Episode-๐๒ คำเตือน

1725 Words
หลังจากถูกบอกเลิกผมก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ปกติที่หมายถึงผมคนเดียว จะทำอะไรกับใครที่ไหนไม่ต้องคอยรายงานใครด้วยมันก็สบายใจไปอีกแบบ “เมื่อวานมึงไปไหนมา” “ตอนไหน” “ฮั่นแน่...” “อะไรของมึง” “น้องบัญชีคนนั้นนางฟ้าชัด ๆ แต่เสือกตกหลุมพรางมึงจนได้” “ไร้สาระ” “ครับ ไอ้คนหล่อ” ก็คนมันโสดนี่ครับ ไม่ได้เรียกใครว่าแฟนสักหน่อยจะคุยกี่คนก็ถือว่าไม่ผิดเพราะยังไม่มีเจ้าของ “พรุ่งนี้มึงว่างไหม” ไอ้มิวเอ่ยก่อนจะนั่งลงข้างผม “วันเกิดพ่อกูอะ” “ว่าง แต่หลังจากห้าโมงเย็นไปแล้วนะเพราะกูต้องช่วยพ่อกูก่อน” “เออ งานเริ่มค่ำ ๆ นั่นแหละ” แยกกับเพื่อนผมก็กลับเข้าบ้านตามปกติ ก่อนเข้าบ้านก็ไม่ลืมแวะตลาดนัดเพื่อซื้อของกินไปฝากยัยตัวแสบด้วย ผลัก! “อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” น้ำเสียงใสเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ผม “หนูมัวแต่มองอย่างอื่น ขอโทษอีกครั้งนะคะ” น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเพียงฝันนะครับ “ไม่เป็นไรครับ” ตอบกลับตามมารยาทก่อนจะเหลือบเห็นว่าสตรอเบอร์รี่ปั่นที่น้องถือมากระเด็นตกพื้นไปแล้ว “เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่นะ” “ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวหนูซื้อเอง” “ให้พี่ซื้อคืนเถอะจะได้ไม่เสียความรู้สึกต่อกัน” ไม่รอให้เจ้าตัวได้ตอบผมก็เดินไปสั่งแก้วใหม่ให้ทันทีซึ่งร้านก็อยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ “หนูคุ้นหน้าพี่จัง เราเคยเจอกันไหมคะ” ได้ยินแบบนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับน้องอีกครั้ง คราวนี้ผมตั้งใจมองเลยครับแล้วก็รู้สึกคุ้นเช่นกัน หรืออาจจะเหมือนใครสักคนแต่มันนึกไม่ออก “ถ้าน้องมาที่นี่บ่อยบางทีเราอาจจะเคยเดินสวนกันก็ได้ครับ” “นั่นสินะ...” ขานรับอย่างเข้าใจแล้วระบายรอยยิ้มออกมา “พี่ชื่ออะไรคะ” “กะ...” (ตุ้บ!) “กรี๊ด!!” เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมากครับ ยังไม่ทันได้ตอบน้องหมวกกันน็อกใบหนึ่งก็ถูกปาใส่หลังผมเต็มแรง เบือนหน้าไปมองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคู่อริผมเองแหละ วิ่งตามพวกมันออกมาด้านนอกก็ไม่เจอแล้วเห็นแต่หลังไว ๆ ไอ้พวกเหี้ยนี่ไม่แน่จริงหรอก ขับรถกลับบ้านพร้อมกับความรู้สึกมากมาย ทั้งโมโหและหงุดหงิดในเวลาเดียวกันเหลือบมองกระจกหลังก็เห็นว่าพวกมันตามมากันสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่าหลบอยู่ตรงมุมไหนหรือผมไม่ทันสังเกตเอง “ไหนบอกว่ายังไม่กลับไงคะ” “เอามีดมา ๆ” จอดรถได้ก็วิ่งเข้าหยิบอาวุธประจำตัวออกมาทันทีไม่สนเสียงร้องห้ามของแม่ด้วยซ้ำ “กำปั้นหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” “แน่จริงมึงมาดิไอ้เหี้ย!!” หมับ! มือที่กำลังง้างมีดถูกแม่จับไว้แทบจะทันทีส่วนไอ้สองคนนั้นก็วนรถออกไปแล้ว มันไม่กล้าเพราะเห็นคนอยู่เยอะต่างหาก ก็แน่สิ! ลูกค้าพ่อเต็มร้านซะขนาดนั้น “ปล่อยนะลูก” “ไปห้ามมันทำไมมาถึงบ้านแล้วต้องเอา! เจ็บก็เจ็บไป” แม่ห้ามผมแต่พ่อกลับห้ามแม่แทน “ก็เป็นซะแบบนี้แล้วบอกว่าลูกดื้อรั้นเหมือนตัวเอง” “มันไม่ใช่แบบนั้นแค่...” “แทนที่จะเตือนลูกแต่เปล่าเลย ดี! งั้นต่อไปนี้อยากทำอะไรก็ทำกันไปเลย” จบประโยคก็โยนมีดลงพื้นแล้วเดินเข้าบ้านไปเลยครับ ถูกโกรธแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วทั้งพ่อและผม เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวที่แม่ขอมาโดยตลอด “คิดจะเป็นคนเก่งต้องเก่งให้จริง ไม่ว่าตรงหน้ามึงจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็อย่าไปกลัว! ถ้าคิดจะปะทะมึงต้องชนะเท่านั้นเพราะถ้าแพ้โอกาสแก้มือมันหายาก” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยก่อนจะตบบ่าผมสองสามครั้ง “เกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้มแต่ที่กูพูดมาทั้งหมดมันต้องอยู่บนความถูกต้องนะ” “ครับ” ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่พ่อสอนแบบนี้ เพียงฝันเองก็เช่นกัน แต่จะต่างตรงที่น้องเป็นคนเงียบครับ ไม่โวยวายและใช้อารมณ์เหมือนผม ถ้าจะทำคือทำเลย กลับเข้ามาในบ้านบรรยากาศถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบแม่อยู่มุมหนึ่ง พ่ออยู่มุมหนึ่ง “พี่มีเรื่องกับใครคะ” เพียงฝันกระซิบถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางแม่ “พี่เจองานหินแล้ว” “อืม” ขานรับแต่โดยดี นาทีนี้ไม่มีใครช่วยได้แล้วครับ “แม่จะไปไหนคะ” เพียงฝันเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าแม่เตรียมตัวจะออกจากบ้าน “บ้านยาย” “แม่คะ” “...” สายตาที่มองมาโคตรว่างเปล่าเลยครับ แววตาแบบนี้ไม่ได้ต่างไปจากเพียงฝันตอนโกรธเลยสักนิดเดียว “คุยกันดี ๆ นะเรื่องแค่นี้เอง” พ่อพยายามง้อแต่ดูเหมือนมันจะไม่สำเร็จ “เรื่องแค่นี้เหรอ? ใช้คำว่าเรื่องแค่นี้เองใช่ไหม” “มันก็มีบ้างไปตามประสา ลูกเป็นผู้ชายนะ” “ไม่เกี่ยวหรอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย พี่ก็เคยเข้าไปอยู่ในนั้นน่าจะรู้ดีว่ามันเป็นยังไง อ่อ... ไม่ใช่สิ คนที่จดจำความรู้สึกวันนั้นมันเป็นหนูต่างหาก!!” มากกว่าคำพูดของแม่ก็คือน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตอนนี้ “ไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกนะ” พ่อพูดอย่างใจเย็นก่อนจะสวมกอดแม่ไว้คล้ายเป็นการสงบสติอารมณ์ “เราไม่รู้ว่าแต่ละวันลูกเจออะไรบ้าง เราห้ามไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุสู้สอนให้รู้จักผิดถูกจะดีซะกว่า เจ็บตัวก็เจ็บไปปล่อยมัน” พ่อไม่ได้กำลังประชดครับ นี่คือวิธีสอนในแบบของเขาต่างหาก “ถ้าลูกเราไม่เจ็บแล้วลูกคนอื่นเจ็บล่ะ” “เจ็บก็เจ็บสิ ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมันอยู่แล้ว ถ้ามีความเป็นคนมากพอก็ต้องดูต้นสายปลายเหตุด้วย แต่ถ้ามึงผิดก็ต้องว่าไปตามผิด” ประโยคหลังนี้หันมาพูดกับผมครับ “ครับ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะเข้าไปแย่งแม่มากอดซะเอง “ขอโทษครับ จะไม่ทำให้แม่เป็นห่วงเหมือนอย่างวันนี้อีก” “อย่าใจร้อนให้มันมากนัก อย่าเอานิสัยที่ไม่ดีของพ่อมาใช้เยอะ” “อ้าว... ทำไมวนกลับมาที่พี่ล่ะ” “พี่นั่นแหละตัวดีเลย คืนนี้นอนนอกห้องไปเลยค่ะ พูดหลายครั้งแล้วนะเรื่องนี้ถ้ายังมีอีกเราได้เห็นดีกันแน่” “จิ๊! ขยันขู่” “จะลองดูก็ได้นะ” “ทำไม?” “จะเลิก!” “อยู่กันมาถึงขนาดผมสองสีแล้วยังจะเลิกอีกเหรอ” “ใช่!” “เฮ้อ... เพียงฝันหนูอยากมีน้องตอนอายุสิบห้าไหมลูก” นอกจากจะไม่สนใจคำพูดของแม่แล้วพ่อยังชวนเปลี่ยนเรื่องเก่งอีกด้วย “คิกคิก แล้วแต่พ่อเลยค่ะหนูไม่ติด” นี่ก็อีกคนครับ “ดูท่าทางแล้วสงสัยต้องหนีไปอยู่คนเดียว” “โธ่... แม่ครับ อยู่กับพวกเราน่ะดีแล้ว” ผมเข้าใจที่แม่ห้ามเพราะเป็นห่วงแต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจและคนที่จะตอบได้ก็คงมีแค่พ่อคนเดียว “มีอะไรหรือเปล่า” พ่อเอ่ยหลังจากที่แม่กับน้องไปตลาดแล้ว “ในนั้นที่แม่พูดคืออะไรครับ” “คุก” “...” “ที่แม่แกพูดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ เพราะไม่อยากให้แกก้าวเท้าเข้าไปเหยียบเหมือนพ่อไง” “พ่อเคยเข้าไปในนั้นด้วยเหรอ” “เคยสิ ถูกใส่กุญแจมือต่อหน้าต่อตาแม่แกเลยแหละ” “มิน่าล่ะ แม่ถึงฝังใจขนาดนั้น” “อืม เพราะฉะนั้นแกเอาตัวรอดให้ดี อย่าให้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนะ” “แล้วทำไมพ่อไม่ห้ามผมล่ะ” “ห้ามมันดูยากไป ใช้คำว่าเตือนดีกว่ามั้ง อยากรู้อยากลองลองได้เลย ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้เลยเต็มที่ แต่ก็อย่างที่บอกว่าทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้อง หรือถ้าแกเลือกที่จะเดินไปแบบผิด ๆ ก็ต้องเผื่อใจยอมรับผลที่จะตามมาด้วย” จากนั้นพ่อก็เล่าวีรกรรมของตัวเองให้ผมฟัง จะบอกว่าทุกอย่างนั่นแหละครับทั้งดีและไม่ดีพ่อผมลองหมด แต่โชคดีที่แม่ยังคงอยู่เคียงข้าง “ผมจะหาผู้หญิงแบบแม่ได้ที่ไหน” “ต้องมีสักคนแหละที่แกคิดจะรัก แต่อันดับแรกเลิกทำตัวเพลย์บอยก่อน” “โธ่พ่อ! ก็คนมันโสดนี่ครับ” “กูกำลังจริงจังอยู่นะ เผื่อมึงลืมว่ากูกับไอ้โอมเป็นเพื่อนรักกัน จะทำอะไรช่วยนึกถึงตรงนี้ด้วย” “ผมกับเอิงเอยเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เขาเป็นคนเลือกที่จะไปเอง” “ก็มึงมันหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยใครที่ไหนเขาจะอยู่ กูขอแต่ทีแรกแล้วไงว่าอย่านะ แต่พูดกับมึงมันก็เท่านั้นแหละ ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งยุ” “พ่อสบายใจได้ ความสัมพันธ์ของพ่อกับลุงโอมไม่แตกหักกันเพราะผมแน่นอน” “กูไม่กลัวแตกหักกับไอ้โอมหรอกแต่กูกลัวมึงจะไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะการกระทำของตัวเองมากกว่า” “...” “ช่างเถอะ! พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก ไว้เจอคนที่คิดจะรักและอยากอยู่ด้วยจริง ๆ นั่นแหละถึงจะรู้ตัว” “ไม่คุยกับพ่อแล้วไม่เห็นจะเข้าใจเลย” บอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วกดเบอร์โทรหาเจนแทน เจนก็คือเพื่อนร่วมสาขานั่นแหละ ไม่ได้เป็นอะไรกันครับแค่มีอะไรกันเฉย ๆ “กูปวดหัวกับมึงฉิบหายเลย” “รักพ่อนะครับ” “ไปไกล ๆ ขนลุก” “ฮ่า ๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD