เกือบหมดวันค่ะที่เรานั่งเล่นกันอยู่ที่นี่จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง
“ขับรถกันดี ๆ นะเว้ยมันมืดแล้ว”
... : ครับ
“มีใครจะมานั่งกับพี่ไหม?” พี่คนนั้นยังคงเอ่ยถามประโยคเดิมแต่กลับไม่มีใครตอบตกลงสักที “เราล่ะ จะไปกับไอ้เก้าเหรอ” ประโยคนี้เขาหันมาถามฉันค่ะ เขาคงเห็นว่าฉันเป็นน้องเล็กสุดในกลุ่มผู้หญิงล่ะมั้ง
“ผมรู้ครับว่าต้องดูแลยังไง” เก้าตอบกลับแทบจะทันทีโดยที่ฉันยังไม่ได้อ้าปากตอบเลยด้วยซ้ำ
“กูรู้แต่มันมืดค่ำแล้ว”
“ผมดูแลได้เชื่อสิ”
“เออ ขับรถกันดี ๆ นะไม่ต้องรีบบ้านไม่หนีไปไหน” เขากำชับอีกครั้งก่อนจะเตรียมตัวกลับกัน
ระหว่างทางเก้าไม่ได้ขับเร็วเลยค่ะ รถก็มีติดบ้างเป็นระยะเป็นบางช่วง
“นายง่วงหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถามเมื่อบางจังหวะเหมือนเขาจะเสียการทรงตัวนิดหน่อย “เราขับให้ได้นะ”
“หืม... อยากเป็นคนซ้อนอยู่พอดีเลย” น้ำเสียงติดตลกเอ่ยแต่ก็ไม่ยอมจอดให้เปลี่ยนขับสักทีจนกระทั่งถึงจุดพักรถ
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วค่ะ ฉันแยกตัวมาเข้าห้องน้ำส่วนเก้าเขาเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ
ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาเก้าก็รออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับยื่นชานมมาตรงหน้าฉัน
“อยู่กันตั้งหลายคนทำไมซื้อให้คนเดียววะ” โอมที่นั่งอยู่ด้วยทักท้วงขึ้น
“แล้วในมือมึงล่ะ?” เก้าตอบกลับเสียงเรียบพลางชี้ไปที่โอมซึ่งเขากำลังถือแก้วน้ำอยู่เหมือนกัน
“มันไม่เหมือนกันครับอันนี้กูซื้อเองส่วนอันนั้นมึงซื้อให้อะ สองมาตรฐานชัด ๆ แล้วบอกเพื่อนกัน”
“กระแนะกระแหนเก่งฉิบหายเลย”
“...” มองดูพวกเขาสนิทกันมากนะคะ แต่แปลกที่เก้าเคยพูดไว้ว่าบางคนคบได้แต่เรียกเพื่อนได้ไม่เต็มปาก
พักครึ่งชั่วโมงก็เตรียมตัวเดินทางต่อค่ะ แต่คราวนี้ฉันเป็นคนขับเอง
“อยากมีคนขับให้บ้างจังครับ” กายค่ะ
“มึงก็ให้ไอ้โอมขับสิ”
“ไม่เอาอะ มันไม่มุ้งมิ้งเหมือนสาว ๆ”
“ไปมิ้งไกล ๆ กูขนลุก”
... : ฮ่า ๆ
“นายแวะไหนอีกไหม?”
“ไม่ เข้าบ้านเธอเลยนอนด้วย”
“...” ถึงกับต้องหันไปมองเมื่อได้ยินเก้าพูดแบบนั้น “พูดจริง?”
“จริง! เธอไม่อนุญาตแต่แม่เธออนุญาตนะ” ไม่พูดเปล่ายังฉีกยิ้มกว้างเข้าสู้อีกด้วยค่ะ
ระหว่างทางไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเหงาค่ะเพราะเก้าชวนคุยแทบจะตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าไม่เชื่อใจฉันหรืออะไร
“เธอขับรถเร็วเหมือนกันนะเนี่ย”
“ยังบิดไม่ถึงร้อยเลย”
“ไม่ถึงแต่ก็ใกล้เคียงช้าลงหน่อย” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยเป็นการเตือนสติ ฉันจึงรักษาความเร็วของรถไว้คงที่ค่ะ ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็วและระมัดระวังอยู่ตลอด
กว่าจะถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนค่ะแถมไฟในบ้านก็ยังไม่ปิดอีกด้วย
“นายบอกแม่หรือเปล่าว่าเราจะกลับกันตอนไหน”
“บอก”
“...”
