เช้าวันใหม่
ผมว่าตัวเองตื่นเร็วแล้วนะแต่ก็ยังมีคนที่ตื่นก่อนครับ
“แปลกที่หรือไง”
“เปล่าค่ะ ปกติหนูตื่นเช้าอยู่แล้ว”
“จะว่าพี่ตื่นสายก็พูดมาเถอะ”
“คิกคิก พี่พูดเองต่างหาก อ่อ! เมื่อวานพี่คนที่ชื่อเมล่อนเขาโทรมาด้วยค่ะตอนที่พี่วานให้ชาร์จแบต หนูเห็นโทรมาหลายสายก็เลยเสียมารยาทรับแล้วทีนี้... ก็ลืมสนิทเลย” ประโยคหลังเสียงเบาเชียวครับ
“กลัวถูกดุหรือไง”
“อือ พี่มิวบอกว่าพี่โกรธน่ากลัวสุดแล้ว”
“พูดไปเรื่อย” ผมว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองน้องอีกครั้ง “จะใช้ห้องน้ำไหมไม่งั้นพี่จะอาบก่อน”
“พี่ก่อนเลยค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นก็จัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ ส่วนเรื่องเมล่อนผมไม่ได้สนใจหรอกช่างเถอะ อีกไม่กี่สัปดาห์การฝึกงานก็สิ้นสุดลงแล้วคงไม่ได้เจอกันอีก
“ไปเดินเล่นกันพี่รอข้างนอกนะ” บอกออกไปเสียงแผ่วเบามั่นใจว่าเจ้าตัวเขาได้ยิน
ออกมาด้านนอกก็เห็นปันปันเดินเล่นอยู่ก่อนแล้วครับ จะว่าไปบางครั้งเธอเหมือนมีอะไรในใจเหมือนกันนะ แต่ช่างเถอะมันไม่ใช่เรื่องของผม
“ตื่นเช้าจังวะ” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยก่อนจะนั่งลงข้างผม
“กูตื่นเช้าไม่แปลกหรอก แต่มึงน่ะแปลก”
“...”
“มีอะไรจะบอกกูไหม?” ไอ้เคยังคงเงียบแล้วทอดสายตาไปยังปันปันอยู่แบบนั้น “เอาไว้มึงสบายใจจะพูดค่อยบอกกูแล้วกัน”
“กูไม่รู้จะเริ่มยังไง”
“ปันปัน?”
“อืม”
“อยากรักก็รักน้องสาวบุญธรรมไม่ใช่สายเลือด แต่ถ้าแค่อยากได้เฉย ๆ อันนั้นจะดูเหี้ยไปหน่อย” ผมไม่ใช่คนดีอะไรแต่ก็ไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นตอนที่ตัวเองไม่โสดหรอกนะ
“อยากรักก็รักเหมือนมึงกับน้องเพลงใช่ไหม?”
“ไม่เหมือนหรอก กูกับน้องยังไม่ได้เป็นอะไรกันเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการพูดคุย แต่มึงเริ่มด้วยพี่น้องซึ่งความจริงมันก็ควรเป็นเป็นแค่พี่ชายกับน้องสาว”
“มึงว่าถ้าวันหนึ่งความลับมันไม่ได้เป็นแค่ความลับต่อไปมันจะเป็นยังไงวะ”
“ถ้าความลับแตกปากก็อาจจะแตกด้วยล่ะมั้ง”
“นั่นสินะ”
มองหน้ากันยิ้ม ๆ ก่อนจะเลิกสนใจแล้วหันไปมองในบ้านซึ่งเสียงเพลงกำลังเดินมาทางนี้แต่เจ้าตัวกลับหยุดนิ่งเมื่อเห็นไอ้เคนั่งอยู่ด้วย ผมไม่ได้พูดอะไรแค่พยักหน้าให้เดินมาเท่านั้นเอง
“ว่านอนสอนง่ายเชียว เชื่อมึงไปซะทุกอย่าง”
“มึงพูดเหมือนกูกำลังล่อลวงเด็กไปได้”
“ฮ่า ๆ ไม่รู้ ๆ กูไม่รู้ไม่เห็นอะไร” จบประโยคมันก็เดินตรงไปทางปันปันแล้วปล่อยให้เสียงเพลงเดินมาหาผมอย่างสบายใจ
“เขาจะรู้ไหมคะ?”
