ตอนที่ 14 เด็กฝึกงาน

2073 Words
ตั้งแต่วันนั้นพี่มิลก็มักจะมารับฉันในตอนเช้า และมาส่งฉันที่บ้านในตอนเย็น หรือบางครั้งก็พาฉันไปเลี้ยงอาหารบ้างเป็นบางวัน ครั้งนี้ฉันเลยคิดว่าตัวเองต้องเลี้ยงข้าวพี่มิลเป็นการตอบแทนบ้างแล้ว เลยพาพี่มิลมาที่ร้านของลุงภูมิ “พี่มิลอยากทานอะไรสั่งได้เลยนะคะ ลุงภูมิทำอร่อยทุกอย่างเลย” ฉันแอบชำเลืองมองไปทางหลังร้านที่ทั้งแม่และลุงภูมิต่างแอบมองดูอยู่ก่อนพวกท่านจะหลบสายตาแล้วทำเหมือนว่าไม่ได้จับตามองฉันเลยแม้แต่น้อย “เธอสั่งเลยพี่ทานอะไรก็ได้” “หนูพาพี่มาเลี้ยงข้าว พี่ก็ต้องสั่งที่พี่อยากทานสิคะ” ฉันว่าก่อนจะหยิบเมนูของร้านส่งไปให้ทางหนุ่มรุ่นพี่ “เธอว่าเมนูไหนอร่อย แนะนำพี่หน่อยสิ” พี่มิลเอ่ยถาม “เมนูนี้ค่ะ ปูผัดผงกะหรี่” ฉันใช้นิ้วจิ้มในใบเมนูแล้วค่อยเลื่อนกลับมาหาตัวเองเพื่อดูรายการอาหาร “พี่มิลอยากทานอาหารฝรั่งหรืออาหารไทยคะ” “อาหารไทย” “อืม” ฉันทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะไปจบที่เมนูที่ฉันรู้สึกว่าอร่อยที่สุดแล้วพี่มิลน่าจะชอบ “ปลากะพงนึ่งมะนาว” “ครับ” พี่มิลตอบรับ พี่มิลเคยบอกฉันว่าเขาชอบกินปลา แต่หาร้านที่ทำปลาไม่คาวได้น้อยมาก และฉันมั่นใจว่าลุงภูมิเอาอยู่ หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งทานอาหารกันอยู่สักพัก พี่มิลทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่ฉันจะไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ลุงภูมิก็ไม่เอาเงินเพราะถือว่าตอบแทนที่พี่เขาช่วยฉันไว้ นั่นไง สุดท้ายฉันก็ไม่ได้เลี้ยงพี่เขาจนได้ “วันนี้พี่กลับก่อนก็ได้นะ หนูจะอยู่ช่วยแม่กับพี่ภูมิเก็บร้านอะ” ฉันเดินมาส่งชายหนุ่มที่รถบนลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า “อาหารวันนี้อร่อยมาก ๆ เลยนะ สงสัยพี่ต้องบันทึกไว้ในรายการโปรดแล้วล่ะ” พี่มิลว่าก่อนจะเปิดประตูรถ ฉันยืนส่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะโบกมือลา “ไว้เจอกันค่ะ” “อื้อ” “อ้าว พี่มิลนี่นา” ทั้งฉันและเจ้าของชื่อต่างหันไปมองชายหนุ่มในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องชายของฉัน ใบหน้าของชายหนุ่มคล้ายคลึงกับพี่มิลอยู่บางส่วน อย่างเช่นดวงตาคมที่ฉายความเจ้าเล่ห์ “ราชินทร์” พี่มิลเรียกชื่อของชายหนุ่มปริศนานั้นด้วยน้ำเสียง เย็นชา “แหม เรียกชื่อเต็มเลยนะครับพี่รามิล” รามิล รดา ราชินทร์ แหมแค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นพี่น้องกัน หรือว่านี่จะเป็นน้องคนสุดท้องของพี่มิลกันนะ “แกมาทำอะไร” พี่มิลเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาราวกับคนละคน “ผมก็แค่มาเดินเล่นน่ะ ไม่คิดว่าจะมาเจอพี่ที่นี่ แล้วนี่...” ราชินทร์เคลื่อนสายตาจากพี่ชายกลับมามองฉัน “เด็กของพี่เหรอครับ” “แค่เด็กฝึกงานในบริษัท” ฉันรีบพยักหน้า “ใช่ค่ะ แค่บังเอิญเจอกันเฉย ๆ” ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เล่นตามน้ำไปน่าจะดีที่สุด “อ๋อเหรอครับ พี่มิลไม่กลับบ้านซะนานเลย พ่อเลยสงสัยว่าพี่ไปติดเด็กที่ไหนหรือเปล่า” พี่มิลถอนหายใจยาว “ฝากบอกพ่อด้วย ว่าพี่ไม่มีเรื่องจำเป็นต้องกลับบ้าน” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันกลับมามองฉัน “คุณรามิลเดินทางปลอดภัยนะคะ ฉันขอตัว” ฉันรีบเดินออกมาก่อนที่น้องชายของพี่มิลจะจับโป๊ะเราไปมากกว่านี้ ทิ้งให้สองพี่น้องเล่นสงครามประสาทกันไป ส่วนฉันค่อยไปปลอบพี่มิลทีหลังก็แล้วกัน ฉันช่วยแม่เช็ดจานที่ผ่านการล้างอยู่ที่หลังร้าน พนักงานของร้านเริ่มทยอยกลับกันแล้ว ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าทำไมลุงภูมิและแม่ต้องอยู่จนร้านปิดทั้งที่มีพนักงานเยอะแยะ แต่แม่ก็ตอบว่าเราเป็นเจ้าของร้านทุกอย่างเราต้องเช็กให้ละเอียดที่สุด เลยเป็นฉันที่มายืนเช็ดจานอยู่ตรงนี้ “แม่คะ ทำไมสังคมคนรวยเขาชอบเล่นสงครามประสาทใส่กันคะ” ฉันหันไปถามผู้เป็นแม่ที่น่าจะตอบปัญหาของฉันได้เพราะดูจะมีประสบการณ์มาก่อน “คนรวยเขาก็เหมือนใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลานั่นแหละจ้ะ นับวันหน้ากากนั้นมันก็ยิ่งหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่อดทนไม่ได้ ก็ต้องถอดหน้ากากออก แล้วก็เป็นผู้แพ้ไป” ฉันได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมเหรอลูก” “เปล่าค่ะแม่” ฉันเลี่ยงที่จะตอบเลยหันกลับไปวางจานเข้าชั้นเหมือนเดิม “วันนี้คนที่มากับลูก เขาเป็นคนพิเศษของลูกใช่ไหม” แม่เอ่ยถามขึ้นทำเอาฉันสะอึก “หนูก็แค่พาเขามาเลี้ยงขอบคุณแค่นั้นเองค่ะแม่” “แต่ดูจากสายตาที่เขามองลูก เขาดูไม่ได้มองลูกเป็นแค่เด็กฝึกงานธรรมดานะ” แม่ว่าก่อนจะเอนกายพิงกับขอบอาบล้างจานแล้วหันหน้ามามองทางฉันพร้อมอมยิ้มกรุ้มกริ่ม “ถ้าลูกจะมีความรัก ลูกไม่ต้องกลัวที่จะรักหรอกนะจ๊ะ” “หนูก็ไม่ได้กลัวนี่คะแม่ แค่ให้มันผ่านพ้นช่วงฝึกงานไปก่อนแค่นั้นเอง” ฉันถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากของตัวเองเมื่อเผลอหลุดปากพูดออกไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “แม่ว่าแล้ว ว่าลูกกับเขาต้องชอบกัน” แม่หัวเราะอย่างชอบใจ “เล่าเรื่องเขาให้แม่ฟังบ้างสิลูก” “เขาเป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วค่ะแม่ เพื่อนหนูกับเพื่อนพี่เขาเป็นแฟนกัน เราเลยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ กันตลอด แค่นั้นเองค่ะ” ฉันยอมเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟังแค่ส่วนหนึ่ง เพราะไม่อยากให้แม่รับรู้เรื่องไม่ดีของฉันในอดีต “เหมือนเจ้ามิกซ์เคยมาเล่าให้แม่ฟังตอนที่เจอลูกใหม่ ๆ ว่ามีคนมาจีบลูก ใช่คนนี้หรือเปล่าจ๊ะ” “เราเคยสานสัมพันธ์กันอยู่ช่วงหนึ่งค่ะ ก่อนจะห่าง ๆ กันไป เพิ่งกลับมาเจอกันตอนที่หนูไปฝึกงาน เขาเป็นลูกเจ้าของบริษัท นั่นเลยเป็นสิ่งที่หนูกลัว” “แม่เข้าใจลูกนะมน” ผู้เป็นแม่เอื้อมมือมาบีบไหล่ฉันเบา ๆ “ยังไงก็ต้องให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนจริง ๆ ยังไงลูกก็เป็นเด็กฝึกงาน พี่เขาเป็นหัวหน้าเรา เราก็ต้องรู้จักวางตัว” “ค่ะแม่ หนูรู้ดี แต่อีกไม่ถึงเดือนหนูก็ฝึกงานจบแล้ว อะไร ๆ ก็อาจจะดีขึ้นก็ได้ค่ะ” ฉันว่าก่อนจะเดินออกมาหยิบกระเป๋าเพื่อจะรอเดินทางกลับมาที่บ้าน พอกลับมาถึงบ้านฉันเตรียมที่จะเข้านอนเลยเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อดูวิวภายนอกสักหน่อยแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าน้องชายของฉันมันนั่งเหงาหงอยอยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ฉันเดินลงมาจากห้องนอนเพื่อเดินเข้าไปดูน้องชาย “มิกซ์ ทำไมยังไม่นอนอีก” น้องชายฉันเงยหน้าขึ้นมามองขณะที่ฉันกำลังโน้มตัวลงนั่งบนม้านั่งข้าง ๆ “เซ็งนิดหน่อยอะพี่” “มีอะไร เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ” มิกซ์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะเอนตัวพิงกับพนักม้านั่งแล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “วันนี้ผมเห็นแมวถูกรถชน ผมกับเจ้าของรถเลยพามันไปหาหมอ จังหวะนั้นมันชลมุนมากอะพี่ ไม่ได้ดูเลยว่าเจ้าของรถหน้าตายังไง รู้แค่ว่าเขาเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นผมก็จะไปเยี่ยมเจ้าแมวตัวนั้นก็รู้ว่าเขาเอาไปเลี้ยงแล้วอะ ผมคิดถึงแมว” ฉันได้แต่มองชายหนุ่มที่เบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก็เข้าใจอยู่หรอกพ่อหนุ่มรักสัตว์ “แล้วไม่ได้ถามชื่อเจ้าของกับคลินิกเหรอ” “เขาฝากนามบัตรไว้ให้ผม แต่ไม่กล้าโทร.อะพี่” ฉันก้มลงมองนามบัตรเล็ก ๆ ในมือของน้องชายก่อนจะเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาดู รดา กิจศิริวัชรโชติ นามสกุลเดียวกับพี่มิลก็คงจะมีรดาเดียว คือพี่รดาน้องสาวของพี่มิล ฉันหันหน้าไปมองน้องชายด้วยความเร็วแสงแล้วก้มลงมองสลับกับชื่อในนามบัตรนั้นด้วยความแปลกใจ “โลกมันกลมขนาดนี้ได้เลยเหรอ” มิกซ์หันหน้ากลับเข้ามามองฉัน “พี่รู้จักเหรอ ติดต่อให้ผมหน่อยดิ ผมคิดถึงแมวอะ น้า ๆ ผมอยากรู้ว่าเจ้าเหมียวนั่นเป็นไงบ้าง” “มิกซ์ติดต่อได้เลย พี่รดาเขาเป็นน้องสาวของพี่มิล ใจดีมาก เขาคงอยากให้มิกซ์ติดตามอาการของเจ้าแมวนั่นแหละ ถึงฝากนามบัตรไว้” ฉันยื่นนามบัตรส่งคืนให้น้องชาย “ช่วยไม่ได้อะนะ งั้นผมจะลองโทร.ดูแล้วกัน” มิกซ์รับนามบัตรคืนก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผมขึ้นห้องก่อนนะ ฝันดีนะครับพี่” “อื้อ” ฉันพยักหน้าก่อนจะนั่งมองท้องฟ้าอยู่สักพักแล้วเดินขึ้นห้องไป ระหว่างที่กำลังปิดไฟเพื่อที่จะเข้านอนเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเป็นสายเรียกเข้าจากเบอร์โทร.ที่ฉันไม่คุ้นเคย “สวัสดีค่ะ” ฉันกดรับสาย แต่ไม่มีเสียงจากปลายสายตอบกลับมา “ถ้าไม่ตอบจะวางแล้วนะคะ” [เดี๋ยวสิเดี๋ยว] เสียงจากปลายสายดังขึ้น [นี่ใช่คุณกชมนหรือเปล่าครับ] “ค่ะ ไม่ทราบว่าปลายสายเป็นใครคะ” [ผมเองครับ ราชินทร์] ฉันถึงกับเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าคนปลายสายคือน้องชายต่างมารดาของพี่มิล “คุณไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหนคะ” [ไม่ยากนี่ครับ ในข้อมูลบริษัทก็ต้องมีข้อมูลของพนักงานสิ] “แต่แบบนี้มันไม่เหมาะสมนะคะ” ฉันขึ้นเสียงใส่ด้วยความไม่พอใจ [ขอโทษนะครับที่ต้องใช้วิธีนี้ แต่ว่าผมอยากรู้จักพี่จริง ๆ นะ พี่มน] สรรพนามที่เปลี่ยนไปจากคนปลายสายทำเอาฉันรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล “คุณราชินทร์เป็นน้องชายของเจ้านายฉัน อีกทั้งยังเป็นลูกชายของประธานบริษัท คงไม่สมควรมั้งคะ ถ้าเราจะเรียกกันอย่างสนิทสนม” ฉันพยายามพูดเบี่ยงไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย [แต่ผมไม่ได้อยากทำความรู้จักในฐานะนั้นนี่ครับ ผมอยากรู้จักคุณในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัยเท่านั้นเอง] “แต่วิธีที่คุณใช้ มันไม่เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องทั่วไปในมหาวิทยาลัยคุยกันนะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันต้องขอวางสายก่อนนะคะ” ฉันรีบกดวางสายทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยทักท้วงอะไร มือขาวถูกยกขึ้นยีเส้นผมดำขลับบนหัวก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงนอน เรื่องของฉันกับพี่มิล แค่มาจากเรื่องตัวเองมันก็ยากอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอสังคมรอบ ๆ อีก อยากจะกรี๊ดให้สุดเสียงไปเลย แล้วตาราชินทร์นี่ก็อะไร แก่แดดชะมัด ถึงต่อให้ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องฉันก็ไม่ชอบกินเด็กหรอกนะ “พี่มน ๆ” ฉันลุกขึ้นมานั่งบนเตียงนอนเมื่อน้องชายโผงผางเปิดประตูห้องเข้ามา “มีอะไรอีกเนี่ย” “ผมโทร.ไปแล้วพี่ พี่รดาบอกว่าแมวสบายดี” “สนิทจนเรียกพี่แล้วเหรอ” ฉันเอ่ยถาม “ก็ พอพี่เขารู้ว่าผมเป็นน้องพี่ พี่เขาก็ดีใจใหญ่เลย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD