หลังจากทริปทะเลจบลงความสัมพันธ์ของผมกับเสียงเพลงก็ยังเหมือนเดิม จะต่างตรงที่ผมมีเธอแค่คนเดียวไม่ได้คุยไปเรื่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“คิดอะไรอยู่คะ” น้ำเสียงใสเอ่ยก่อนจะมองผมด้วยสายตาจ้องจับผิด “พักหลังมานี้พี่ยิ้มบ่อยนะ ท่าทางมีความสุขน่าดู”
“พี่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ พี่นั่นแหละ”
“เรามากกว่ามั้ง”
“อย่าค่ะ พี่อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง สรุปคนนี้จริงจังใช่ไหม?”
“ยังคุย ๆ กันอยู่”
“คุยกันจนผูกพันแต่ความสัมพันธ์รู้กันแค่สองคน”
“...”
“ไม่เห็นมีอะไรให้คิดมากเลยก็แค่ยอมรับความรู้สึก” เพียงฝันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป
ยอมรับความรู้สึกงั้นเหรอ ...
ติ๊ง!
[หนูไปบ้านยายนะคงคุยไม่ได้]
“แชทก็ได้นี่”
[บอกไว้ไงเผื่อพี่โทรมาแล้วไม่ได้รับ] ก็อย่างที่บอกว่าเราคุยกันทุกวันครับ บางทีก็ค้างสายบ่อย [งานเป็นยังไงบ้างคะ]
“อาทิตย์หน้าก็จบแล้ว ว่าแต่เราเถอะเมื่อคืนนอนตอนไหน”
[ตีสองค่ะ]
“จะนอนดึกแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะ”
[งั้นนอนเช้าเอาก็ได้]
“ลองดู”
[ดุเหรอน่ากลัวมากเลย]
มัวแต่สนใจคนในแชทเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพ่อกับแม่ก็จ้องมองอยู่ก่อนแล้วครับ
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แม่ชักอยากรู้จักว่าที่ลูกสะใภ้แล้วสิ”
“เดี๋ยวแม่ก็รู้เองแหละแต่มันคงยังไม่ใช่ตอนนี้”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้... แสดงว่าเลือกแล้วว่าต้องเป็นคนนี้”
“ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใส่ใจอยู่คนเดียวนั่นก็ชัดเจนพอแล้ว แต่ยังเด็กกันอยู่จะทำอะไรอย่าให้มันเกินเลยมากไปก็แล้วกัน” จบประโยคก็เดินเลี่ยงเข้าครัวไปทำให้ตรงนี้เหลือแค่พ่อกับผม
“ยังไม่พร้อมจะรักอีกเหรอ”
“ผมไม่รู้ ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นความรักที่ดีให้เขาได้หรือเปล่า”
“ไม่เห็นยากเลยก็แค่ยอมรับว่ารู้สึกแค่นั้นเอง”
“มันง่ายอย่างที่พ่อพูดก็ดีสิ”
“แล้วจะทำให้มันยากไปทำไม หรือว่ารอใครอยู่?”
“ไม่ได้รอใครนี่ครับ ที่รออยู่ตอนนี้คงเป็นเวลาที่เหมาะสมล่ะมั้ง”
“...”
สองทุ่มก็มาสุมหัวกันที่สนามเหมือนเดิม ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับมันก็สังคมเพื่อนตามประสานั่นแหละ
“ทำไมวันนี้ไอ้มิวไม่มาวะ” จุ้นห่าวเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นไอ้มิวอย่างเช่นทุกครั้ง
“ไปบ้านยายที่ต่างจังหวัด”
“อ๋อ... สงสัยไม่ค่อยมีสัญญาณมั้งกูโทรไปไม่ติดเลย ช่างเถอะ”
ระหว่างนี้เราก็คุยกันไปตามประสาจนกระทั่งมีคำถามหนึ่งเกิดขึ้น
“ปั้นมึงได้ข่าวพี่เอยบ้างไหม”
“ข่าวอะไร?”
“ก็...” แก้มมันเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไปอีก “ช่างมันเถอะ”
“อะไรของมึง” บอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักแต่พอเห็นสีหน้าท่าทางที่มันมองผมแล้วเลยตัดสินใจถามไปอีกครั้ง “ข่าวอะไร”
“เขาถูกแฟนทำร้ายร่างกายน่ะแต่กูคิดว่ามึงคงไม่ได้อยากรู้หรอก”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ช้ำนิดหน่อย ไม่รู้ทะเลาะอะไรกัน”
“แล้วมึงรู้ได้ยังไงแก้ม” ไอ้เคแทรกขึ้นมาบ้าง
“พ่อกูบอกอะ เห็นว่าลุงโอมตามหาให้วุ่นเลยพอเจออีกทีก็ช่วยอะไรไม่ทันแล้ว แต่คงไม่ได้ตั้งใจหรอกเขาดูรักพี่เอยมากนะน่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้มากกว่าเลยพลั้งมือไปหน่อย” น่าจะเป็นวันนั้นครับที่ลุงโอมมาบ้านผมนั่นแหละ “กูรู้มาว่าเขาพยายามติดต่อมึงหลายสายเลยนี่ปั้นแต่มึงไม่ได้รับ ถ้ามึงกดรับเขาอาจจะไม่เจ็บตัวก็ได้”
“กูต้องรู้สึกผิดใช่ไหม?”
“เปล่ากูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นแค่ไม่คิดว่ามึงจะเฉยชาได้ขนาดนี้”
“เข้าใจ แต่เขาไม่ได้อยากอยู่ให้กูดูแลเองนี่แล้วจะถามหาอะไรอีก”
“แล้วถ้าเขากลับมาล่ะมึงจะว่ายังไง”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูอาจจะดีใจก็ได้นะที่ยังถูกนึกถึง แต่ตอนนี้กูมีคนที่ควรดูแลอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร”
“...” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น
จะว่ายอมรับความรู้สึกตัวเองก็ใช่ครับ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ใช้คำว่าแฟนแต่ผมก็ให้เกียรติเขาด้วยการคุยกับเขาแค่คนเดียว ความสัมพันธ์ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“ที่มึงจริงจังอยู่เพราะมึงรู้สึกจริง ๆ หรือเห็นว่าเป็นน้องสาวเพื่อน” คำถามตรง ๆ ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำเสียงจริงจังของไอ้แก้ม “ไอ้มิวไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่รู้หรอกนะ พวกเราโตมาด้วยกันและอนาคตวันข้างหน้ากูก็หวังว่าพวกเราจะแก่ไปด้วยกันโดยไม่แตกแยกเพราะเรื่องพวกนี้”
“ถ้าไม่รู้สึกจะพามาถึงตรงนี้เหรอ”
“ตรงนี้นี่มันตรงไหน? ตรงที่มึงเหงาหรือเปล่า”
“...”
“ถ้าไม่ได้จริงจังแค่สนุก ๆ กูขอเตือนให้มึงหยุดเพราะกูไม่อยากเสียเพื่อน”
“แล้วกูบอกตอนไหนว่ากูไม่จริงจัง”
“มึงไม่ได้บอกแต่การกระทำของมึงมันบอก ถ้าจริงจังอย่างปากพูดแล้วทำไมต้องเป็นความลับกับอีแค่บอกไอ้มิวไปตรง ๆ มันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว”
“ยากตรงที่เป็นกูนี่แหละ” ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ไม่ว่าฐานะอะไรมันก็มีความหมายและความรู้สึกเหมือนกันหมด “มึงก็รู้ว่ากูเหี้ย!”
“แล้วมึงจะเอายังไง? อยู่ไปแบบนี้ให้เป็นความลับอยู่แบบนี้เหรอ”
“ไม่หรอกก็แค่รอเวลา”
“เวลาอะไร?”