“รู้”
“...” ริมฝีปากบางเม้มหากันแน่นแถมยังแสดงความกังวลออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“แต่มันไม่พูดหรอกจนกว่าพี่จะพูดเอง”
“ดีจัง แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย” น้ำเสียงใสยังคงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม สิ่งที่ผมคิดมันไม่ใช่แบบนี้ครับ แทนที่จะยอมรับเธอต้องคัดค้านสิอย่างน้อยก็ต้องแสดงความไม่พอใจออกมาบ้างที่ตัวเองถูกเก็บเป็นความลับแต่นี่อะไร
“แปลกคน”
“อะไรคะ?” ยังครับ ยังไม่รู้ตัวอีก
“ช่างเถอะ ไว้พี่จะถามวันหลังตอนนี้ไปเดินเล่นกันดีกว่า” ผมเลือกที่จะไม่พูดต่อแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องไปแทน ไม่ใช่ว่ามองข้ามหรือไม่สนใจนะแต่มันต้องใช้เวลาใช้ความเข้าใจจริง ๆ ครับ มันละเอียดอ่อนมากกว่าคำพูดเพราะมันคือความรู้สึก การที่น้องเป็นแบบนี้ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกแบบไหน
“อ๊ะ! หนูอยากกินอันนั้น” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังตรงไปยังหน้าร้านแล้วเรียบร้อย เป็นรถเข็นขายอาหารทะเลครับแล้วก็มีที่นั่งรองรับไว้หนึ่งโต๊ะ ช่วงเช้าส่วนมากจะเป็นโจ๊กกับกาแฟมากกว่าพวกร้านตามสั่งหรือของกินอื่น ๆ จะมีน้อยเพราะเขาขายบ่ายถึงค่ำกัน
“อย่าสั่งเยอะนะเดี๋ยวเราก็ออกไปซื้อของเหมือนกัน” ต้องรีบห้ามครับเพราะวันนี้ตั้งใจจะออกไปซื้อของมาทำกินกันอยู่แล้ว
“กว่าพวกพี่จะตื่นกว่าพวกพี่จะไปกันมันไม่สายแล้วเหรอคะ แล้วไม่ต้องซื้อไปเผื่อคนอื่นเหรอ”
“ไม่จำเป็นต้องนึกถึงคนอื่นตลอดเวลาหรอกนะ เพราะบางทีคนอื่นก็ไม่ได้นึกถึงเราหรือสนใจชีวิตเรามากขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นพี่กินมื้อเช้าเป็นเพื่อนหนูนะ ถ้าซื้อกลับไปกินคนเดียวมันก็แปลกไปหน่อย”
“ครับ” ผมเป็นคนไม่กินมื้อเช้าครับแต่คงยกเว้นวันนี้
“หนูเอาอันนี้” ปลายนิ้วเรียวจิ้มลงบนแผ่นเมนู มันคือผัดฉ่าทะเลครับ “เผ็ด ๆ เลยนะคะ”
“หืม? กินเผ็ดแต่เช้าเลยเหรอเดี๋ยวก็แสบท้องพอดี”
“ไม่หรอกหนูชอบกินเผ็ด แล้วพี่ล่ะคะชอบกินอะไร”
“ไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษแต่ถ้าอร่อยก็กินได้เรื่อย ๆ”
“กินได้เรื่อย ๆ นั่นแหละแปลว่าชอบเป็นพิเศษ” น้องว่ายิ้ม ๆ แล้วหันไปสนใจเมนูต่อ “ป้าคะหนูเอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้ค่ะ”
แค่เพียงไม่นานอาหารสองสามอย่างก็ถูกวางลงตรงหน้า นอกจากเมนูที่ตัวเองสั่งก็ยังมีข้าวผัดทะเลกับต้มยำทะเลด้วยครับ และเมนูพวกนี้แหละที่ผมกินบ่อย
“จ้องอะไรคะ มันไม่น่าอร่อยเหรอ” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่มองเมนูตรงหน้าอยู่นานสองนาน
“เปล่า... แต่พี่อยากรู้ว่าเรารู้ได้ยังไง?” ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไรเลยก็คือโกหกครับ เหมือนว่าเสียงเพลงจะรู้เรื่องราวของผมระดับหนึ่งเลยแหละ
“หมายถึงเมนูพวกนี้เหรอคะ?”
