Episode-๑๖ ยอมรับความรู้สึก

2204 Words
หลังจากทริปทะเลจบลงความสัมพันธ์ของผมกับเสียงเพลงก็ยังเหมือนเดิม จะต่างตรงที่ผมมีเธอแค่คนเดียวไม่ได้คุยไปเรื่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว “คิดอะไรอยู่คะ” น้ำเสียงใสเอ่ยก่อนจะมองผมด้วยสายตาจ้องจับผิด “พักหลังมานี้พี่ยิ้มบ่อยนะ ท่าทางมีความสุขน่าดู” “พี่เหรอ?” “ใช่ค่ะ พี่นั่นแหละ” “เรามากกว่ามั้ง” “อย่าค่ะ พี่อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง สรุปคนนี้จริงจังใช่ไหม?” “ยังคุย ๆ กันอยู่” “คุยกันจนผูกพันแต่ความสัมพันธ์รู้กันแค่สองคน” “...” “ไม่เห็นมีอะไรให้คิดมากเลยก็แค่ยอมรับความรู้สึก” เพียงฝันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป ยอมรับความรู้สึกงั้นเหรอ ... ติ๊ง! [หนูไปบ้านยายนะคงคุยไม่ได้] “แชทก็ได้นี่” [บอกไว้ไงเผื่อพี่โทรมาแล้วไม่ได้รับ] ก็อย่างที่บอกว่าเราคุยกันทุกวันครับ บางทีก็ค้างสายบ่อย [งานเป็นยังไงบ้างคะ] “อาทิตย์หน้าก็จบแล้ว ว่าแต่เราเถอะเมื่อคืนนอนตอนไหน” [ตีสองค่ะ] “จะนอนดึกแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะ” [งั้นนอนเช้าเอาก็ได้] “ลองดู” [ดุเหรอน่ากลัวมากเลย] มัวแต่สนใจคนในแชทเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพ่อกับแม่ก็จ้องมองอยู่ก่อนแล้วครับ “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แม่ชักอยากรู้จักว่าที่ลูกสะใภ้แล้วสิ” “เดี๋ยวแม่ก็รู้เองแหละแต่มันคงยังไม่ใช่ตอนนี้” “ยังไม่ใช่ตอนนี้... แสดงว่าเลือกแล้วว่าต้องเป็นคนนี้” “ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ” “ใส่ใจอยู่คนเดียวนั่นก็ชัดเจนพอแล้ว แต่ยังเด็กกันอยู่จะทำอะไรอย่าให้มันเกินเลยมากไปก็แล้วกัน” จบประโยคก็เดินเลี่ยงเข้าครัวไปทำให้ตรงนี้เหลือแค่พ่อกับผม “ยังไม่พร้อมจะรักอีกเหรอ” “ผมไม่รู้ ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นความรักที่ดีให้เขาได้หรือเปล่า” “ไม่เห็นยากเลยก็แค่ยอมรับว่ารู้สึกแค่นั้นเอง” “มันง่ายอย่างที่พ่อพูดก็ดีสิ” “แล้วจะทำให้มันยากไปทำไม หรือว่ารอใครอยู่?” “ไม่ได้รอใครนี่ครับ ที่รออยู่ตอนนี้คงเป็นเวลาที่เหมาะสมล่ะมั้ง” “...” สองทุ่มก็มาสุมหัวกันที่สนามเหมือนเดิม ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับมันก็สังคมเพื่อนตามประสานั่นแหละ “ทำไมวันนี้ไอ้มิวไม่มาวะ” จุ้นห่าวเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นไอ้มิวอย่างเช่นทุกครั้ง “ไปบ้านยายที่ต่างจังหวัด” “อ๋อ... สงสัยไม่ค่อยมีสัญญาณมั้งกูโทรไปไม่ติดเลย ช่างเถอะ” ระหว่างนี้เราก็คุยกันไปตามประสาจนกระทั่งมีคำถามหนึ่งเกิดขึ้น “ปั้นมึงได้ข่าวพี่เอยบ้างไหม” “ข่าวอะไร?” “ก็...” แก้มมันเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไปอีก “ช่างมันเถอะ” “อะไรของมึง” บอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักแต่พอเห็นสีหน้าท่าทางที่มันมองผมแล้วเลยตัดสินใจถามไปอีกครั้ง “ข่าวอะไร” “เขาถูกแฟนทำร้ายร่างกายน่ะแต่กูคิดว่ามึงคงไม่ได้อยากรู้หรอก” “แล้วเป็นยังไงบ้าง” “ช้ำนิดหน่อย ไม่รู้ทะเลาะอะไรกัน” “แล้วมึงรู้ได้ยังไงแก้ม” ไอ้เคแทรกขึ้นมาบ้าง “พ่อกูบอกอะ เห็นว่าลุงโอมตามหาให้วุ่นเลยพอเจออีกทีก็ช่วยอะไรไม่ทันแล้ว แต่คงไม่ได้ตั้งใจหรอกเขาดูรักพี่เอยมากนะน่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้มากกว่าเลยพลั้งมือไปหน่อย” น่าจะเป็นวันนั้นครับที่ลุงโอมมาบ้านผมนั่นแหละ “กูรู้มาว่าเขาพยายามติดต่อมึงหลายสายเลยนี่ปั้นแต่มึงไม่ได้รับ ถ้ามึงกดรับเขาอาจจะไม่เจ็บตัวก็ได้” “กูต้องรู้สึกผิดใช่ไหม?” “เปล่ากูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นแค่ไม่คิดว่ามึงจะเฉยชาได้ขนาดนี้” “เข้าใจ แต่เขาไม่ได้อยากอยู่ให้กูดูแลเองนี่แล้วจะถามหาอะไรอีก” “แล้วถ้าเขากลับมาล่ะมึงจะว่ายังไง” “ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูอาจจะดีใจก็ได้นะที่ยังถูกนึกถึง แต่ตอนนี้กูมีคนที่ควรดูแลอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร” “...” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น จะว่ายอมรับความรู้สึกตัวเองก็ใช่ครับ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ใช้คำว่าแฟนแต่ผมก็ให้เกียรติเขาด้วยการคุยกับเขาแค่คนเดียว ความสัมพันธ์ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม “ที่มึงจริงจังอยู่เพราะมึงรู้สึกจริง ๆ หรือเห็นว่าเป็นน้องสาวเพื่อน” คำถามตรง ๆ ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำเสียงจริงจังของไอ้แก้ม “ไอ้มิวไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่รู้หรอกนะ พวกเราโตมาด้วยกันและอนาคตวันข้างหน้ากูก็หวังว่าพวกเราจะแก่ไปด้วยกันโดยไม่แตกแยกเพราะเรื่องพวกนี้” “ถ้าไม่รู้สึกจะพามาถึงตรงนี้เหรอ” “ตรงนี้นี่มันตรงไหน? ตรงที่มึงเหงาหรือเปล่า” “...” “ถ้าไม่ได้จริงจังแค่สนุก ๆ กูขอเตือนให้มึงหยุดเพราะกูไม่อยากเสียเพื่อน” “แล้วกูบอกตอนไหนว่ากูไม่จริงจัง” “มึงไม่ได้บอกแต่การกระทำของมึงมันบอก ถ้าจริงจังอย่างปากพูดแล้วทำไมต้องเป็นความลับกับอีแค่บอกไอ้มิวไปตรง ๆ มันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว” “ยากตรงที่เป็นกูนี่แหละ” ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ไม่ว่าฐานะอะไรมันก็มีความหมายและความรู้สึกเหมือนกันหมด “มึงก็รู้ว่ากูเหี้ย!” “แล้วมึงจะเอายังไง? อยู่ไปแบบนี้ให้เป็นความลับอยู่แบบนี้เหรอ” “ไม่หรอกก็แค่รอเวลา” “เวลาอะไร?” “เวลาที่กูจะดีกว่านี้” “เฮ้อ! กูอยากจะเข้าใจมึงให้มากกว่านี้นะแต่กูก็ยังไม่เข้าใจ” หลายวันผ่านไป “เลิกเรียนกี่โมง” (เที่ยงค่ะวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวันเพราะอาจารย์ไม่อยู่) “เดี๋ยวพี่ไปรับ” (พี่ไม่ทำงานเหรอคะ) “วันนี้วันหยุด” (จริงด้วยลืมไปเลย) “รอหน้าโรงเรียนนะไม่ต้องเดินไปข้างหลังแล้ว” (ค่ะ) คุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็วางสายครับแล้วไปช่วยพ่อดูร้านแทน “แกไปเยี่ยมเอิงเอยบ้างหรือยัง” “ผมต้องไปด้วยเหรอ” ตอบออกไปอย่างไม่ใส่มากนัก ผมรู้ว่าพ่อกำลังทดสอบอยู่ “พ่อไม่เชื่อเหรอว่าผมไม่ได้อะไรกับเขาแล้ว” “เชื่อ... แต่เมื่อไหร่จะเปิดตัวล่ะ” “ไม่เปิดแต่ก็ไม่ได้ปิดนี่ครับ” “แต่ก็ไม่แนะนำให้รู้จักสักที” “ไว้ผมมั่นใจในตัวเองมากว่านี้ก่อนนะผมจะพามาให้พ่อรู้จัก” “แล้วจะรอ” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับโดยไม่มองหน้าผมสักนิด ที่หว่านล้อมอยู่ตอนนี้คงกลัวจะผิดใจกับลุงโอมเพราะผมสินะ ไม่ต้องห่วงครับเรื่องนี้ผมตัดขาดจบไปแล้ว ที่ยังไม่จบและเพิ่งเริ่มคือความสัมพันธ์ของผมกับเสียงเพลงต่างหาก “เดี๋ยวเอาของไปส่งบ้านลูกค้าให้หน่อยนะ” “ที่เดิมหรือเปล่า” “อืม แล้วก็อีกร้านหนึ่งที่เพิ่งเปิดใหม่ใกล้ ๆ โรงเรียนน้อง” “ครับ” เหลือบดูนาฬิกากะเวลาส่งของเสร็จก็ถึงเวลาที่เสียงเพลงเลิกเรียนพอดีครับ “บ่ายนี้ผมไม่อยู่นะ” “ไปไหนก็ไปเถอะ” “โธ่พ่อ! รั้งหน่อยไม่ได้เลยเหรอ” “ไปส่งของได้แล้วเก็บเงินด้วยนะทั้งหมดหมื่นห้าแกเอาไปเลย” “ทำไมให้เยอะจัง” ปกติช่วยงานที่ร้านพ่อจะให้ค่าแรงอยู่แล้วครับแต่ก็แค่วันละห้าร้อยไม่เกี่ยวกับค่าเทอม “ใช้ไปทั้งเดือน บริหารเองซิว่าเงินก้อนนี้พอประทังชีวิตไหม” “ใช้คำว่าประทังชีวิตเลยเหรอ” “โตเป็นควายแล้วยังให้สอนอีก” “ไม่สอนจะเก่งเหรอครับคนเราต้องมีประสบการณ์นะ” “แต่บางเรื่องก็ไม่ควรสอนแล้วสอนอีก โตแล้วหัดใช้ความคิดเองบ้าง” “เข้าใจแล้วครับ” ตอนแรกก็ว่าจะกวนประสาทสักหน่อยแต่พอเห็นสีหน้าจริงจังแล้วไม่เล่นดีกว่าเดี๋ยวจะถูกด่าอีก “อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ววางแผนชีวิตตัวเองให้ดี ชอบอะไรไม่ชอบอะไรค้นหาตัวเองให้เจอ เรื่องโปรยเสน่ห์ของแกก็เหมือนกันโตแล้วจริงจังกับความสัมพันธ์ได้แล้ว คุยคือคุยรักคือรักคบหรือไม่คบจะเอายังไงก็ชัดเจนหน่อยอย่าทำให้ใครเสียเวลา อย่าทิ้งขว้างความรู้สึกใครเหมือนที่เราไม่อยากให้ใครทำกับเรา” “ครับ” นี่ไม่ใช่คำบ่นแต่คือประโยคเตือนสติต่างหาก หลังจากนั้นไม่นานก็ไปส่งของตามที่พ่อสั่งและก็แวะรับเสียงเพลงไปด้วยเลย “เพียงฝันล่ะคะ” “ไม่สบายไม่ได้ไปโรงเรียน” “อ๋อ... แล้วนี่พี่จะพาหนูไปไหนคะ” หันมองผมตาแป๋วเชียวเมื่อเส้นทางมันเปลี่ยน “พี่มิวเลิกงานห้าโมงเย็นนะคะ” “มีเวลาเหลือเฟือครับ” ผมพาเสียงเพลงมาห้างสรรพสินค้าเพื่อจะซื้อของขวัญวันเกิดให้น้องสาวตัวแสบ และปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละ “อาทิตย์หน้าวันเกิดเพียงฝันช่วยพี่เลือกของขวัญหน่อยสิ” “น้ำหอมดีไหมคะ ไม่สิ! เพียงฝันชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” “นอกจากของกินพี่ก็ไม่เห็นเขาชอบอะไรอีกเลย” ผมว่ายิ้ม ๆ “เราไปเดินดูก่อนดีกว่า” “ค่ะ” เข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่นครับจนหยุดอยู่ที่โซนตุ๊กตา “แคร์แบร์!” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยพร้อมกับสายตาแพรวพราวราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นโปรด “สีชมพูตัวนั้น” “นี่เหรอ” ผมว่าพลางหยิบเจ้าตัวนั้นมาไว้ในมือตัวเองแล้วไปจ่ายเงิน “อ๊ะ! พี่ไม่เลือกก่อนเหรอคะ” ไม่ได้สนใจเสียงคัดค้านของน้องเลยสักนิด ใครบอกว่าตัวนี้ผมจะซื้อให้เพียงฝันล่ะ ผมซื้อให้คนที่อยากได้ต่างหาก “พี่ซื้อให้” “ให้หนูเหรอ?” เอ่ยถามแต่ก็ยอมรับมันไปแต่โดยดี “สุขสันต์วันเกิดครับ” พลางยื่นมือไปดึงแก้มยุ้ย ๆ นั่น “ไม่ต้องคาดหวังหรอกนะว่าจะโรแมนติกกว่านี้ปกติของพี่แทบไม่เคยอวยพรใครเลยด้วยซ้ำ” บอกออกไปตามความจริงที่ผมรู้เพราะเห็นในโซเชียลครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ “ขอบคุณค่ะ” คำขอบคุณถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มที่โคตรจะสดใส ถ้ารู้ว่าผมเลือกที่จะให้เธออยู่ในความลับเพราะความไม่ชัดเจนของตัวผมเองรอยยิ้มแบบนี้ผมจะยังได้เห็นมันอยู่ไหมนะ “นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกในรอบสามปีเลยนะคะ ปกติแค่ได้เค้กจากพี่มิวเท่านั้นเอง” “ต้องดีใจขนาดนี้เชียวเหรอ” “แน่นอนสิ! สีนี้หนูหามานานมาก” ของเพียงฝันผมตั้งใจจะซื้อสกินแคร์ให้ รายนั้นน่ะใส่ใจเรื่องผิวยิ่งกว่าชีวิตซะอีก ดูแลตัวเองเก่งพอ ๆ กับใช้เงินนั่นแหละ เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้วก็เข้าร้านไอศกรีมต่อครับ “พี่เอารสอะไรคะ หนูอยากกินช็อกโกแลต” “กาแฟครับ” ระหว่างที่เลือกเมนูมือถือผมก็มีสายเรียกเข้าเป็นเบอร์พ่อครับ “ครับ” (อยู่ไหนคะ) คุณแม่คนสวยนี่เอง “อยู่ในใจครับ” (เรานี่! ถ้ากลับไม่เย็นแวะตลาดให้แม่ด้วยนะ) “ครับ” แล้วสายก็ถูกวางไปพร้อมกับสายตาของใครอีกคนที่กำลังมองผมอยู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากส่งยิ้มให้ นานเกือบชั่วโมงที่เราอยู่ในร้านนี้ ดูนาฬิกาอีกทีเกือบเย็นแล้วครับ “แวะตลาดก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปส่งทีหลัง” ขี้เกียจย้อนไปย้อนมาเพราะมันคนละทางกันเลย “ก็ได้ค่ะ” แค่เพียงไม่นานก็ถึงตลาดแต่ยังไม่ทันได้ซื้ออะไรก็ต้องหยุดชะงักไปซะก่อน “...” “ไม่แนะนำหน่อยเหรอ” พ่อว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปทางแม่ที่ฉีกยิ้มกว้างรออยู่ก่อนแล้ว “ไม่เห็นแกบอกอะไรก็เลยมาซื้อเอง” เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของการทำตัวไม่ถูกก็วันนี้เองแต่ในเมื่อเลือกแล้วช้าหรือเร็วก็ต้องยอมรับอยู่ดี “นี่พ่อกับแม่พี่” “สวัสดีค่ะ” นอกจากจะไม่ประหม่าแล้วเธอยังฉีกยิ้มสู้ให้อีกด้วย “น่ารักแบบนี้นี่เองถึงว่าสิไอ้ลูกชายหล่อเจ้าชู้ของลุงถึงได้หลงนัก” “พ่อครับแซวที่บ้านก็พอแล้ว” “แซวอะไรที่พูดเรื่องจริงทั้งนั้น” “พ่อครับ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD