“เขา เขามา เขามา รษาอยากกลับไร่” รษาพูดได้อยู่เพียงแค่นั้น แววตาหวาดกลัวสั่นระริกอย่างน่าสงสาร น้ำตายังรินไหลไม่ขาดสาย
“เขาเป็นใครรษา บอกพี่มา พี่จะไปลากคอมันเข้าตะราง” พ่อเลี้ยงหนุ่มเค้นเสียงถามน้องสาวในอ้อมกอด ทั้งโมโหและสงสารน้องสาวจับใจที่มีอาการเหมือนเดิมกลับมา
“เขา เขามา เขามา” รษาเพ้อพูดคำซ้ำๆ แค่นั้นวนไปวนมาเหมือนไม่ได้สติ
“ได้ พี่จะพารษากลับไร่ รษาใจเย็นๆ นะ ตั้งสติดีๆ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว จะไม่มีใครทำอะไรรษาได้อีก”
พ่อเลี้ยงธามกอดน้องสาวอย่างปลอบประโลม ยิ่งเห็นเป็นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งสงสารน้องสาวจับใจ เริ่มรู้สึกผิด เขาไม่น่าพาน้องออกมาจากไร่เลย ก่อนที่จะหันมาบอกผู้จัดการโรงงานที่ยืนอยู่ข้างๆ คณาธิปก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนของญาดาเหมือนกับเขา
“ก้อง ฝากบอกญาดาด้วยว่าฉันจะพาน้องกลับไร่ก่อน ฝากขอโทษเธอด้วยที่ฉันไม่ได้อยู่ร่วมแสดงความยินดี”
คณาธิปมองรษา “เออได้ ไปเถอะ อีกหน่อยฉันก็จะกลับเหมือนกัน”
“เรากลับกันเถอะ” เขาก้มลงบอกน้องสาวก่อนที่จะโอบร่างสั่นระริกของเธอเดินออกไป
มินตรายืนยิ้มดูผลงานของเธออย่างสะใจ แผนของเธอได้ผลมากมาย ผู้ชายคนนี้แหละจะเป็นคนเดินเกมสนุกๆ ของเธอ
ไร่ปกรักวันต่อมา
“ไอ้ปรินทร! ไอ้สารเลว! ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนใกล้ตัวอย่างแก คอยดูนะ ฉันจะลากคอแกมาชดใช้ให้น้องสาวฉันให้ได้ แล้วแกก็จะต้องชดใช้อย่างสาสม!” พ่อเลี้ยงธามพูดออกมาด้วยแรงโทสะโมโหจัด ทันทีที่เช็กได้ว่าคนที่รษาคุยด้วยเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะมีอาการตื่นกลัวอย่างที่เห็นเป็นใคร
ตอนนี้อาการของรษาก็ยิ่งแย่หนักลงกว่าเดิม อาการเพ้อของน้องสาวตลอดสองวันเต็มทำเอาคนที่เป็นพี่ชายหัวใจแทบแหลกสลาย แล้วก็พลอยนอนไม่หลับไปด้วย เพราะมีกันอยู่สองพี่น้อง แต่วันนี้เขากลับปกป้องน้องสาวไม่ได้เลย ทำไมเรื่องราวร้ายๆ มันต้องมาพร้อมกันด้วยนะ
“ญาดาว่าธามใจเย็นๆ ก่อนนะ ญาดารู้ว่าคุณธามรักและเป็นห่วงน้องรษามาก แต่นั่นมันเป็นแค่คำบอกเล่าของคนงานที่เห็นน้องรษาอยู่กับคุณปรินทรเป็นคนสุดท้าย มันไม่ใช่หลักฐาน เราจะปรักปรำคนโดยที่ไม่มีหลักฐานไม่ได้นะธาม” ญาดาแตะหลังมือพ่อเลี้ยงหนุ่มเตือนสติ ถ้าขืนให้เขาทำอะไรผลีผลามลงไปก็คงไม่มีประโยชน์
“แต่วันนั้นผมก็เห็นรถของโรงแรมมาส่งยัยรษาที่ไร่จริงๆ นะญาดา ด้วยความตกใจที่เห็นสภาพน้องรษาวันนั้น ผมลืมเรื่องนั้นไปเลย” คำบอกเล่าของคนงานที่ไร่กระจ่างดาวกับเหตุการณ์วันที่น้องสาวเขากลับมาที่ไร่วันเกิดเหตุทำให้เขานึกได้ เขาลืมเรื่องนี้สนิทไปเลย
“ใช่ค่ะ เมนี่ก็เห็นด้วยนะคะ วันนั้นเราตามหารษาทุกที่แต่ไม่มีวี่แวว ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเวลาไม่ถึงห้านาทีรษาจะหายไปโดยที่เราไม่เห็น ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของผับพาไป มันก็คงต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนในผับนั่นแน่นอน ไม่อย่างนั้นรษาคงไม่สะเทือนใจและอาการแย่ลงขนาดนี้” มินตรารีบสุมไฟโยนความผิดให้ปรินทรเพิ่มทันที เธอรู้ว่าคนที่มาช่วยรษาวันนั้นเป็นใคร จากคำบอกเล่าของธีรภาค
“แต่เราก็ยังไม่มีหลักฐานอยู่ดี” ญาดาแย้ง ทำให้มินตรายิ่งไม่พอใจญาดามากขึ้น
“แล้วคุณญาดาจะให้คิดว่าอย่างไรล่ะคะ หรือถ้าคนทำเป็นคุณปรินทรจริงๆ เขาคงทิ้งหลักฐานที่ว่าไว้ให้คุณเอาผิดหรอกนะ ใช่สิ! ตอนนี้ คนที่เราสงสัยเป็นถึงญาติของสามีคุณ คุณคงไม่มาเป็นห่วงเป็นใยคนในไร่นี้เหมือนเมื่อก่อน ถึงคนที่นี่จะเจ็บปวดอย่างไรก็ไม่สนใจ” มินตรากระทบกระเทียบญาดา
“คุณมินตราพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ฉันเองก็เป็นห่วงน้องรษาไม่แพ้ใคร แล้วไม่ว่าคนผิดคนนั้นจะเป็นใคร ถ้าเขาทำผิด เราก็ต้องว่าไปตามผิด”
“ความหมายอย่างที่พูด หรือว่าถ้าฉันพูดอะไรผิดไปก็ต้องขอโทษด้วย” มินตรายังเหน็บหญิงสาวไม่ลดละ
เสียงที่สองสาวพูดคุยถกเถียงกันมันไม่ได้เข้าหูพ่อเลี้ยงธามแม้แต่น้อย จิตใจเขาตอนนี้ว้าวุ่นเคียดแค้น เขาต้องแก้แค้นคนที่ทำกับน้องสาวเขาอย่างสาสม
ถ้าแจ้งความใช้กฎหมายเอาผิดเขาไม่ได้ เขาต้องเดินเรื่องจัดการด้วยตัวของเขาเอง อย่าคิดว่าใครจะมาห้ามเขาได้อีก คนอย่างพ่อเลี้ยงธามไม่มีวันยอมให้ใครมาลบเหลี่ยมง่ายๆ แน่ เขาคนนั้นต้องเจ็บ และให้มากกว่าที่เขาเจ็บหลายเท่า
มินตราลอบยิ้ม เธอรู้จุดอ่อนของคนป่วยรวมถึงพี่คนป่วยเป็นอย่างดี ข้ออ้างที่จะมาดูแลเป็นเพียงแผนลวง ความต้องการสูงสุดของเธอ คือ เหยียบรษาให้จมดิน ให้ได้รับรู้ความเจ็บปวดเหมือนเธอที่เคยได้รับ เธอหันไปมองคนป่วย
รษายังคงเหม่อเศร้า แผลและอาการฟกช้ำทางร่างกายเริ่มหายสนิท แต่อาการทางจิตใจยังคงย่ำแย่เหมือนเดิม
