หลังจากถูกบอกเลิกผมก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ปกติที่หมายถึงผมคนเดียว จะทำอะไรกับใครที่ไหนไม่ต้องคอยรายงานใครด้วยมันก็สบายใจไปอีกแบบ
“เมื่อวานมึงไปไหนมา”
“ตอนไหน”
“ฮั่นแน่...”
“อะไรของมึง”
“น้องบัญชีคนนั้นนางฟ้าชัด ๆ แต่เสือกตกหลุมพรางมึงจนได้”
“ไร้สาระ”
“ครับ ไอ้คนหล่อ”
ก็คนมันโสดนี่ครับ ไม่ได้เรียกใครว่าแฟนสักหน่อยจะคุยกี่คนก็ถือว่าไม่ผิดเพราะยังไม่มีเจ้าของ
“พรุ่งนี้มึงว่างไหม” ไอ้มิวเอ่ยก่อนจะนั่งลงข้างผม “วันเกิดพ่อกูอะ”
“ว่าง แต่หลังจากห้าโมงเย็นไปแล้วนะเพราะกูต้องช่วยพ่อกูก่อน”
“เออ งานเริ่มค่ำ ๆ นั่นแหละ”
แยกกับเพื่อนผมก็กลับเข้าบ้านตามปกติ ก่อนเข้าบ้านก็ไม่ลืมแวะตลาดนัดเพื่อซื้อของกินไปฝากยัยตัวแสบด้วย
ผลัก!
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” น้ำเสียงใสเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ผม “หนูมัวแต่มองอย่างอื่น ขอโทษอีกครั้งนะคะ” น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเพียงฝันนะครับ
“ไม่เป็นไรครับ” ตอบกลับตามมารยาทก่อนจะเหลือบเห็นว่าสตรอเบอร์รี่ปั่นที่น้องถือมากระเด็นตกพื้นไปแล้ว “เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวหนูซื้อเอง”
“ให้พี่ซื้อคืนเถอะจะได้ไม่เสียความรู้สึกต่อกัน” ไม่รอให้เจ้าตัวได้ตอบผมก็เดินไปสั่งแก้วใหม่ให้ทันทีซึ่งร้านก็อยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ
“หนูคุ้นหน้าพี่จัง เราเคยเจอกันไหมคะ” ได้ยินแบบนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับน้องอีกครั้ง คราวนี้ผมตั้งใจมองเลยครับแล้วก็รู้สึกคุ้นเช่นกัน หรืออาจจะเหมือนใครสักคนแต่มันนึกไม่ออก
“ถ้าน้องมาที่นี่บ่อยบางทีเราอาจจะเคยเดินสวนกันก็ได้ครับ”
“นั่นสินะ...” ขานรับอย่างเข้าใจแล้วระบายรอยยิ้มออกมา “พี่ชื่ออะไรคะ”
“กะ...”
(ตุ้บ!)
“กรี๊ด!!”
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมากครับ ยังไม่ทันได้ตอบน้องหมวกกันน็อกใบหนึ่งก็ถูกปาใส่หลังผมเต็มแรง เบือนหน้าไปมองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคู่อริผมเองแหละ วิ่งตามพวกมันออกมาด้านนอกก็ไม่เจอแล้วเห็นแต่หลังไว ๆ ไอ้พวกเหี้ยนี่ไม่แน่จริงหรอก
ขับรถกลับบ้านพร้อมกับความรู้สึกมากมาย ทั้งโมโหและหงุดหงิดในเวลาเดียวกันเหลือบมองกระจกหลังก็เห็นว่าพวกมันตามมากันสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่าหลบอยู่ตรงมุมไหนหรือผมไม่ทันสังเกตเอง
“ไหนบอกว่ายังไม่กลับไงคะ”
“เอามีดมา ๆ” จอดรถได้ก็วิ่งเข้าหยิบอาวุธประจำตัวออกมาทันทีไม่สนเสียงร้องห้ามของแม่ด้วยซ้ำ
“กำปั้นหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
“แน่จริงมึงมาดิไอ้เหี้ย!!”
หมับ!
มือที่กำลังง้างมีดถูกแม่จับไว้แทบจะทันทีส่วนไอ้สองคนนั้นก็วนรถออกไปแล้ว มันไม่กล้าเพราะเห็นคนอยู่เยอะต่างหาก ก็แน่สิ! ลูกค้าพ่อเต็มร้านซะขนาดนั้น
“ปล่อยนะลูก”
“ไปห้ามมันทำไมมาถึงบ้านแล้วต้องเอา! เจ็บก็เจ็บไป” แม่ห้ามผมแต่พ่อกลับห้ามแม่แทน
“ก็เป็นซะแบบนี้แล้วบอกว่าลูกดื้อรั้นเหมือนตัวเอง”
“มันไม่ใช่แบบนั้นแค่...”
“แทนที่จะเตือนลูกแต่เปล่าเลย ดี! งั้นต่อไปนี้อยากทำอะไรก็ทำกันไปเลย” จบประโยคก็โยนมีดลงพื้นแล้วเดินเข้าบ้านไปเลยครับ ถูกโกรธแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วทั้งพ่อและผม เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวที่แม่ขอมาโดยตลอด
“คิดจะเป็นคนเก่งต้องเก่งให้จริง ไม่ว่าตรงหน้ามึงจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็อย่าไปกลัว! ถ้าคิดจะปะทะมึงต้องชนะเท่านั้นเพราะถ้าแพ้โอกาสแก้มือมันหายาก” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยก่อนจะตบบ่าผมสองสามครั้ง “เกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้มแต่ที่กูพูดมาทั้งหมดมันต้องอยู่บนความถูกต้องนะ”
“ครับ”
ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่พ่อสอนแบบนี้ เพียงฝันเองก็เช่นกัน แต่จะต่างตรงที่น้องเป็นคนเงียบครับ ไม่โวยวายและใช้อารมณ์เหมือนผม ถ้าจะทำคือทำเลย
กลับเข้ามาในบ้านบรรยากาศถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบแม่อยู่มุมหนึ่ง พ่ออยู่มุมหนึ่ง
“พี่มีเรื่องกับใครคะ” เพียงฝันกระซิบถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางแม่ “พี่เจองานหินแล้ว”
“อืม” ขานรับแต่โดยดี นาทีนี้ไม่มีใครช่วยได้แล้วครับ
“แม่จะไปไหนคะ” เพียงฝันเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าแม่เตรียมตัวจะออกจากบ้าน
“บ้านยาย”
“แม่คะ”
“...” สายตาที่มองมาโคตรว่างเปล่าเลยครับ แววตาแบบนี้ไม่ได้ต่างไปจากเพียงฝันตอนโกรธเลยสักนิดเดียว
“คุยกันดี ๆ นะเรื่องแค่นี้เอง” พ่อพยายามง้อแต่ดูเหมือนมันจะไม่สำเร็จ
“เรื่องแค่นี้เหรอ? ใช้คำว่าเรื่องแค่นี้เองใช่ไหม”
“มันก็มีบ้างไปตามประสา ลูกเป็นผู้ชายนะ”
“ไม่เกี่ยวหรอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย พี่ก็เคยเข้าไปอยู่ในนั้นน่าจะรู้ดีว่ามันเป็นยังไง อ่อ... ไม่ใช่สิ คนที่จดจำความรู้สึกวันนั้นมันเป็นหนูต่างหาก!!” มากกว่าคำพูดของแม่ก็คือน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตอนนี้
“ไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกนะ” พ่อพูดอย่างใจเย็นก่อนจะสวมกอดแม่ไว้คล้ายเป็นการสงบสติอารมณ์ “เราไม่รู้ว่าแต่ละวันลูกเจออะไรบ้าง เราห้ามไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุสู้สอนให้รู้จักผิดถูกจะดีซะกว่า เจ็บตัวก็เจ็บไปปล่อยมัน” พ่อไม่ได้กำลังประชดครับ นี่คือวิธีสอนในแบบของเขาต่างหาก
“ถ้าลูกเราไม่เจ็บแล้วลูกคนอื่นเจ็บล่ะ”
“เจ็บก็เจ็บสิ ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมันอยู่แล้ว ถ้ามีความเป็นคนมากพอก็ต้องดูต้นสายปลายเหตุด้วย แต่ถ้ามึงผิดก็ต้องว่าไปตามผิด” ประโยคหลังนี้หันมาพูดกับผมครับ
“ครับ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะเข้าไปแย่งแม่มากอดซะเอง “ขอโทษครับ จะไม่ทำให้แม่เป็นห่วงเหมือนอย่างวันนี้อีก”
“อย่าใจร้อนให้มันมากนัก อย่าเอานิสัยที่ไม่ดีของพ่อมาใช้เยอะ”
“อ้าว... ทำไมวนกลับมาที่พี่ล่ะ”
“พี่นั่นแหละตัวดีเลย คืนนี้นอนนอกห้องไปเลยค่ะ พูดหลายครั้งแล้วนะเรื่องนี้ถ้ายังมีอีกเราได้เห็นดีกันแน่”
“จิ๊! ขยันขู่”
“จะลองดูก็ได้นะ”
“ทำไม?”
“จะเลิก!”
“อยู่กันมาถึงขนาดผมสองสีแล้วยังจะเลิกอีกเหรอ”
“ใช่!”
“เฮ้อ... เพียงฝันหนูอยากมีน้องตอนอายุสิบห้าไหมลูก” นอกจากจะไม่สนใจคำพูดของแม่แล้วพ่อยังชวนเปลี่ยนเรื่องเก่งอีกด้วย
“คิกคิก แล้วแต่พ่อเลยค่ะหนูไม่ติด” นี่ก็อีกคนครับ
“ดูท่าทางแล้วสงสัยต้องหนีไปอยู่คนเดียว”
“โธ่... แม่ครับ อยู่กับพวกเราน่ะดีแล้ว”
ผมเข้าใจที่แม่ห้ามเพราะเป็นห่วงแต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจและคนที่จะตอบได้ก็คงมีแค่พ่อคนเดียว
“มีอะไรหรือเปล่า” พ่อเอ่ยหลังจากที่แม่กับน้องไปตลาดแล้ว
“ในนั้นที่แม่พูดคืออะไรครับ”
“คุก”
“...”
“ที่แม่แกพูดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ เพราะไม่อยากให้แกก้าวเท้าเข้าไปเหยียบเหมือนพ่อไง”
“พ่อเคยเข้าไปในนั้นด้วยเหรอ”
“เคยสิ ถูกใส่กุญแจมือต่อหน้าต่อตาแม่แกเลยแหละ”
“มิน่าล่ะ แม่ถึงฝังใจขนาดนั้น”
“อืม เพราะฉะนั้นแกเอาตัวรอดให้ดี อย่าให้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนะ”
“แล้วทำไมพ่อไม่ห้ามผมล่ะ”
“ห้ามมันดูยากไป ใช้คำว่าเตือนดีกว่ามั้ง อยากรู้อยากลองลองได้เลย ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้เลยเต็มที่ แต่ก็อย่างที่บอกว่าทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้อง หรือถ้าแกเลือกที่จะเดินไปแบบผิด ๆ ก็ต้องเผื่อใจยอมรับผลที่จะตามมาด้วย”
จากนั้นพ่อก็เล่าวีรกรรมของตัวเองให้ผมฟัง จะบอกว่าทุกอย่างนั่นแหละครับทั้งดีและไม่ดีพ่อผมลองหมด แต่โชคดีที่แม่ยังคงอยู่เคียงข้าง
“ผมจะหาผู้หญิงแบบแม่ได้ที่ไหน”
“ต้องมีสักคนแหละที่แกคิดจะรัก แต่อันดับแรกเลิกทำตัวเพลย์บอยก่อน”
“โธ่พ่อ! ก็คนมันโสดนี่ครับ”
“กูกำลังจริงจังอยู่นะ เผื่อมึงลืมว่ากูกับไอ้โอมเป็นเพื่อนรักกัน จะทำอะไรช่วยนึกถึงตรงนี้ด้วย”
“ผมกับเอิงเอยเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เขาเป็นคนเลือกที่จะไปเอง”
“ก็มึงมันหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยใครที่ไหนเขาจะอยู่ กูขอแต่ทีแรกแล้วไงว่าอย่านะ แต่พูดกับมึงมันก็เท่านั้นแหละ ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งยุ”
“พ่อสบายใจได้ ความสัมพันธ์ของพ่อกับลุงโอมไม่แตกหักกันเพราะผมแน่นอน”
“กูไม่กลัวแตกหักกับไอ้โอมหรอกแต่กูกลัวมึงจะไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะการกระทำของตัวเองมากกว่า”
“...”
“ช่างเถอะ! พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก ไว้เจอคนที่คิดจะรักและอยากอยู่ด้วยจริง ๆ นั่นแหละถึงจะรู้ตัว”
“ไม่คุยกับพ่อแล้วไม่เห็นจะเข้าใจเลย” บอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วกดเบอร์โทรหาเจนแทน
เจนก็คือเพื่อนร่วมสาขานั่นแหละ ไม่ได้เป็นอะไรกันครับแค่มีอะไรกันเฉย ๆ
“กูปวดหัวกับมึงฉิบหายเลย”
“รักพ่อนะครับ”
“ไปไกล ๆ ขนลุก”
“ฮ่า ๆ”