เพียงไม่นานที่คนป่วยหลับตาลง มือของชายหนุ่มอีกคนกระชากแขนปรินทรออกและซัดหมัดเปรี้ยงเสยปลายคางอย่างแรง
“ไอ้สารเลว!”
ปรินทรใช้ลิ้นดุนข้างแก้ม รสเค็มปร่ามาพร้อมกับเลือดที่ไหลซิบออกมาจากมุมปากเล็กน้อย ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นเช็ดเลือดออกจากมุมปาก พร้อมกับบอกออกมาอย่างท้าทาย
“ชกอีกสิ! ถ้านั่นมันคือการแก้ปัญหาของคุณ เมื่อคุณเห็นผมเจ็บแล้วเรื่องจะจบ คุณรษาจะหายปวดร้าว และชื่อเสียงของเธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“อย่าท้านะ” ธามง้างหมัดจะชกอีกครั้ง
“ผมไม่ได้ท้า แต่ถ้าจะให้ดี คุณควรมีสติในการแก้ปัญหามากกว่านี้ คุณควรนึกถึงจิตใจคุณรษามากกว่านี้ ต่อไปนี้ผมจะดูแลเธอเอง ผมจะแต่งงานทันทีหลังจากเธอออกจากโรงพยาบาล”
“ไม่ได้” พ่อเลี้ยงหนุ่มตอบกลับเสียงแข็ง
“อันนั้นก็แล้วแต่คุณ แต่ผมจะแต่ง และผมจะเป็นคนตกลงกับคุณรษาเอง” ปรินทรตอบกลับเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน
“ก็ได้ ถ้ายัยรษายอมแต่งกับนาย แต่นายก็อย่าฝันไปเลยว่าน้องสาวฉันจะยอมรับคนที่ย่ำยีให้เธอเจ็บปวดได้ เพราะฉันรู้จักน้องสาวฉันดี นายกลับไปได้แล้ว” พ่อเลี้ยงตอบกลับอย่างท้าทาย ไม่วายไล่แขกที่ไม่ชอบหน้าออกไป
“วันนี้ผมบอกกับเธอว่าจะนอนเฝ้าและรอเธอตื่นมาเจอผมเป็นคนแรก ผมจะค้างที่นี่” ปรินทรบอกพร้อมกับเดินไปจับจองเก้าอี้หน้าเตียงหญิงสาว ไม่ลืมหยิบหนังสือที่เขาซื้อติดมือมาหลายเล่ม มากางอ่านอย่างไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบกาย
พ่อเลี้ยงหนุ่มยืนหันรีหันขวางมองโซฟาตัวเล็ก ตอนนี้มันกลายเป็นออฟฟิศส่วนตัวของชายหนุ่มอีกคนไปแล้วอย่างหงุดหงิด มีทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและแฟ้มเอกสารพร้อมทำงาน เหมือนเจ้าตัวเตรียมมาทำงานปักหลักเฝ้าไข้
ปรินทรเลิกคิ้วมองอีกคน ก่อนที่จะบอกออกมา
“คุณไปนอนที่โรงแรมก็ได้นะ ผมจะสั่งเลขาฯ เปิดห้องให้ ส่วนเรื่องคุณรษาคุณคงจะห้ามให้ผมมาดูแลเธอไม่ได้ แล้วผมก็สัญญาว่า ต่อจากนี้ผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดี”
พ่อเลี้ยงหนุ่มกัดฟันกรอด ยอมถอยตั้งหลัก เดินออกจากห้องพักคนป่วยไปอย่างหัวเสีย เพราะพื้นที่ว่างในห้องถูกชายหนุ่มอีกคนยึดเป็นห้องทำงานเฉพาะกิจไปแล้ว
แม้จะรู้ว่าการการรับผิดชอบด้วยการแต่งงานของปรินทรคือทางออกสูญเสียน้อยที่สุด แต่เขาก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี
ม่านโปร่งถูกเปิดรับแสงพร้อมไอลมเย็นพัดพลิ้วผ่านผิวเหลืองซีดของคนป่วย รษาปรือตารับแสงของวัน สองคืนผ่านไปแต่ทว่าความพร่าสลัวเพราะรางเลือนฤทธิ์ยาที่ยังคงมีอยู่
หญิงสาวพยายามปรับสายตาให้คุ้นชิน กวาดสายตามองไปรอบห้องสี่เหลี่ยม แปลกใจอยู่ครามครันเมื่อเห็นเจ้าของร่างหนาคนเมื่อคืนยังนั่งกุมมือเธออยู่เหมือนที่เขาบอก และทุกครั้งที่ได้สติก็จะเจอเขาทุกครั้ง
รอยยิ้มละมุนที่เธอมองเห็นอย่างรางเลือนยังอยู่บนดวงหน้าเหมือนเดิม เขาเป็นใครกันแน่นะ
“ตื่นแล้วเหรอ ทำไมถึงคิดตื้นๆ ล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังตาพร่าอยู่ไหม ยังง่วง รู้สึกอยากนอนอยู่อีกหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามเป็นเชิงตำหนิ
แต่เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ได้คำตอบจากเธอ เขาจึงเล่าต่อ “คุณหมอบอกว่าคุณจะตาพร่ามัวสักสองสามวัน ถ้าคุณได้ยินที่ผมพูดคุณช่วยตอบหรือบีบมือผมได้ไหม” ชายหนุ่มถามพร้อมกับยกมือบางขึ้นมากุมเอาไว้
หญิงสาวกระดิกนิ้วเบาๆ เหมือนรับรู้และอยากคัดค้านในสิ่งที่เขาพูด เธอไม่ได้คิดสั้น
ชายหนุ่มยกมืออีกข้างเกลี่ยลูบผมเธออย่างอ่อนโยน เหมือนที่เขานั่งทำมาตลอดสองวันเต็มที่อยู่กับเธอที่นี่ เขาเพียงงีบหลับไปบ้างเท่านั้น และรู้สึกตัวทุกครั้งที่หญิงสาวตื่น
คนป่วยบนเตียงขยับหนีทันที ทว่าชายหนุ่มกลับรั้งตัวเธอไว้ กดจมูกจุมพิตบนหลังมือซีด พร้อมกับถามเธอต่อ
“อยากเข้าห้องน้ำหรือเปล่า”
หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ ชายหนุ่มเห็นเธอตอบโต้บ้างก็เล่าเรื่องของเธอให้ฟัง
“คุณหลับไปสองวันเลยรู้ไหม พี่ชายคุณมาเยี่ยมทุกวัน นี่ก็เพิ่งกลับไปไม่นาน รวมถึงญาดาและคุณนนท์ด้วย แต่คุณไม่ยอมตื่นมาเจอพวกเขาเลยสักครั้ง นอนขี้เซาอยู่บนเตียงอย่างนี้” ชายหนุ่มเย้า
“คุณเบื่อไหม ให้ผมเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้คุณฟังรวมถึงเรื่องของผมด้วยดีไหม ถ้าคุณอยากฟังคุณก็บีบมือผม หรือถ้าไม่อยากฟังคุณก็ส่ายหน้านะ ผมรู้ว่าคุณยังเจ็บคอจากสายที่โดนสอดลงไป”
รษาบีบมือชายหนุ่มเบาๆ เหมือนตอบรับเขา
“คุณหมอบอกว่าจะมาเจาะเลือดไปตรวจอีกทีเย็นนี้ ถ้าผลการตรวจเลือดของคุณดีขึ้น ก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลในอีกไม่กี่วัน”
รษายิ้มออกมาผ่านดวงตา ชายหนุ่มเย้าเธออีกครั้ง
“ผมชักอยากให้คุณไม่ค่อยพูดอย่างนี้แล้วสิ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกดจมูกลงบนหลังมือของหญิงสาว
คราวนี้คนป่วยบีบมือแรงเหมือนต่อต้าน พยายามขยับปากเหมือนจะเถียงแต่สภาพของเธอกลับไม่อำนวย
“ดูสิ ขนาดไม่มีแรงยังออกฤทธิ์ได้ขนาดนี้เลย ถ้าหายเจ็บคอผมคงฟังไม่ทัน หูดับรับชะตากรรมเดิมแน่นอน คุณว่าไหม” ปรินทรหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับดึงจมูกรั้นของหญิงสาวแล้วเล่าต่อ คนบนเตียงได้แต่ดิ้นฮึดฮัดอย่างขัดใจที่ตอบกลับเขาไม่ได้
“คุณอยากรู้จักผมหรือเปล่า” เขาถามต่อ หญิงสาวหันหน้าหนีไปอีกทางเป็นการตอบคำถามว่าไม่อยากรู้จัก
“แต่ผมอยากเล่า คุณก็ทนฟังหน่อยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอกหน้าตาย
“ผมเป็นผู้บริหารของเครือปางวิมานกรุป นั่นรวมถึงผับที่คุณเข้าไปเที่ยววันนั้นด้วย ผมเจอคุณและภาพนั้นติดตรึงใจผมตั้งแต่แรกเห็น...ผม...” เมื่อคนบนเตียงหันกลับมามองและตั้งใจฟัง พูดได้เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็หยุดดื้อๆ
คนป่วยพยายามขยับปากประท้วงอยากฟังต่อ ทว่าคนเล่ากลับเพียงแค่ยิ้มบาง
“ไม่เล่าละ คุณนอนต่อดีกว่า หมอบอกว่ายายังไม่หมดฤทธิ์ คุณต้องนอนกินน้ำเกลือแทนข้าวแทนน้ำอีกเยอะๆ”
ปรินทรยิ้มขำแกล้งคนอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่าเธอสนใจก็ไม่อยากเล่าต่อ คนป่วยดิ้นขลุกขลักไม่ยอมจนคนตัวโตต้องใช้แขนโอบรัดตัวเธอเอาไว้
“ดิ้นเยอะๆ เลย ผมจะได้กอดคุณไว้อย่างนี้”
เพียงแค่นั้นคนป่วยก็หยุดดิ้น ชายหนุ่มยกมือลูบผมกล่อมให้เธอหลับเหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้ง
“ถ้าคุณตื่นขึ้นมาอีกครั้งและหายเจ็บคอแล้ว คุณอยากรู้อยากถามอะไรผมจะเล่าให้คุณฟังหมดทุกอย่าง ผมสัญญา แต่ตอนนี้คุณหลับก่อนนะครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยน
คนป่วยบนเตียงทำหน้างอที่ถูกขัดใจ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่เดือดร้อน หญิงสาวจึงปิดตาลเพราะทนฝืนปรือตาต่อไปไม่ไหว อีกทั้งฤทธิ์ยาที่อยู่ในร่างกายยังไม่หมด