‘ฉันจะเอาทุกอย่างที่เธอหวงแหนมา ทั้งพี่ชายของเธอ ความสุขสบายของเธอ ฉันรู้ว่าไม่สามารถพรากความสุขทางกายจากคุณหนูอย่างเธอมาไม่ได้ เธอความสุขทางใจ เธอนับวันที่เหลือเอาไว้ได้เลย’
เช้าวันทำงานของออฟฟิศไร่ปกรัก พ่อเลี้ยงธามกับคณาธิปนั่ง อยู่คนละโต๊ะในห้องทำงาน บนโต๊ะของพี่เลี้ยงมีแฟ้มเอกสารกางกระจัดกระจายรอบโต๊ะ อีกมุมมีหลายแฟ้มวางซ้อนอยู่เหมือนร้างราการสะสางมาหลายวัน
หลังจากนั่งมองเงียบๆ อยู่นาน คณาธิปก็หันกลับมาหาพ่อเลี้ยงหนุ่มที่เอาแต่นั่งถอนหายใจอยู่หลายครั้ง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“นั่งถอนหายใจเฮือกๆ แบบนี้ เรื่องญาดา หรือ น้องรษา”
“ฉันก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ เรื่องของญาดา มันจบไปแล้ว”
“นายไม่ได้รักญาดาเหรอ สิบกว่าปีทำไมมันถึงจบกันง่ายดายแบบนี้”
“รักสิ แต่มันเป็นรักแบบผู้ใหญ่ มันมีความสุขมากกว่าถ่าเห็นเธอมีความสุข เหมือนกับรษา เรามีกันอยู่สองคนฉันก็อยากเห็นน้องมีความสุข รษาเป็นแบบนี้ใจฉันจะขาดอยู่รอมร่อ กำลังคิดว่าจะไปแจ้งความ แล้วไปลากคอไอ้ระยำนั่นเข้าคุก” ท้ายประโยคชายหนุ่มบอกด้วยความโกรธแค้น
คณาธิปหันหลังกลับทันทีที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของเพื่อนหนุ่ม
“นายรู้แล้วหรือว่ามันเป็นใคร ถึงรู้ เราก็ไม่มีหลักฐาน จะมาใส่ความใครลอยๆ ไม่ได้นะ แล้วนายคิดว่าการแจ้งความ! มันเป็นทางออกที่ดีแล้วหรือ ถ้าทำไปแล้วน้องรษาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ฉันว่าก็ไม่ นายลองเอากลับไปคิดดูอีกทีนะ แล้วก็ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป” คณาธิปเตือนสติ
“แต่” พ่อเลี้ยงหนุ่มอ้ำอึ้ง เถียงไม่ออก
“ฉันรู้ว่าแกรู้สึกอย่างไร แต่ลองคิดอีกมุม การแจ้งความเป็นการเปิดความลับให้คนอื่นรับรู้ แล้วตำรวจก็ต้องมาสอบปากคำ แล้วแกคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะไม่เป็นการทำร้ายน้องเพิ่มหรือ” คณาธิปบีบไหล่เพื่อนให้กำลังใจ
“อืม ขอบใจมากนะ ฉันขอไปสั่งงานที่ไร่หน่อย แกคัดพนักงานไปก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มบอกตัดบท พร้อมกับลุกขึ้นยืนและยื่นแฟ้มในมือให้เพื่อน
“นายช่วยเอาแฟ้มยอดสั่งซื้อของวันพรุ่งนี้ไปให้อาทัตเทพในไร่ด้วยได้หรือเปล่า ฉันว่าจะเอาไปให้พอดี”
“ได้ เอามาสิ”