“เวลาที่กูจะดีกว่านี้”
“เฮ้อ! กูอยากจะเข้าใจมึงให้มากกว่านี้นะแต่กูก็ยังไม่เข้าใจ”
หลายวันผ่านไป
“เลิกเรียนกี่โมง”
(เที่ยงค่ะวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวันเพราะอาจารย์ไม่อยู่)
“เดี๋ยวพี่ไปรับ”
(พี่ไม่ทำงานเหรอคะ)
“วันนี้วันหยุด”
(จริงด้วยลืมไปเลย)
“รอหน้าโรงเรียนนะไม่ต้องเดินไปข้างหลังแล้ว”
(ค่ะ)
คุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็วางสายครับแล้วไปช่วยพ่อดูร้านแทน
“แกไปเยี่ยมเอิงเอยบ้างหรือยัง”
“ผมต้องไปด้วยเหรอ” ตอบออกไปอย่างไม่ใส่มากนัก ผมรู้ว่าพ่อกำลังทดสอบอยู่ “พ่อไม่เชื่อเหรอว่าผมไม่ได้อะไรกับเขาแล้ว”
“เชื่อ... แต่เมื่อไหร่จะเปิดตัวล่ะ”
“ไม่เปิดแต่ก็ไม่ได้ปิดนี่ครับ”
“แต่ก็ไม่แนะนำให้รู้จักสักที”
“ไว้ผมมั่นใจในตัวเองมากว่านี้ก่อนนะผมจะพามาให้พ่อรู้จัก”
“แล้วจะรอ” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับโดยไม่มองหน้าผมสักนิด
ที่หว่านล้อมอยู่ตอนนี้คงกลัวจะผิดใจกับลุงโอมเพราะผมสินะ ไม่ต้องห่วงครับเรื่องนี้ผมตัดขาดจบไปแล้ว ที่ยังไม่จบและเพิ่งเริ่มคือความสัมพันธ์ของผมกับเสียงเพลงต่างหาก
“เดี๋ยวเอาของไปส่งบ้านลูกค้าให้หน่อยนะ”
“ที่เดิมหรือเปล่า”
“อืม แล้วก็อีกร้านหนึ่งที่เพิ่งเปิดใหม่ใกล้ ๆ โรงเรียนน้อง”
“ครับ” เหลือบดูนาฬิกากะเวลาส่งของเสร็จก็ถึงเวลาที่เสียงเพลงเลิกเรียนพอดีครับ “บ่ายนี้ผมไม่อยู่นะ”
“ไปไหนก็ไปเถอะ”
“โธ่พ่อ! รั้งหน่อยไม่ได้เลยเหรอ”
“ไปส่งของได้แล้วเก็บเงินด้วยนะทั้งหมดหมื่นห้าแกเอาไปเลย”
“ทำไมให้เยอะจัง” ปกติช่วยงานที่ร้านพ่อจะให้ค่าแรงอยู่แล้วครับแต่ก็แค่วันละห้าร้อยไม่เกี่ยวกับค่าเทอม
“ใช้ไปทั้งเดือน บริหารเองซิว่าเงินก้อนนี้พอประทังชีวิตไหม”
“ใช้คำว่าประทังชีวิตเลยเหรอ”
“โตเป็นควายแล้วยังให้สอนอีก”
“ไม่สอนจะเก่งเหรอครับคนเราต้องมีประสบการณ์นะ”
“แต่บางเรื่องก็ไม่ควรสอนแล้วสอนอีก โตแล้วหัดใช้ความคิดเองบ้าง”
“เข้าใจแล้วครับ” ตอนแรกก็ว่าจะกวนประสาทสักหน่อยแต่พอเห็นสีหน้าจริงจังแล้วไม่เล่นดีกว่าเดี๋ยวจะถูกด่าอีก
“อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ววางแผนชีวิตตัวเองให้ดี ชอบอะไรไม่ชอบอะไรค้นหาตัวเองให้เจอ เรื่องโปรยเสน่ห์ของแกก็เหมือนกันโตแล้วจริงจังกับความสัมพันธ์ได้แล้ว คุยคือคุยรักคือรักคบหรือไม่คบจะเอายังไงก็ชัดเจนหน่อยอย่าทำให้ใครเสียเวลา อย่าทิ้งขว้างความรู้สึกใครเหมือนที่เราไม่อยากให้ใครทำกับเรา”
“ครับ” นี่ไม่ใช่คำบ่นแต่คือประโยคเตือนสติต่างหาก
หลังจากนั้นไม่นานก็ไปส่งของตามที่พ่อสั่งและก็แวะรับเสียงเพลงไปด้วยเลย
“เพียงฝันล่ะคะ”
“ไม่สบายไม่ได้ไปโรงเรียน”
“อ๋อ... แล้วนี่พี่จะพาหนูไปไหนคะ” หันมองผมตาแป๋วเชียวเมื่อเส้นทางมันเปลี่ยน “พี่มิวเลิกงานห้าโมงเย็นนะคะ”
“มีเวลาเหลือเฟือครับ”
ผมพาเสียงเพลงมาห้างสรรพสินค้าเพื่อจะซื้อของขวัญวันเกิดให้น้องสาวตัวแสบ และปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละ
“อาทิตย์หน้าวันเกิดเพียงฝันช่วยพี่เลือกของขวัญหน่อยสิ”
