ในขณะที่ฉันนับวันรอการฝึกงานจบสิ้นไปเสียที กลับมีเรื่องที่ทำให้ชีวิตของฉันมันเริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องของครอบครัวพี่มิลเนี่ยแหละ
พี่รดากับเจ้ามิกซ์ก็ดูสนิทสนมกันมากขึ้นเพราะเจ้าเหมียวตัวเดียวแวะเวียนไปมาหากันเป็นว่าเล่น จนพี่สาวอย่างฉันไม่จำเป็นแล้วละมั้ง
ส่วนฉันกับพี่มิลความสัมพันธ์ก็เริ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ฉันยืนเปื่อย ๆ ในห้องถ่ายเอกสารอีกตามเดิม ก่อนที่จะหยิบเอกสารจากเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อจะเอาไปส่งไว้ที่โต๊ะทำงานของรุ่นพี่
ระหว่างที่ฉันก้มหน้าลงเพื่อเช็กความเรียบร้อยของเอกสารก็มีร่างของใครบางคนเดินเข้ามากระแทกฉันอย่างแรงจนฉันกระเด็น แขนแกร่งเข้ามาโอบเอวของฉันแล้วออกแรงฉุดให้ฉันเข้ามาแนบชิดกับอกของใครบางคน
กระดาษในแขนของฉันเมื่อครู่ปลิวว่อนลอยกลางอากาศลงสู่พื้นเป็นเวลาเดียวกับฉันได้หันไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัด ๆ
“คุณราชินทร์” พอเห็นว่าอีกฝ่ายคือน้องชายต่างแม่ของพี่มิลฉันก็รีบดันอีกคนให้ออกห่าง
“เป็นอะไรไหมครับ พี่มน” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าฉันเอ่ยถามพลางเข้ามาเพื่อจะสำรวจดูร่างกายของฉัน
“เอ่อ ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” ฉันรีบตีตัวออกมาเพื่อไม่ให้ดูสนิทสนม มากเกินไป แต่ราชินทร์ก็ยังจับแขนของฉันเอาไว้ ไอ้เด็กนี่ มือคนหรือตีนตุ๊กแก
“ให้ผมช่วยนะครับ” ราชินทร์ทำท่าจะก้มลงไปเก็บกองเอกสารในขณะที่ฉันเองก็ควาน ๆ เข้ามากองไว้อย่างลวก ๆ
“หมดแล้วค่ะขอบคุณนะคะ” ฉันรับเอกสารมาจากเด็กหนุ่มก่อนจะรีบบหมุนตัวเพื่อจะเดินออกไป
“เหมือนพี่มนจะไม่อยากคุยกับผมเลยนะครับ โทร.ไปก็ไม่เห็นรับเลย” ฉันหยุดชะงักฝีเท้า สายตากวาดมองไปยังพนักงานคนอื่น ๆ ที่เริ่มหันมาจับตามอง พูดอย่างนี้ ใคร ๆ ก็ต้องคิดแหละว่าความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันไม่คุยค่ะ” ชายหนุ่มมีใบหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อฉันตอบกลับไปตรง ๆ ก่อนที่ฉันจะหันกลับมาแต่ก็ต้องชนกับใครอีกคนจนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พี่มิล
“ต้องให้ย้ำไหมว่าพ่ออยู่ชั้นที่เท่าไร ปกติไม่ค่อยมาเหลียวแลบริษัทนี่” พี่มิลดึงให้ฉันเข้ามาหลบอยู่ข้างหลัง
“โธ่พี่มิล ผมยังเรียนไม่จบเลยนะ มาบริษัทแล้วจะช่วยไรได้” คนพี่ยกยิ้มเยาะ
“ถ้าอยากเป็นคู่แข่งกันก็ช่วยก้าวให้มันทันหน่อยนะ เดี๋ยวแม่ที่ดันอยู่ข้างหลังจะอกแตกตายเข้าใจปะ” พี่มิลกระซิบบอกอีกคนด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก ทำเอาคนน้องที่กำลังทำหน้าชื่นมื่นต้องหุบยิ้มลงในทันที
“พี่พูดอะไรอะ ผมไม่เห็นเข้าใจเลย” ราชินทร์ปรายสายตามองมาทางฉันก่อนที่พี่มิลจะขยับตัวมาบดบัง
“ขึ้นไปหาพ่อเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของแก”
“หวงขนาดนี้ ดูออกเลยนะครับ” ราชินทร์กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะชะโงกหน้าให้พ้นระยะของร่างสูง “เย็นนี้ผมโทร.ไปอีกนะครับ”
เด็กหนุ่มว่าก่อนจะเดินออกไป พี่มิลพ่นลมหายใจออกมาด้วยความไม่พอใจก่อนจะหันมามองทางฉัน
“ไม่ไปทำงานเหรอครับ”
“เอ่อ ค่ะ”
“อื้อ บล็อกแล้ว” ฉันว่าก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือหน้าที่มีเบอร์โทร.ของราชินทร์ในพี่มิลดู
“ไม่ใช่พี่ไม่ไว้ใจมนหรอกนะ แต่ราชินทร์มันไม่น่าไว้วางใจ” พี่มิล เอนหลังพิงกับเบาะคนขับแล้วถอนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย “พ่อพี่เขารักครอบครัวใหม่มาก จนบางทีก็ลืมไปว่าพี่ก็เป็นลูกเขาเหมือนกัน เขาฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พี่ แต่กลับเลี้ยงเด็กสองคนนั้นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป แบบที่พี่ไม่ได้รับเลย”
“พี่มิลมีอะไร พี่มิลเล่าให้หนูฟังได้นะคะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว” ฉันเอื้อมมือไปกุมมือของชายหนุ่มเอาไว้
“ถ้าเล่าแล้วจะได้กำลังใจอีกหรือเปล่า” ใบหน้าหล่อทำแก้มพองก่อนจะใช้นิ้วชี้ที่กระพุ้งแก้มของตัวเอง
“ต้องผ่านการพิจารณาก่อนน่ะค่ะ” ฉันยกแขนขึ้นมากอดอกก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะ
“แม่เลี้ยงพี่เขาหวังจะให้ลูกของพวกเขาสืบทอดกิจการของพ่อพี่ เลยดันราชินทร์ให้เก่งกว่าพี่ในทุกด้าน แต่ก็ไม่เคยชนะสักที เรื่องเดียวที่พ่อจะเอาชนะพี่ได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่พี่เคยสำมะเลเทเมาละมั้ง”
“อันนี้ไม่เถียงเลยค่ะ” ฉันพูดพลางกลั้วหัวเราะ
“แต่นั่นมันก็แค่เรื่องในอดีต เพราะตอนนี้พี่เพอร์เฟกต์ในทุกด้าน ไม่มีใครเอาพี่ลงจากเก้าอี้ประธานคนต่อไปได้หรอก” พี่มิลพูดด้วยสีหน้าที่มั่นใจเสียจนฉันเองก็รู้สึกหมั่นไส้
“แล้วเรื่องที่พ่อพี่อยากให้พี่แต่งงานกับพี่รตีล่ะคะ” หนุ่มรุ่นพี่ชะงักไปก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาหาฉัน
“อันนี้หึงถูกไหม”
“บ้า” ฉันฟาดมือลงบนลาดไหล่ของอีกฝ่าย “เราคุยกันนานแล้วอะ หนูเข้าบ้านก่อนนะ”
พวกเราชอบนั่งคุยกันบนรถก่อนที่ฉันจะลงแล้วเข้าบ้าน มันอาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราทั้งสองได้พูดคุยกันโดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าใครกำลังจับตามองเราอยู่หรือเปล่า ยกเว้นแม่ ลุงภูมิแล้วก็เจ้ามิกซ์
“พี่กับรตีเราตกลงจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน อีกอย่างรตีก็มีคนรักแล้ว เธอสบายใจได้นะ” ฉันหันกลับมามองชายหนุ่ม
“หนูเชื่อพี่นะ” พี่มิลอมยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนที่ฉันจะเปิดประตูลงจากรถแล้วปิดประตูลงโบกมือลารถเก่งคันหรูขับออกไปจากหน้าบ้าน ฉันเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะขอตัวเดินขึ้นห้องเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนหลังจากที่ล้ามาทั้งวัน
พาร์ตรามิล
“กลับมาที่บ้านได้แล้วเหรอ” นี่คือคำทักทายของผู้เป็นพ่อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่น ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาที่อยู่ตัวถัดไปเยื้องหน้าเข้ามาหากัน
“ผมมาหาคุณพ่อครับ” ชายแก่พับหนังสือเล่มหนาลงก่อนจะวางหนังสือไว้บนโต๊ะ
“มีอะไรก็ว่ามา” ผู้เป็นพ่อหันหน้ากลับเข้ามามองผม
“ผมอยากคุยเรื่องที่จะพาพนักงานบริษัทไปเอาต์ติงข้างนอกครับคุณพ่อ เพื่อฉลองที่ยอดขายของเราในไตรมาสนี้พุ่งขึ้นสูงมาก”
“มาอยู่บ้าน แทนที่จะพูดเรื่องทั่วไปแต่กลับพูดเรื่องงานเนี่ยนะ แล้วไปเอาต์ติงอะไร ยอดขายแค่นี้ก็ต้องฉลองด้วยเหรอ” ชายตรงหน้าผมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แต่มันก็พุ่งที่สุดในรอบหลายปีไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าคุณพ่อไม่ให้ความสำคัญกับพนักงาน” ผู้เป็นพ่อพ่นลมหายใจออกมา
“แกจัดการไปก็แล้วกัน ฉันยกให้เป็นอำนาจของแก ยังไงแกก็ต้องขึ้นมาแทนฉันอยู่แล้ว” ผมมองไปทางหญิงสาววัยกลางคนที่เดินถือแก้วชาเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้ววางลงต่อหน้าพ่อของผม
วิรชา ภรรยาใหม่ของพ่อผม หรือจะเรียกว่าเป็นแม่เลี้ยงของผมนั่นแหละ
“คุณคะ ทำไมไม่ลองให้ตาชินไปเรียนรู้งานกับคุณบ้างล่ะคะ
เผื่อจะได้ไปช่วยตามิลบริหารไงคะ พี่น้องช่วยเหลือกันดีออกนะคะคุณ” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ผมมองดูแล้วไม่สบายใจเลยสักนิด
“ตาชินน่ะเหรอ” พ่อผมพ่นลมหายใจด้วยความเอือมระอาก่อนจะยกชาขึ้นมาจิบ “จะไปเอาอะไรกับเด็กนั่น ให้เรียนให้จบฉันก็ไม่หวังอะไรแล้ว ขนาดสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังทำไม่ได้เลยจนฉันต้องแบกหน้าไปฝากมันเข้าเรียนเนี่ย”
ผมเกือบจะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นใบหน้าถูกขัดใจของแม่เลี้ยงตัวเองแต่ก็ต้องตีหน้านิ่งเข้าไว้เพราะสุดท้ายนางก็จะโยงลูกนางมาเปรียบเทียบเพื่อให้เท่ากับผมอยู่ดี
“แหมคุณคะ เด็กวัยรุ่นก็ต้องมีเกเรกันบ้าง ตอนตามิลเรียนก็ใช่ย่อยนี่คะ” นางหันมาเหน็บแนมผมเข้าเสียจนได้ ผมได้แต่มองเธอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน
“น้าชาครับ ถึงผมจะเกเรยังไง ผมก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้คุณพ่อตามเช็ดนะครับ อีกอย่างผมสอบติดเอง แถมยังจบด้วยเกียรตินิยม คุณน้าคิดว่าราชินทร์ทำได้ไหมล่ะครับ แล้วค่อยมาเปรียบกับผม”
“รามิล พอได้แล้ว ครอบครัวเดียวกันจะกัดกันไปทำไม” พ่อผมหันนกลับมาปรามผมทางสายตา ผมเลยทำเป็นยืดเส้นยืดสายก่อนจะลุกขึ้น
“วันนี้ผมทำงานเหนื่อยมากพอแล้ว ผมขอขึ้นไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ” ผมว่าก่อนจะหันมาส่งยิ้มเยาะให้แม่เลี้ยงแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสองของตัวบ้านเพื่อเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง
“พี่มิล เห็นรถมาจอดหน้าบ้านก็จำได้เลยว่าเป็นรถพี่” รดาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
“พี่ไม่เคยเปลี่ยนรถเลยเหอะ” ผมหันมามองหน้าน้องสาวที่เดินปรี่เข้ามาทำท่าว่าจะกอดผมเลยใช้มือดันหน้าผากของอีกฝ่ายไว้ “คิดว่าตัวเองกี่ขวบกัน”
“กี่ขวบก็อยากกอดพี่ชายทั้งนั้นแหละ” ผมห้ามไม่ได้เลยปล่อยให้ยายตัวแสบเข้ามากอดผมไว้ น่าอึดอัดชะมัด
“พอได้แล้ว พี่จะเข้าไปอาบน้ำนอนแล้ว”
“เอ้อ พี่มิลคะ หนูขอเอาแมวไปเลี้ยงที่คอนโดฯ ได้หรือเปล่าคะ ช่วงนี้เจ้าไวท์ในติดหนูเป็นพิเศษเลยอะค่ะ” เสียงแมวร้องมาจากด้านล่างทำเอาผมต้องก้มลงไปมองแมวขนสีขาวคลอเคลียที่ขาของน้องสาวผมก่อนจะส่งเสียงร้องเรียก
“ถ้าไปคอนโดฯ ห้ามเอาแมวไปเด็ดขาด”
“แต่ว่าพี่มิลคะ แมวตัวนี้ล่อเด็กพี่ได้นะ” รดาเข้ามากระซิบที่ใบหูของผมจนผมต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หล่อ ๆ อย่างผมต้องใช้แมวที่ไหนกัน
“ยังไง”
“ก็แมวตัวนี้หนูไปขับรถชนเขามา แล้วมิกซ์น้องชายของมนก็ช่วยไว้ด้วย พวกเราเลยช่วยกันเลี้ยงแมวตัวนี้ ซึ่งพี่มนก็เอ็นดูมันเอามาก ๆ เวลาที่มิกซ์เอากลับไปเลี้ยงที่บ้าน แล้วพี่คิดว่าถ้าเจ้าไวท์ไปอยู่ที่คอนโดฯ เราจะเป็นไงคะ” หญิงสาวยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มชวนตื่นเต้น
“คอนโดฯ พี่ไม่ใช่คอนโดฯ เรา”
“เอาเหอะน่า เดี๋ยวให้ยืมแมวแล้วน้องจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ โอเคปะ” รดาพูดยื้อผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะเปิดประตูเข้าห้อง ผมหันมามองทางน้องสาวด้วยสายตาเบื่อหน่าย
“จะเอาไปไหนก็ไป อย่าให้มันขี้ในห้องพี่เข้าใจปะ”
“รับทราบค่ะ”