มันถึงได้...
“อคินน์? นายคืออคินน์งั้นเหรอ” ด้วยความตกใจสาวเจ้าไม่ทันคิดก็โพล่งออกไปแบบนั้น
คราวนี้เป็นตัวของเจ้าของชื่อที่เป็นฝ่ายงุนงงเสียเอง อย่างไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายรู้จักชื่อของเขาแบบนี้ได้ยังไง ทั้งยังเรียกเสียเต็มยศไม่ใช่แค่ชื่อเล่นเหมือนคนอื่นอีก
นัยน์ตาคมเข้มกวาดมองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างต้องการจะพิจารณาดี ๆ ก็ยอมรับว่าออกจะคุ้นตาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“เธอรู้จักชื่อฉัน เรารู้จักกัน?”
'อ้าว หมอนี่จำเราไม่ได้นี่'
ฟังแบบนั้นสมองของคนที่กำลังถูกเค้นก็เริ่มคิดหาทางเอาตัวรอด เมื่อเห็นว่าอีกคนจดจำตัวตนของเธอไม่ได้เหมือนที่กลัวแต่แรก ทว่า เหมือนจะช้าเกินไป เพราะยังไม่ทันจะหาทางเอาตัวรอดได้ น้ำเสียงดุๆ ของคนตัวโตก็ดังขึ้นมากดดันก่อนแล้ว
“ว่าไง รู้จักฉันได้ไง นาฬิกานี่อีก เราสองคนเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม”
“...”
“ว่าไง!”
“เอ่อ มะ ไม่เคยค่ะ ฉันแค่ได้ยินเพื่อนในร้านบอกมา ส่วนนาฬิกานี่...เอ่อ มีคนให้มาค่ะ” ดวงตาของอคินน์รี่ลงอย่างต้องการจะจับผิดบ่งบอกถึงความไม่เชื่อกับคำพูดนั้นแม้สักนิด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานอกจากส่งสายตากดดันไปให้ มือไม่ได้คลายแรงบีบลงแม้แต่น้อย จนคนสวยเริ่มเบะปากขึ้นมากับความเจ็บแปลบที่สัมผัสรุนแรงนี่
“คุณ ฉันเจ็บนะคะ”
อคินน์ไม่ได้สนใจคำประท้วงนั่น ที่เขาทำคือเริ่มประเมินท่าที ใบหน้า และความน่าจะเป็นเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้ละสายจากใบหน้าสวยไปไหน สร้างความกดดันให้คนถูกจ้องไม่เบา ก่อนที่สุดท้ายใจมันจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มในที่สุด เมื่อประโยคต่อมามันดังออกจากริมฝีปากของคนเป็นต่อกว่า
“ชมพูแพร เธอคือชมพูแพรงั้นสินะ?”
คนฟังแทบเข่าอ่อนลงมาตรงนั้นใบหน้าสวยที่อุตส่าห์แต่งแต้มจนไม่เหลือเคล้าเดิม ทั้งยังเปลี่ยนการแต่งตัวจากสาวลูกคุณหนูผู้แสนเรียบร้อยมาเปรี้ยวเข็ดฟัน เปิดบนเปิดล่างแทบปิดไม่มิดแบบนี้ แต่ใครจะคิดว่าหลายเดือนที่ผ่านมามันจะมาตกม้าตายแค่นาฬิกาเรือนเดียวนี่!
ไม่น่าเลยจริง ๆ ถ้าเมื่อหัวค่ำตอนแยกกัน เธอไม่รีบจนเลือกจะเอานาฬิการาคาแพงนี่มาใส่ไว้ เพียงเพื่อแค่กลัวพ่อกับแม่เห็นและป้องกันการหล่นหาย หรือถูกเพื่อนร่วมงานหยิบฉวยไประหว่างที่เธอออกมาให้บริการแขก
ความลับที่ปกปิดมานานมันคงไม่โป๊ะแตกละเอียดแบบนี้หรอก!
***