“น้ำหอมดีไหมคะ ไม่สิ! เพียงฝันชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“นอกจากของกินพี่ก็ไม่เห็นเขาชอบอะไรอีกเลย” ผมว่ายิ้ม ๆ “เราไปเดินดูก่อนดีกว่า”
“ค่ะ”
เข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่นครับจนหยุดอยู่ที่โซนตุ๊กตา
“แคร์แบร์!” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยพร้อมกับสายตาแพรวพราวราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นโปรด “สีชมพูตัวนั้น”
“นี่เหรอ” ผมว่าพลางหยิบเจ้าตัวนั้นมาไว้ในมือตัวเองแล้วไปจ่ายเงิน
“อ๊ะ! พี่ไม่เลือกก่อนเหรอคะ”
ไม่ได้สนใจเสียงคัดค้านของน้องเลยสักนิด ใครบอกว่าตัวนี้ผมจะซื้อให้เพียงฝันล่ะ ผมซื้อให้คนที่อยากได้ต่างหาก
“พี่ซื้อให้”
“ให้หนูเหรอ?” เอ่ยถามแต่ก็ยอมรับมันไปแต่โดยดี
“สุขสันต์วันเกิดครับ” พลางยื่นมือไปดึงแก้มยุ้ย ๆ นั่น “ไม่ต้องคาดหวังหรอกนะว่าจะโรแมนติกกว่านี้ปกติของพี่แทบไม่เคยอวยพรใครเลยด้วยซ้ำ” บอกออกไปตามความจริงที่ผมรู้เพราะเห็นในโซเชียลครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ
“ขอบคุณค่ะ” คำขอบคุณถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มที่โคตรจะสดใส ถ้ารู้ว่าผมเลือกที่จะให้เธออยู่ในความลับเพราะความไม่ชัดเจนของตัวผมเองรอยยิ้มแบบนี้ผมจะยังได้เห็นมันอยู่ไหมนะ “นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกในรอบสามปีเลยนะคะ ปกติแค่ได้เค้กจากพี่มิวเท่านั้นเอง”
“ต้องดีใจขนาดนี้เชียวเหรอ”
“แน่นอนสิ! สีนี้หนูหามานานมาก”
ของเพียงฝันผมตั้งใจจะซื้อสกินแคร์ให้ รายนั้นน่ะใส่ใจเรื่องผิวยิ่งกว่าชีวิตซะอีก ดูแลตัวเองเก่งพอ ๆ กับใช้เงินนั่นแหละ
เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้วก็เข้าร้านไอศกรีมต่อครับ
“พี่เอารสอะไรคะ หนูอยากกินช็อกโกแลต”
“กาแฟครับ”
ระหว่างที่เลือกเมนูมือถือผมก็มีสายเรียกเข้าเป็นเบอร์พ่อครับ
“ครับ”
(อยู่ไหนคะ) คุณแม่คนสวยนี่เอง
“อยู่ในใจครับ”
(เรานี่! ถ้ากลับไม่เย็นแวะตลาดให้แม่ด้วยนะ)
“ครับ” แล้วสายก็ถูกวางไปพร้อมกับสายตาของใครอีกคนที่กำลังมองผมอยู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากส่งยิ้มให้
นานเกือบชั่วโมงที่เราอยู่ในร้านนี้ ดูนาฬิกาอีกทีเกือบเย็นแล้วครับ
“แวะตลาดก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปส่งทีหลัง” ขี้เกียจย้อนไปย้อนมาเพราะมันคนละทางกันเลย
“ก็ได้ค่ะ”
แค่เพียงไม่นานก็ถึงตลาดแต่ยังไม่ทันได้ซื้ออะไรก็ต้องหยุดชะงักไปซะก่อน
“...”
“ไม่แนะนำหน่อยเหรอ” พ่อว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปทางแม่ที่ฉีกยิ้มกว้างรออยู่ก่อนแล้ว “ไม่เห็นแกบอกอะไรก็เลยมาซื้อเอง”
เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของการทำตัวไม่ถูกก็วันนี้เองแต่ในเมื่อเลือกแล้วช้าหรือเร็วก็ต้องยอมรับอยู่ดี
“นี่พ่อกับแม่พี่”
“สวัสดีค่ะ” นอกจากจะไม่ประหม่าแล้วเธอยังฉีกยิ้มสู้ให้อีกด้วย
“น่ารักแบบนี้นี่เองถึงว่าสิไอ้ลูกชายหล่อเจ้าชู้ของลุงถึงได้หลงนัก”
“พ่อครับแซวที่บ้านก็พอแล้ว”
“แซวอะไรที่พูดเรื่องจริงทั้งนั้น”
“พ่อครับ!”