“อืม”
“หนูเห็นพวกพี่ชอบสั่งมากินกันตอนไปปาร์ตี้ที่บ้านค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบตอบออกมาอย่างไม่คิดอะไรก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาตรงหน้าผม “หรือว่าพี่ไม่ชอบ”
“ชอบ!”
“ชอบอะไรคะ อันนี้หรืออันนี้”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่อมยิ้มให้เท่านั้นเอง
“ยิ้มอะไรล่ะคะพี่นี่...”
“เฮ้อ! เบื่อจังครับคนมีความรัก โลกแม่งก็กลมเกินกูเดินไปทางไหนก็เจอแต่มึง” ไอ้เคมีเอ่ยแซวก่อนจะเดินผ่านไปแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สัส!”
“ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะดังตามหลังแต่ก็ทำเป็นไม่เห็นเหมือนเดิม ดูความกวนประสาทของมันเถอะ
“คนนั้นเขาเป็นใครนะคะตั้งแต่มาเขาไม่ค่อยพูดเลย”
“ปันปัน น้องสาวบุญธรรมของมันแหละ”
“แต่หนูเห็น...” เหมือนน้องจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูดอีก “ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของหนู”
“ดีมาก” ไอ้ที่เธอเห็นก็คงไม่ต่างไปจากที่ผมเห็นหรอก เรื่องนี้ไว้เช็คบัญชีกับมันทีหลัง “มันไม่ดีอย่าไปจำมันเลย”
“แต่เหตุการณ์ที่เห็นหนูเอาไปเขียนนิยายได้เลยนะ”
“เอาที่หนูสบายใจ”
“คิกคิก”
ระหว่างมื้อก็พูดคุยกันไปเรื่อยครับ แล้วมันก็ทำให้รู้ว่าเสียงเพลงตรงหน้าผมร่าเริงยิ่งกว่าอะไรซะอีก น้องเป็นคนมีเสน่ห์มากเวลาที่เธอแสดงความคิดเห็นหรือพูดคุยกับคนที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว จะว่ายังไงดีล่ะใช้คำว่าวางตัวดีก็แล้วกัน
หลังจากมื้อเช้าจบลงเราก็กลับบ้านพักกันครับ ระหว่างทางคนข้าง ๆ ก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ถ่ายตัวเองบ้างถ่ายวิวบ้าง
“ติดพี่ด้วยแหละ” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังหันหน้าจอมาให้ผมดูด้วยครับ บางรูปเห็นเงาบางรูปเห็นแขนหรือเห็นแค่ตัวก็มี แต่ไม่เห็นหน้าหรอกนะ “หนูชอบรูปนี้ลงโซเชียลได้ไหมคะ?”
“ลงได้” ได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตากดมือถือต่อครับ
จริงอยู่ที่ระหว่างเราเป็นความลับ แต่มันก็ลับเฉพาะกับไอ้มิวเท่านั้นแหละ ไม่เปิดตัวก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เปิดนี่ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกันไง
มาถึงบ้านพักทุกคนตื่นกันหมดแล้ว บางคนเดินเล่น บางคนถ่ายรูป ที่ยังไม่เห็นก็คือไอ้มิวกับน้องซีรีน
“เดี๋ยวหนูไปชาร์จแบตก่อนนะ” ไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงเพลงก็ตรงไปยังประตูห้องทันที ไวเท่าความคิดผมจึงเดินตามน้องไปติด ๆ แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิดเลย “ประตูล็อคค่ะ”
“...”
มองหน้าสบตากันนิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไรกัน ผมรู้ว่าเธอเองเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีว่าคืออะไร... แค่เพียงไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออกครับ
แกรก!
เป็นไอ้มิวที่เปิดออกมามองเลยเข้าไปด้านไหนก็เห็นน้องซีรีนกำลังเข้าห้องน้ำพอดีครับ อยากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นสีหน้าวิตกกังวลของไอ้มิวน่ะ
“หนูว่าบางทีเราคุยกันหน่อยก็ดีนะคะ”
“ครับ” ไอ้มิวขานรับแต่โดยดีแล้วกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
ระหว่างรอน้องซีรีนทำธุระส่วนตัวบรรยากาสโคตรตึงเครียดเลยครับ ไม่รู้ว่าเสียงเพลงคนที่ร่าเริงเหมือนก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้ว เหลือแต่คนที่ทำหน้านิ่งแล้วแววตาว่างเปล่าไว้แทน
“พะ เพลง...”
“แกเงียบไป!” ดุเพื่อนแล้วหันมาทางไอ้มิวอีกครั้ง “หนูไม่เคยยุ่งเลยนะไม่ว่าพี่จะคบใครหรือควงคนไหน แต่ถ้าเป็นซีรีนหนูก็คงต้องพิจารณาใหม่อีกครั้ง เพื่อนหนูขี้หึงขี้หวงมากนะเพราะฉะนั้นหน้าที่ของพี่ก็คือซื่อสัตย์ ส่วนแกก็อย่าเพิ่งจริงจังในเวลาที่เขายังไม่พร้อม คบกับคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนเป็นได้แค่ตัวแทนของเขาเท่านั้นแหละ”
สามประโยคหลังนี่เหมือนจะเข้าหูผมเป็นพิเศษยังไงไม่รู้ เห็นน่ารักสดใสแบบนี้แต่พอเวลาจริงจังขึ้นมาก็น่ากลัวใช่ย่อย ผู้หญิงแบบนี้แหละคือผู้หญิงที่รักตัวเองและผู้หญิงแบบนี้แหละที่ผมยังไม่เคยเจอ
“เราผิดเอง”
“ไม่ได้โทษว่าใครผิด เรารู้จักพี่ชายเราดีถึงได้เตือนแกอยู่ตลอด แต่ช่างเถอะพูดไปก็เท่านั้น รักคนอื่นได้ก็อย่าลืมรักตัวเองด้วยล่ะ หรือถ้ารักตัวเองไม่เป็นก็สงสารตัวเองไว้บ้างก็ดี”
ไอ้มิวคิดอะไรอยู่ไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมมันเหมือนเหตุการณ์ที่มาก่อนเวลาเลยครับ สักวันหนึ่งแหละแต่ไม่รู้ว่ามันจะมารูปแบบไหน
หลังจากร่ายประโยคยาว ๆ ใส่หูพี่ชายตัวเองเสร็จก็แยกตัวออกไปโดยมีน้องซีรีนตามไปติด ๆ ทำให้ตรงนี้เหลือแค่ผมกับไอ้มิวสองคน
“จนได้นะมึง”
“กูไม่ได้ทำอะไรเลย”
“แล้วล็อคประตูทำไม?”
“ก็แค่เกือบอะ แต่สาบานว่าไม่เคยเกินเลยกันสักครั้งเดียว”
“มึงไม่ต้องมาสาบานอะไรกับกูหรอกโน่น... น้องมึงโกรธไปโน่นแล้ว”
“ไม่หรอก กูกับมึงก็นิสัยเดียวกันนั่นแหละแต่ยากหน่อยที่ซีรีนดันเป็นเพื่อนรัก ก็เหมือนเสียงเพลงที่เป็นน้องกู”
“...”
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่น้องกู ถือว่ากูขอ...”
“พูดเหี้ยอะไรของมึง กูไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”
“งั้นเหรอ?” น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อเอ่ยก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ “เราต่างคนต่างเหี้ยมึงเองก็มีน้องสาวหวังว่าคงจะเข้าใจ”
“เดี๋ยวอย่าเพิ่ง! มึงต้องใจเย็น ๆ ก่อนนะไอ้มิวไอ้ปั้นมันไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก มึงก็รู้ว่าคนที่มันปักใจฝังรากไว้คือพี่เอิงเอยคนสวย” ไอ้เคมีแทรกขึ้นมาบ้างไม่รู้ว่ามันเข้ามาตอนไหนแต่ก็คงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูไม่เถียงแต่ตอนนี้กูไม่เชื่อ”
“...”