เข้ามาในบ้านก็เห็นแม่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ค่ะ แม่คงจะไม่ได้กำลังรอฉันกลับบ้านหรอกนะ
“ไปถึงไหนกันมาเนี่ย”
“นครนายกครับ แล้วทำไมแม่ยังไม่นอนอีก” เป็นประโยคที่ฉันกำลังจะเอ่ยถามพอดี
“รอเอ็งสองคนไง กับข้าวมีในครัวหากินกันเองนะแม่ไปนอนแล้ว”
“ขอบคุณครับ” เก้าเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ... เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิดเลยเขารอฉันกลับบ้านจริงด้วย
คล้อยหลังแม่ฉันสังเกตเห็นว่าเก้าเงียบผิดปกติ สีหน้าของเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“เป็นอะไร?”
“ไม่รู้สิ อธิบายความรู้สึกแบบนี้ไม่ถูกเหมือนกัน”
“อย่าคิดมากเลยนะ แม่เราก็ใจดีแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ”
“ไม่ต้องบอกก็รู้” เขาว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
ฉันรู้ว่าเขากำลังคิดเปรียบเทียบค่ะ สิ่งดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ มันควรจะได้สัมผัสจากครอบครัวตัวเองเป็นอันดับแรก แต่เก้าไม่ใช่ไง พอมาเจอแบบนี้มันก็อดน้อยใจไม่ได้หรอก
ระหว่างรอใช้ห้องน้ำต่อฉันก็เข้าไปหาแม่ในห้องนอนค่ะ รู้ว่าเขายังไม่หลับหรอก
“แม่ให้เก้าค้างที่นี่เหรอ” ฉันเอ่ยไปตามความคิด เพราะสำหรับคนอื่นมันก็คงแปลก ๆ ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“อืม แม่เป็นคนอนุญาตเองแหละ”
“ทำไมล่ะ แม่ไม่กลัวคนอื่นมองไม่ดีเหรอที่...”
“ก็เรื่องของคนอื่น คนจะมองไม่ดีเราอธิบายให้ตายยังไงเขาก็ยังมองแบบนั้นเหมือนเดิม อย่างน้อยพวกเอ็งก็อยู่ในสายตา แบบนี้มันสบายใจกว่านะ บางอย่างมองข้ามไปบ้างก็ดีเหมือนกัน แม่ไม่รู้หรอกว่าครอบครัวของเก้าเป็นยังไงรู้แค่ว่าเขาสบายใจที่อยู่กับเราเท่านั้นเอง ขนาดเจ็บหนักวันนั้นยังไม่ยอมกลับบ้านเลย มันเพราะอะไรล่ะ? เพราะเขารู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัยไง”
“...” ประโยคยาว ๆ ของแม่มันจริงทุกอย่างค่ะ ตรงข้ามกันถ้าฉันเป็นเก้าก็คงไม่พูดเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังเรื่อยเปื่อยหรอกถ้าไม่รู้สึกว่าปลอดภัยจริง ๆ
หลายวันผ่านไป
ระหว่างฉันกับเก้าสนิทกันมากขึ้น มากถึงขนาดแค่มองตาก็รู้ใจกันแล้วค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนเราจะสนิทกันได้ขนาดนี้ หรืออาจเป็นเพราะฉันเลือกที่จะมองข้ามสิ่งไม่ดีไปนะ ระหว่างเราจึงไม่มีช่องว่าง
“ถามอะไรหน่อยสิ” ตั้งใจจะถามนานแล้วค่ะแต่ไม่มีโอกาสสักที
“ว่า?”
“ทำไมโอมดูไม่แปลกใจเลยที่เราสองคนสนิทกัน”
“ก็เพราะว่าสนิทกันนี่แหละมันถึงรับรู้ทุกอย่าง”
“...” ทุกอย่างที่ว่าจะรวมไปถึงสิ่งไม่ดีพวกนั้นด้วยหรือเปล่านะ
“แต่ก็รู้แค่นี้แหละ คนอื่นเราไม่อยากให้รู้หรอก”
“ทำไมล่ะ? เป็นเพื่อนกันก็ต้องเป็นความลับด้วยเหรอ”
“ประวัติเราไม่ดีเธอก็รู้”
“ก็ช่างสิไม่เห็นจะสนใจเลย”
“สนใจไว้บ้างก็ดีนะ”
“ไม่อะ เราเลือกที่จะมองข้ามมากกว่า ต่อให้นายจะนิสัยไม่ดีใส่คนอื่นแต่นายก็เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเรา ส่วนเรื่องอื่นเราไม่ยุ่ง”
“ไม่ห้ามหน่อยเหรอ”
“...”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าเราก็อยากมีใครสักคนคอยเตือนสติเวลาหลงผิดไป”
“ไม่มีใครหลงผิดหรอกนะ มีแต่รู้ว่าผิดแต่ก็เลือกที่จะทำ”
“...” เก้าไม่พูดอะไรออกมาอีกเมื่อฉันพูดไปแบบนั้น เขามองหน้าฉันแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ
“ยิ้มอะไร?”
“เปล่า!”
“ก็เนี่ยนายยิ้มอยู่”
“ไม่บอกหรอกปล่อยให้งง”