พ่อเลี้ยงหนุ่มซัดหมัดเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าคมเข้มของปรินทรอีกครั้งอย่างสุดทน ความรู้สึกเจ็บที่แผลหลังมือไม่ได้เสี้ยวของความเจ็บปวดในใจของเขาในตอนนี้
“ไอ้สารเลว!”
“ตอนนี้คุณจะด่าจะว่าผมอย่างไรก็ได้ หรือคุณจะชกผมอีกสักกี่ครั้ง ผมก็ยังยืนยันว่าผมไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายลงไปอย่างที่คุณเข้าใจ แต่ผมยินดีที่จะรับผิดชอบเกียรติของเธอ แล้วคุณล่ะครับ พร้อมที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของน้องสาวคุณหรือเปล่า” ปรินทรพูดทิ้งท้าย จ้องอีกคนนิ่งไม่ยอมลดละ
ญาดาเข้ามาห้ามศึกอีกครั้ง
“คุณกลับไปก่อนเถอะคะ ญาดาข้อร้อง” หญิงสาวบอกปรินทร เขาพยักหน้าเบาๆ หันไปมองพ่อเลี้ยงหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป ในขณะที่พ่อเลี้ยงหนุ่มก็มองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ธาม ญาดาว่าเรากลับไปปรึกษากันที่กันก่อนดีกว่าว่าจะเอายังไง แล้วตอนเย็นค่อยมาใหม่” ญาดาชวนชายหนุ่มที่กำลังเดือดให้เขาได้คลายกังวลลงบ้าง
แต่เห็นหน้าแบบนี้ เธอก็เดาทางไม่ออกเหมือนกัน เพราะเธอไม่เคยเห็นเขาโกรธรุนแรงขนาดนี้สักครั้ง เธอก็กลัวเขาทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด ผลเสียมันจะมากกว่าผลดี
“ขอบใจนะญาดา แต่ผมอยากอยู่ที่นี่กับน้องมากกว่า ผมไม่อยากทิ้งน้อง”
“คุณหมอก็บอกแล้วว่าน้องรษาปลอดภัยแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ในมือหมอ อยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก กลับบ้านไปพักผ่อน หาทางออกดีกว่า แล้วค่อยกลับมาใหม่นะ”
“กลับเถอะธาม ถึงอยู่ก็งดเยี่ยม เข้าไปหาไม่ได้อยู่ดี” คชาธิปสำทับ
“ก็ได้”
ในที่สุดพ่อเลี้ยงธามก็ยอมกลับไปกับทุกคนโดยดี แต่ความเครียดขึงบนใบหน้าก็ยังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย
มินตราซ่อนยิ้มร้ายตามหลังพ่อเลี้ยงหนุ่ม เธอกลับเดินเลี่ยงไปอีกทางแทนที่จะกลับไร่เหมือนคนอื่น
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดส่งไฟล์รูปภาพชุดสุดท้ายให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ไม่ลืมแกะซิมการ์ดออกและหักมันทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดี
ภายในห้องทำงานไร่ปกรัก ชายหนุ่มเจ้าของโต๊ะมีสีหน้าเครียดขึง สังเกตจากรอยย่นระหว่างคิ้วเป็นริ้วชัดเจน มันขมวดมุ่นเหมือนความรู้สึกภายในใจของเจ้าของ
หลายเรื่องที่ผ่านเข้ามารุนแรงจนผาหินแกร่งอย่างเขาเซไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ท้อไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
ตุบ!
เอกสารปึกใหญ่ถูกทิ้งลงบนโต๊ะทำงานเต็มแรง พ่อเลี้ยงหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ปิดเปลือกตาลง ขับไล่ความเหนื่อยอ่อนล้าหัวใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาไม่กี่นาทีแต่มันก็ช่วยเขาได้มาก
“เรื่องน้องรษาแกจะเอายังไงวะธาม”
คณาธิปเปิดหัวข้อสนทนาแรก หลังจากที่นั่งมองเพื่อนหลายชั่วโมงหลังกลับมาจากโรงพยาบาลและหารื้อกันไปแล้วรอบหนึ่งก่อนแยกย้าย
“ฉันจะแจ้งความ”
“แล้วได้อะไร ตอนนี้คลิปภาพของน้องรษาว่อนเน็ตไปทั่ว พรุ่งนี้ฉันรับรองได้เลยว่ามันต้องมีข่าวออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ แกควรคิดหาทางแก้ไขเรื่องข่าวและชื่อเสียงน้องรษาไว้ด้วยนะ อย่าคิดจะเอาผิดอย่างเดียว ในเมื่อทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว”
“แล้วนายคิดว่าฉันจะยอมให้น้องสาวไปแต่งงานกับคนที่ฉันไม่เคยรู้จักอย่างนั้นหรือ ประวัติพ่อเขาเป็นอย่างไรนายก็รู้ดี”
“แต่คุณนนท์กับญาดาก็ยืนยันและรับรองว่าคุณปรินทรเป็นคนดี ไม่เหมือนพ่อเขาสักนิด แล้วฉันก็เชื่อว่าเขาเป็นลูกผู้ชายพอ” พ่อเลี้ยงหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบรับและลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป
“ฉันจะไปโรงพยาบาลนะ อยู่ก็คงทำงานไม่ได้หรอก ฝากนายช่วยดูงานแทนฉันด้วยนะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มตัดบทและเดินออกไปอย่างหงุดหงิด เมื่อทุกคนลงความเห็นว่าการทางออกของปรินทรดีที่สุด
หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลทุกคนก็ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ ก่อนที่จะแยกย้ายและเขาก็เดินเข้ามาหงุดหงิดในห้องทำงาน พยายามทำงานให้อารมณ์เย็นลงแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเพื่อนรักก็ถามให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมาอีก
โรงพยาบาลในตัวเมืองเชียงราย สถานที่ที่ยังคงกลิ่นอายน้ำยาฆ่าเชื้อนานาชนิด รวมเหล่าโรคร้ายนับพัน ถ้าเลือกได้คงจะไม่มีใครอยากก้าวย่างเข้ามาสักคน
ห้องพักผู้ป่วยสีขาวนวลสะอาดตา ม่านโปร่งพลิ้วไหวตามแรงลมหนาวพัดโชยผ่าน เพราะคนเฝ้าไข้ต้องการให้คนป่วยได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่เย็นสบาย มากกว่าความเย็นจากแอร์คอนดิชันเนอร์ที่สะสมไปด้วยเชื้อโรคหลายสายพันธุ์
คนป่วยยังนอนหลับตานิ่ง ผิวที่เคยขาวเนียนอมชมพูกลับไร้เลือดฝาด ร่างกายผอมซูบลงไปมาก ปากซีดไปถนัดตา มือบางของเธอถูกกอบกุมไว้ด้วยมืออุ่นหนาของคนเฝ้าไข้ร่างสูง นานหลายชั่วโมงที่เขายังนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน
หญิงสาวปรือตาขึ้นมองคนนั่งข้างเตียง แม้เลือนรางตาพร่ามัวเพราะในตัวยังเหลือฤทธิ์ยานอนหลับอยู่ในร่างกายในปริมาณพอสมควร
ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ปากที่โดนท่อสายยางต่อลงไปในลำคอก็เจ็บร้าวจนไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้ มืออีกข้างมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ หญิงสาวพยายามขยับตัวออก แต่ทว่าชายหนุ่มกลับกอดรั้งร่างบางของเธอไว้แนบกับเตียง ก้มหน้าลงบอกกับคนป่วยเสียงนุ่ม
“คุณไม่ต้องกลัวผมนะ ผมไม่ทำร้ายคุณ ผมขอโทษที่ในวันวานผมไม่ได้ให้ความกระจ่างกับคุณ จนเรื่องราวเลวร้ายมากมายขนาดนี้ แต่วันนี้เราคงกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ถึงจะบอกทุกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องมองไปถึงอนาคตและจับมือกันเดินหน้าต่อไป ผมจะเป็นคนปกป้องคุณเอง”
หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงน้ำตารินออกมา ปากที่อยากขยับเหมือนอยากจะบอกอะไรออกมาสักอย่าง
ปรินทรยกมือขึ้นจุปากเป็นเชิงห้าม ก่อนที่จะใช้นิ้วเดิมเกลี่ยรอยคราบน้ำตาอย่างอ่อนโยน มืออีกข้างของเขายังคงกุมมือบางขาวซีดของเธอเอาไว้เหมือนเดิม ริมฝีปากหนาก็ยังคงขยับพูดต่อไป
“คุณไม่ต้องพูดอะไรออกมา แค่ฟังผมอย่างเดียว และอย่าร้องไห้อีกเลย ที่ผ่านมาคุณก็เจอเรื่องราวเลวร้ายมามากพอแล้ว ถ้าผมมีโอกาสแก้ไขได้เร็วกว่านี้ คุณคงไม่เป็นแบบนี้ เมื่อคุณออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เราจะแต่งงานกันทันที ต่อไปนี้ผมรับรองว่าคุณจะไม่ต้องเจ็บปวดหรือเสียใจอีก”
ชายหนุ่มยกมือลูบไรผมหญิงสาวอย่างปลอบโยน กล่อมให้เธอหลับ คนบนเตียงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากนิ้วมืออุ่นของเขา
“คุณหลับเถอะ ผมจะนั่งจะรอคุณอยู่ตรงนี้ เมื่อคุณตื่นมาอีกครั้งคุณจะไม่ได้กับเจอความปวดร้าวอีก” ชายหนุ่มบอกเสียงทุ้มนุ่มละมุน พร้อมกับลูบเรือนผมปรกหน้าผากอย่างอ่อนโยน
ความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาทำให้เปลือกตาของคนป่วยปิดลง เพราะร่างกายเธออ่อนแอมากมาหลายวันจนเกินจะต้านทาน ทำให้ร่างกายยิ่งฟื้นตัวได้ยากขึ้นไปอีก