ทิ้ง

2880 Words
ระหว่างที่เข้ามานั่งด้วยกันภายในรถยนต์ นิราก็เอาแต่นั่งเงียบ ไม่กล้าเงยหน้ามองตรีประดับสักนิด เพราะทำตัวไม่ถูก นั่งชิดติดประตูไม่กล้าเคลื่อนตัว แม้แต่ลมหายใจ เธอยังปล่อยออกมาอย่างระวัง นั่นเพราะตรีประดับเอง ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน นอกจากพ่นลมหายใจออกมาถี่ๆ ราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง ซึ่งจริง เพราะตรีประดับเองก็รู้สึกอึดอัด ไม่พอใจที่นิราเอาแต่นั่งตัวสั่น ไม่พูดไม่จา แถมเอาแต่ก้มหน้า "ฉันไม่สวยเหรอ" ถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นั่นทำให้คนฟังเผลอหลุดปากถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ "คะ? " "ฉันถามว่า" พูดพลางขยับเข้าใกล้ "ฉัน ไม่ สวย เหรอ" เธอเน้นหนักทุกคำ จนคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมอง "ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น ท่านประธานสวยค่ะ" นิรารีบบอกตามตรง นั่นเพราะกลัวว่าจะถูกตำหนิหากพูดไม่เข้าหู แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่ได้แกล้งชม เพราะเมื่อลองเพ่งสำรวจใบหน้าตรีประดับใกล้ๆ แล้ว หล่อนสวยแบบไร้ที่ติ "แล้วไป" เมื่อได้ยินสิ่งที่ต้องการแล้ว ตรีประดับจึงผละออกจากตัวนิรา เพื่อกลับไปนั่งตามเดิม เปิดโอกาสให้เด็กสาวได้แอบลอบถอนหายใจ "แล้วทำไม เธอถึงเอาแต่หลบหน้าหลบตา ไม่มองหน้าฉัน" ซึ่งตรีประดับก็ยังไม่หยุดตั้งคำถาม "คือ คือ.. ดิฉัน แค่ คือว่า.." นิราตะกุกตะกัก จะให้บอกได้อย่างไรว่ากลัว คนฟังเริ่มรู้สึกรำคาญกับท่าทางแบบนั้นของเด็กสาว จึงยกมือขึ้นมาเบรก "พอ! ไม่อยากรู้แล้ว" ไม่ชอบที่เด็กสาวเอาแต่ทำท่าทางแบบนั้น หากดื้อดึงอยากรู้ คงเป็นการยาก เพราะไม่อยากคาดคั้น ระหว่างทางที่ไม่รู้จุดหมาย นิราก็เอาแต่กุมท้องเพราะยังคงปวดเนื่องจากรอบเดือน แถมใบหน้ายังคงซีดเผือกกว่าเดิม ส่วนตรีประดับ ก็เอาแต่คุยโทรศัพท์เรื่องงานด้วยอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ จนคนที่นั่งร่วมอย่างนิราและสารถีพากันสะดุ้ง "หน้าเธอเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ" ซึ่งอยู่ๆ หลังจากที่วางสาย ตรีประดับก็หันมาทักนิรา คงเพราะสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไป แต่ยังไม่ทันที่จะตอบกลับ หล่อนก็กดรับโทรศัพท์อีกครั้งและคุยต่อเสียงดัง "เธอลงข้างหน้าได้มั้ย ฉันมีธุระต่อ" หันมาบอกนิรา และไม่รอฟังคำตอบ "จอดข้างหน้าที" สั่งคนขับ 'เอี้ยดดด' สารถีจอดทันที ตามมาด้วยนิราที่เปิดประตูลงจากรถ และรถยนต์คันงามก็เคลื่อนห่างไป นิราได้แต่มองตามตาปริบๆ ก็อยู่ๆ ดันถูกทิ้งระหว่างทาง ซึ่งเธอจะโทษใครได้เล่า ในเมื่อไม่ได้คาดหวังจะร่วมทางกับท่านประธานแต่แรกอยู่แล้ว แล้วทำไมจะต้องรู้สึกผิดหวังขนาดนี้ด้วยเล่า ได้แต่ยืนกุมท้องตัวเอง คิดเพียงว่าจะต้องเดินไปหาที่นั่งให้ได้เสียก่อนที่จะคิดเรื่องอื่น เพราะรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนแอ แม้หัวยังไม่ถึงหมอนก็ขอให้ได้นั่งพักสักหน่อย ยิ่งแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน กับการเดินตากแดดบนฟุตบาตรเมืองไทยแล้ว มันทำให้การพยายามลดลง และ 'พลั่ก' นิราทิ้งตัวลงบนพื้น อย่างไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้ เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงช้าๆ ตรีประดับก้าวเท้าลงจากรถยนต์ด้วยอารมณ์ไม่ปกติ ด้วยเพราะความโมโหแบบไม่อาจควบคุมตัวเองได้ มุ่งตรงไปยังห้องเล็กๆ ในตรอกแคบๆ ยิ่งทั้งซ้ายขวามีคราบสกปรกแบบไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะมีสิ่งที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่ จนอยากจะกรี้ดออกมา 'พลั่ก' ประตูถูกเปิดออกจากคนด้านนอก "มาแล้วเหรอลูกแม่ โอ้ยย.." เสียงแจ๋วของหญิงสูงอายุเอ่ยทักทันทีที่เห็นหน้าตรีประดับ โดยไม่ดูสภาพตัวเอง ที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ คนมาใหม่เดินมาใกล้พร้อมเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง "บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่ามาที่นี่อีก! " ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรีประดับก็พ่นคำดุออกมา จากที่ภายในห้องกำลังชุลมุน ผู้คนก็ต่างทยอยเดินออก "ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ห้ามขยับ ไม่งั้น ฉันจะแจ้งตำรวจ" ฝีเท้าทุกคนหยุดกึก "ไม่เห็นต้องรุนแรงขนาดนั้นเลยนี่ลูก พูดกันดีๆ ก็ได้" คนแม่พยายามพูดเพื่อให้ลูกสาวใจเย็น แต่เหมือนจะยิ่งเพิ่มความโกรธให้กับตรีประดับ "ครั้งนี้ตรีไม่ทำแค่ขู่แน่ค่ะ" ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะกดโทรตามที่บอกทุกคน "อย่านะลูก อย่าทำแบบนี้ ฮือออ แม่ผิดเอง แม่ขอโทษ" เมื่อเห็นว่าลูกสาวทำจริง จึงแสร้งงัดไม้เด็ดออกมา นั่นคือน้ำตา "ก็แม่อยากสวย ลูกก็รู้ว่าอาชีพแม่ต้องใช้หน้าตาหากิน ไม่งั้นก็จะแพ้พวกเด็กรุ่นใหม่" แน่นอนว่าเธอเป็นดารา การบีบน้ำตาคือความสามารถพิเศษ "ก็แล้วทำไมไม่ไปคลีนิคที่ได้มาตรฐานกว่านี้" พนักงานที่ฉีดสารต่างๆ เข้าร่างกายคนบนเตียงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก "ครั้งก่อนคงยังไม่เข็ด หน้าบวมเป็นอาทิตย์ แล้วนี่ตอนนี้เป็นอะไรอีก" เธอเพ่งสำรวจใบหน้าคนแม่อีกครััง "ปากเบี้ยว! " "จริงเหรอ ว้าย! " คนบนเตียงเริ่มลูบคลำใบหน้าตัวเอง พลางกวาดมือไปหยิบกระจกเพื่อยกขึ้นมาดู "แกก็พูดเกินไปยัยลูกคนนี้ ดูซิ หน้าแม่ตึงกว่าเดิมอีก" ดูเหมือนหล่อนจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด แต่พอเห็นท่าทางเอาเรื่องของลูกสาวแล้วจึงลดกระจกลง "ลูกก็รู้ว่าใครๆ ก็ยกตำแหน่งดาวค้างฟ้าให้แม่ สวยดั่งเจ้าหญิง ขืนแม่ไปตามคลีนิคดังๆ คนก็เม้ากันทั่วน่ะสิ" "นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาใช้บริการคลีนิคเถื่อนค่ะ" บอกตัดบท ก่อนจะหันไปหาผู้ชายในชุดกราว จากการประเมินด้วยสายตา เธอมั่นใจว่าเขาคือคนที่ฉีดสารต่างๆ เข้าร่างกายคนแม่ "คุณจำไว้เลยนะ ถ้าฉันรู้ว่าคุณยังฉีดไอ้ย***าบอพวกนี้ให้แม่ฉันอีก ฉันแจ้งจับพวกคุณแน่" ซึ่งเขาก็ได้แต่ผงกหัวลกๆ เป็นการตอบรับ แต่ตรีประดับก็ไม่ได้วางใจนัก เพราะคราวก่อนเขาก็รับปากแบบนี้ "ลุกค่ะแม่" หันบอกคนแม่บ้าง และเดินนำออกไปอย่างไม่รอ เธอไม่อยากอยู่ในสถานที่แห่งนี้นาน เพราะรู้สึกเกลียดกลิ่น เกลียดบรรยากาศ และเกลียดผู้คนที่หากินแบบนี้ จนต้องหนีออกมาก่อน ซึ่งคนบนเตียงก็ก้าวลงทันที แต่ไม่วายขอโทษขอโพยเหล่าทีมหมอเถื่อนอย่างเป็นกันเอง และรีบตามตรีประดับออกไป เมื่อเข้ามาในรถ สมร ก็พยายามชวนลูกสาวคุยราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น "ต่างหูสวยนะคะลูกสาว" "พอค่ะแม่" "หายโกรธเถอะนะ ลูกก็รู้ว่าแม่อยากได้งานนี้" สมรเคยเป็นอดีตนางเองละคร ที่ใครๆ ต่างรู้จักดี แต่พอมีข่าวว่าเธอแต่งงาน สมรก็หายจากวงการไป และไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เธอก็หวนเข้าวงการอีกครั้ง แต่บทส่วนใหญ่ที่ได้รับ ไม่ใช่นางเอกเพราะเลยวัย แต่ที่ได้รับคือบทแม่ไม่ก็ตัวร้าย ซึ่งมันก็แค่ตัวประกอบ ไม่ได้เด่นเหมือนเมื่อก่อน นั่นเพราะกาลเวลาที่เปลี่ยนไป "ตรีบอกแล้วไงคะ ว่าตรีเลี้ยงแม่ได้ จะไปเต้นกินรำกินทำไม" "แม่รักอาชีพนี้ ทำไมลูกไม่เข้าใจ" "แต่ตรีไม่อยากให้ใครมาว่า ว่าตรีเลี้ยงแม่ไม่ดี แถมข่าวแม่ที่ออกมาแต่ละวัน มันทำให้เสียมาถึงตรีด้วย" "มันเป็นการตลาด ถ้าไม่มีข่าวเสียๆ หายๆ แล้วแม่จะได้บทนี้เหรอ" "นี่แม่ยังไม่รู้อีกเหรอคะ ว่าแม่เป็นตัวถ่วงของตรี" คำพูดของตรีประดับทำให้สมรชะงัก จนหน้าเสีย แต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ "ต่อไป แม่จะระวังก็แล้วกัน" บอกเสียงอ่อน "ขอบคุณค่ะ" บอกออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ " แล้วที่เรียกตรีมา มีอะไรคะ" นั่นเพราะก่อนหน้าสมรนัดเธอให้ไปรับที่โรงพยาบาลหลังเลิกงานเพราะหล่อนอ้างอาการป่วย แต่คนเป็นลูกที่รู้สึกตะหงิดใจ มาก่อนเวลาเพื่ออยากจะแน่ใจว่าจะไม่ถูกแม่หลอกอีก แต่พอรู้ข่าวจากเลขาชาญชัยเรื่องที่สมรแอบมาคลีนิคเถื่อนอีก เธอจึงเปลี่ยนเส้นทางแบบกะทันหัน "เอ๊ะนั่น! " แต่ไม่ทันที่สมรจะตอบออกไป เธอก็หันไปสนใจกับรถตำรวจที่สวนไปแทน "ต่อไปนี้แม่คงมาที่นี่อีกไม่ได้แล้วล่ะค่ะ" "ยัยลูกคนนี้หนิ" เอ่ยออกมาอย่างขัดใจ "จำไว้นะคะ ถ้าแม่ยังไม่ฟังอีก บุกทลายคลีนิคเถื่อนรอบหน้า คงมีแม่อยู่ในข่าวเต็มหน้าฟีดแน่" สมรได้แต่นิ่งเงียบอย่างจำยอมไม่กล้ามีปากมีเสียง แน่นอนว่ารถตำรวจสองสามคันนั้นคงมุ่งหน้าไปจับผู้ประกอบการคลีนิคเถื่อนที่เธอเพิ่งจะออกมา และคำพูดของตรีประดับที่ขู่เธอ คงจะจริง แม่ มักชอบทำเรื่องมากมายให้ลูกสาวคอยตามเช็ดตามล้างอย่างหวุดหวิด นั่นเพราะหน้าที่ความเป็นลูก จะทิ้งขว้างก็ไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงชื่อเสียงของเธอด้วย การดำรงตำแหน่งทางบอร์ดบริหาร ความสามารถ และพฤติกรรม ของตนเองก็สำคัญ แต่นั่นมันไม่พอ เรื่องครอบครัวก็ทิ้งไม่ได้ ดังนั้น เธอไม่มีทางให้เรื่องของสมรมาทำให้ภาพพจน์ที่สั่งสมมาพังทลายเด็ดขาด และเพราะตรีประดับรู้นิสัยและเล่ห์เหลี่ยมของสมรดี เธอจึงไม่เคยพลาด และรู้ทันทุกเรื่อง 'หนูมิ้นท์อยากเจอลูก และแม่ก็เห็นว่าน้องเหมาะสมกับลูกมาก เงินต่อเงิน' คำนี้ก้องอยู่ในหูตรีประดับ สมรมักนัดบอดให้ลูกอยู่เสมอ ราวกับกลัวว่าจะขายลูกสาวไม่ออก และเพราะไม่อยากขัดใจ จึงยอมตามใจ ตรีประดับยังคงอยู่ในชุดทำงาน ไม่เปลี่ยนเป็นชุดสวยตามใจคนแม่ที่จัดหามาให้ ระหว่างทางจะไปถึงที่นัดหมาย ก็ได้แต่ถอนหายใจฟึดฟัด เธอเลี่ยงการเจอคนแม่มาตลอด เพราะทุกครั้งการนัดเจอก็จะมาพร้อมสาวๆ ที่แม่จัดหามาให้ "คนนี้เป็นดาราครับ กำลังอยู่ในกระแส และเพิ่งตอบรับร่วมงานกับคุณสมร" เสียงการรายงานผ่านลำโพงโทรศัพท์ "ผู้หญิงคนนี้คงอยากรวยทางลัด หรือไม่ หล่อนอาจจะอยากดัง" ตรีประดับตอบปลายสายอย่างรู้ทัน แต่ผิดคาด "ไม่ใช่เลยครับ คุณมิ้นท์เป็นลูกสาวของท่านประสงค์ เจ้าของโรงแรมคู่แข่งเรา และเธอก็โด่งดังมากในต่างประเทศ" "งั้นเหรอ คุณแม่นี่ตาถึงนะ" พูดพลางเลื่อนแทปเลตดูรูปดาราโกอินเตอร์ที่เลขาชาญชัยเพิ่งส่งมาให้ "แล้วฉันควรทำยังไง" "ครั้งนี้ท่านประธานควรใจเย็นครับ เป็นมิตรกับเธอ เพราะเรายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอครับ" "อย่าวู่วาม" เขากำชับ เพราะทุกครั้งตรีประดับมักตะเพิดสาวๆ ไปคนละทิศละทางอย่างไม่ไว้หน้า "รู้แล้วค่ะคุณเลขาชาญ" ตรีประดับยืดตัวตรงหลังจากก้าวลงจากรถ การจะได้เจอสาวที่แม่นัดให้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องประหม่า แต่คราวนี้เธอต้องแสร้งทำตัวดี ตามคำแนะนำของเลขาชาญชัย 'ฟู่วว' พ่นลมหายใจอย่างต้องการจะเรียกกำลังใจให้ตนเอง ตรีประดับแอบมองสาวผมสีน้ำตาลที่นั่งหันหลังให้ มั่นใจว่าหล่อนคือมินตรา หรือ หนูมิ้นท์ ที่คนแม่พร่ำบรรยายสรรพคุณ นั่นเพราะเป็นโต๊ะที่จองไว้ 'สวย' แค่ด้านหลังยังสวย ตรีประดับให้คำจำกัดความแบบนั้น แต่เมื่อรู้สึกตัว จึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติและเดินไปใกล้ ไม่เอ่ยทักทายใด นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างไม่รักษามารยาท "พี่ตรีเหรอคะ" คนฝั่งตรงข้ามถามออกมาด้วยความตกใจ นั่นเพราะคนแปลกหน้าดันมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไร้การแนะนำตัว "เป็นคนยากเจอฉันเองไม่ใช่เหรอ แค่หน้าฉันทำไมไม่รู้" บอกอย่างยี่หระ "ก็แค่ไม่คิดว่า ลูกคุณป้าสมร จะเสียมารยาทแบบนี้" ก็คนมาใหม่ไม่ได้ให้เกียรติเธอ แล้วทำไมจะต้องรักษามารยาทกับคนแบบนี้ "หึ.. แล้วอยากเจอฉันทำไม บอกสิ่งที่เธอต้องการมาดีกว่า" หมดแล้วสิ่งที่คิดไว้แต่แรก เรื่องความใจเย็นที่เลขาชาญพร่ำบอก นั่นเพราะน้ำเสียงอวดดีของสาวสวยตรงหน้า "ถ้าบอกแล้วพี่ตรีจะตามใจใช่มั้ยคะ" มินตรายังยียวนไม่หยุด จนตรีประดับเริ่มหงุดหงิด "ทำหน้าแบบนี้คงไม่ตามใจแน่เลย" และยังคงกวนประสาทไม่หยุด "ปกติฉันอยู่กับคู่เดทไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ" เริ่มกอดอก "แต่เธอ ฉันเว้นให้ เป็นกรณีพิเศษ ต้องการอะไรก็พูดมาตามตรง" นั่นเพราะอยู่ๆ คำพูดของเลขาชาญดันเข้ามาในหัวเสียอย่างงั้น "เป็นเกียรติจังเลยนะคะ" บอกพลางยิ้มออกมาน้อยๆ "แต่ถ้าจะให้ดี พี่ตรีช่วยอยู่ทานอาหารกับมิ้นท์ก่อน" รอยยิ้มน้อยๆ แบบนี้แหละ ที่เหล่าแฟนคลับหลงใหลและมั่นใจว่าคนตรงหน้าจะต้องเคลิบเคลิ้ม "ได้ แต่เธอ ต้องห้ามเรียก ฉันว่าพี่ตรีอีก เพราะเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น" กอดอกบอกอย่างเอาเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่ารอยยิ้มพิฆาตของมินตรา ใช้ไม่ได้ผลกับตรีประดับ "ก็ได้ค่ะ งั้นเรียกว่า คุณตรี แบบนี้พอใจใช่มั้ยคะ" ถามออกมาอย่างงอนๆ "อืม" อาหารเริ่มทยอยเสิร์ฟ ต่างคนต่างทานโดยไม่พูดคุย แต่ตรีประดับเองก็แอบลอบมองดาราสาวสวยเป็นระยะ เพราะหล่อนมีพลังทำลายล้างสูงจนไม่อาจก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเดียวได้ แต่คนอย่างตรีประดับไม่มีทางแสดงท่าทีสนใจออกมาแน่นอน ยิ่งเป็นคนที่แม่ตั้งใจหาให้ เรื่องแบบนี้เธอควรตัดสินใจด้วยตนเอง แต่ ก็หยุดแอบมองคนตรงข้ามไม่ได้อยู่ดี ท่าทางกิริยามารยาทยิ่งน่าชื่นชม นั่นคงเพราะชาติตระกูล แถมวงหน้าที่สวยแตกต่างจากใครๆ ที่เคยพบเจอ ไม่ใช่ว่าตรีประดับไม่เคยเจอคนสวย แต่มินตราช่างไร้ที่ติ ผิวพรรณและผิวหน้าที่ขาวใสแบบมีเลือดฝาด เป็นธรรมชาติน่าอิจฉา เพราะใบหน้าที่ปราศจาคเครื่องสำอาง ช่างแตกต่างกับเธอ ถ้าจะให้ออกจากบ้านด้วยสภาพใบหน้าที่เปลือยเปล่าแบบนั้น คงดูไม่ได้แน่นอน "คุณตรีคะ คุณตรีคะ คุณตรี" เสียงมินตราทำให้ตรีประดับหลุดจากภวังค์ "มีอะไรติดหน้ามิ้นท์เหรอคะ" นั่นเพราะถูกจ้องนานเกินไป จนต้องถามออกมา "สายตาสั้นเหรอ" อยากจะตบปากตัวเอง ก็เธอดันถามออกไป อย่างที่ใจคิด นั่นเพราะรู้สึกขัดใจกับแว่นตาอันใหญ่บนหน้าคนตรงข้าม "ใช่ค่ะ" ตอบแค่นั้นก่อนจะรวบเก็บช้อนส้อม "เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ" เธอเองไม่อยากเสียเวลา "ว่ามาสิ" ตรีประดับเองก็อยากจะกลับแล้วเต็มทน "มิ้นท์อยากแต่งงานกับคุณค่ะ" "หะ! " อุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะถามย้ำอีกอย่างอารมณ์ดี "พูดตลกอะไรเนี่ย" ไม่มีเหตุผลสักนิด ที่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งเดียวจะอยากแต่งงานกัน แถมหล่อนยังเพียบพร้อมแล้วทุกอย่าง และอีกหนึ่งอย่างที่ชัดเจนคือ ท่าทางตรีประดับ ที่ไม่ได้แสดงออกว่าสนใจหล่อนเลยสักนิด "มิ้นท์พูดจริงค่ะ" อยู่ๆ สีหน้ายียวนของมินตราก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา "ฉันชอบความมั่นใจของเธอนะ" พูดพลางหยิบผ้าคลุมบนตักวางไว้บนโต๊ะ แสดงออกชัดเจนว่าจะต้องลากลับ "แต่เราเพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว และคงจะเป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีทางที่ฉันจะแต่งงานกับเธอ" "ไม่ค่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน นึกดีๆ สิคะ" มินตราวางผ้าคลุมบนโต๊ะบ้าง "และเราจะต้องได้แต่งงานกันค่ะพี่ตรี" พูดเพียงแค่นั้นก็ชิงลุกออกจากโต๊ะไปก่อน ทิ้งให้ตรีประดับนั่งทบทวนกับคำพูดของมินตรา "ไม่ได้เจอกันครั้งแรกงั้นเหรอ" ตรีประดับเปรยออกมา คิ้วขมวดจนแทบชิดติดกัน พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก แต่จะเป็นไปได้เหรอ อย่างตรีประดับ จะลืมคนสวยๆ แบบนั้นได้ลง ต่อสายหาเลขาชาญชัย ก็อยากจะรู้ประวัติของมินตราสักหน่อย เผื่อจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD