เกือบสัปดาห์หลังจากวันที่นิราได้นามบัตรจากเลขาชาญชัย เธอก็เอาแต่คิดไม่ตก จะบอกพี่ชายดีมั้ย อีกนัยหนึ่งหากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก็กลัวว่าพี่ชายอาจจะเดือดร้อน ก็ดันไปติดหนี้ท่านประธานไว้ มีหรือว่าตรีประดับจะไม่ราวี
"เล็ก" เสียงเรียกออกจากปากฟรัง
"คะ พี่ฟรัง"
หล่อนขยับเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามนิรา "คุยกับท่านประธานหรือยัง ใกล้ถึงกำหนดส่งงานแล้วนะ"
"อ้อ เล็กลืมไปเลยค่ะ" เธอลืมจริงๆ กับงานที่ได้รับมอบหมายเพราะเอาแต่คิดเรื่องพี่ชาย จึงบอกออกไปอย่างไม่ปิดบัง
"ช่วงนี้ไม่ได้เจอท่านประธานเหรอ" ถามออกมาด้วยสีหน้าอยากรู้ แม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจที่นิราดันลืมเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่กล้าว่ากล่าว เพราะกลัวจะทำให้เด็กสาวไม่พอใจ
"ก็ ค่ะ" ทำไมจะไม่ได้เจอ เธอบังเอิญสวนกับตรีประดับออกบ่อย
"เล็กรู้มั้ย กว่าพวกพี่จะมาถึงจุดนี้ได้ พวกพี่ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย กว่าท่านประธานจะยอมรับ นั่นเพราะ พวกพี่ไม่ยอมให้มีจุดผิดพลาดปล่อยไปสู่สายตาคนดู" เธอเริ่มจับมือนิราอย่างจริงจัง "มันคือหัวใจของชาวคอนเทนต์ เล็กน่าจะรู้ดี"
"นะ ช่วยพี่หน่อยนะ" เธอย้ำบอกก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ห่างออกไปเพื่อกลับไปทำงานต่อ
ตอนนี้กลายเป็นว่า เธอดันมีเรื่องให้ต้องคิดเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง แถมยังน่าหนักใจกว่าเรื่องของพี่ชาย
ตรีประดับนัดเจอกับมินตราอีกครั้งเพราะอยากรู้เรื่องราวที่ค้างคาใจ
"ครั้งที่สอง" มินตราเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส แต่คนฟังรู้ดีว่าหล่อนตั้งใจจะเย้ยกัน เพราะครั้งก่อน เธออุส่า มั่นใจว่าจะไม่เจอกันอีก แต่คราวนี้ ดันเป็นตรีประดับเองที่ขอนัดเจอ
"เราเคยเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่" ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรีประดับภามสิ่งที่อยากรู้ทันที เพราะไม่อยากเสียเวลา
"ไม่เห็นต้องใจร้อนเลยค่ะคุณตรี" พูดพลางเดินไปทั่ว โดยไม่สนใจคนด้านหลัง
ตรีประดับยังคงเดินดักหน้าดักหลังเพื่อคาดคั้นหล่อน "ฉันไม่มีเวลามาก รีบตอบมา"
"ซื้อรูปนี้ให้มิ้นท์สิคะ" มินตราชี้ไปที่รูปวาดขนาดใหญ่เบื้อหน้า แน่นอนว่าเธอรับนัดอย่างไม่ต้องคิด และเลือกแกลลอรี่ในการพบเจอ
"ถ้าซื้อ เธอจะบอกใช่มั้ย"
"ค่ะ แต่จะบอกเฉพาะที่มินท์อยากให้คุณรู้"
ตรีประดับจึงเริ่มใช้ความคิด และเดินตรงไปที่ป้ายราคา ดูชื่อศิลปินที่วาด 'เจ็ดแสนถ้วน' ราคาภาพ เพื่อแลกกับสิ่งที่มินตรอยากบอกให้เธอรู้
"งั้น คิดซะว่าที่ฉันพูดไป เธอไม่ได้ยินก็แล้วกัน" แน่นอน เธอว่ามันไม่คุ้ม กับสิ่งที่จะได้รับ "และหวังว่าเราจะไม่เจอกันอีก" ตรีประดับเดินหนี
"เดี๋ยวค่ะ!" มินตราร้องเรียก เธอไม่เคยถูกใครเมินแบบนี้ "เราควรรู้จักกันมากกว่านี้"
"ฉันไม่อยากรู้จักเธอ" นั่นเพราะส่วนหนึ่ง มินตราคือคนที่แม่แนะนำ
"ทำไมคะ มิ้นท์ไม่ดีตรงไหน"
"ฉัน ไม่ชอบ คบค้าสมาคม กับพวกเต้นกินรำกิน" พูดแค่นั้น ก่อนจะทิ้งมินตราให้ยืนอึ้งอยู่ลำพัง กำมือแน่น
"มิ้นท์ไม่มีทางปล่อยพี่ไปค่ะ" เธอดอทนรอมาหลายปีเพื่อจะเจอกับตรีประดับอีกครั้ง ดังนั้น เธอจะทำทุกวิถีทาง เพื่อจะได้เคียงคู่กับคนที่หมายปอง
นิราเดินเคียงคู่ธีระจากภายในโรงแรมมาถึงหน้าป้ายรถเมล์ ทั้งคู่เดินกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน
"เป็นอะไรหรือเปล่าเล็ก" การนั่งคุยกันที่ป้ายรถเมล์ก่อนแยกกันกลับบ้านคือสิ่งที่ทั้งคู่ทำด้วยกันเป็นประจำ จนบางครั้งก็ล่วงเลยเวลาเกือบค่ำ
"กลุ้มอะ" บอกออกมาตามตรงพร้อมตีหน้าบูด
ธีระอมยิ้ม เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา นิราไม่เคยบ่นอะไรแบบนี้ เขามักจะได้พลังบวกจากเธอมากกว่า "มีอะไร เล่าให้ธีฟังได้นะ"
"อ๋อ ไม่มีหรอก" นิราปรับสีหน้าเป็นปกติทันที ไม่อยากให้เพื่อนเครียดตามไปด้วย และเปลี่ยนเรื่องคุยทันที "เล็กว่า วันหยุดนี้จะกลับบ้าน"
"เห้ย จริงดิ แต่เสาร์นี้เราไม่ว่างอะดิ" เขาบ่นออกมาอย่างเสียดาย "อดได้กินลูกชิ้นที่บ้านเล็กเลย"
"งั้นเดี๋ยวเล็กเอามาฝาก" บอกปนเขำกับท่าทางเห็นแก่กินของเพื่อน เขามักเป็นแขกขาประจำตามติดนิรากลับบ้านต่างจังหวัดด้วย
กว่าที่ทั้งคู่จะแยกย้ายก็เย็นย่ำ เพราะคุยกันจนติดลม ธีระโบกไม้โบกมือร่ำลาเพื่อนขณะกระโดดขึ้นรถเมล์
ต่างคนต่างกลับ ขึ้นรถเมล์คนละคัน เพราะพักกันคนละที่ สายรถเมล์ของธีระมีไม่บ่อย รอบนี้เขาจึงได้กลับก่อน ส่วนของนิราที่วิ่งตลอดทั้งคืน เธอจึงไม่กังวล นั่งรอรถเมล์ต่ออย่างใจเย็น
"ออกรถเลยมั้ยครับ" สารถีกลั้นใจถาม เพราะเห็นว่ารถหลายคันเริ่มบีบแตรไล่ ก็ตรีประดับสั่งให้เขาจอดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
เธอจึงตัดสินใจเปิดประตูและเดินลงจากรถ ทิ้งให้เขางงงวย จากสถานการณ์ที่บีบคั้น และเจ้านายผู้สั่งการดันทิ้งไว้กลางทาง เขาจึงเคลื่อนรถไปหาที่จอดไกลๆ
ตรีประดับเดินปรี่ไปที่ป้ายรถเมล์ เพราะคาใจหลายเรื่อง จึงอยากจะคุยกับนิรา แต่ไม่ทันได้ส่งเสียงเรียก เด็กสาวก็รีบเดินขึ้นรถเมล์ทันที ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้ขึ้น ทิ้งให้เธอยืนเหวอ แถมยังถูกคนที่รอรถเมล์พุ่งชนจนเซเพราะแย่งกันขึ้น
"ไปมั้ยเจ๊" กระเป๋ารถเมล์ด้วยความรำคาญ เพราะหล่อนไม่ก้าวขึ้นเหมือนคนอื่นๆ แถมยังไม่ถอยหนีไปทางอื่น เอาแต่ยืนขวางหน้าประตู
เธอจึงไม่มีทางเลือก และก้าวขึ้นรถเมล์อย่างทุลักทุเล เพราะไม่กล้าจับราว เอาแต่ยืนกอดอก พยายามไม่ให้เสื้อผ้าและเนื้อตัวโดนสิ่งใดบนรถเมล์ แถมยังทำท่ารังเกียจกับทุกอย่างที่เห็น
"ว้าย" ตรีประดับร้องเสียงหลงตัวไถลไปด้านหลังอย่างไม่อาจทรงตัวได้ แต่โชคดีที่เธอคว้าจับเบาะนั่งไว้ได้ จึงไม่ล้มไปกอง แต่ทุกสายตาก็จับจ้องมาทางเธอ ด้วยความตำตนิ บ้างก็แอบสะใจ เพราะท่าทางตรีประดับช่างหน้าหมั่นไส้
"ว้าย" เธอร้องอีกเมื่อรถเบรกแบบกระทันหัน พร้อมส่งสายตาไปตำหนิคนขับ
"นั่งสิอีหนู จะยืนทำไม" หญิงสูงอายุที่นั่งกอดกระเป๋าติดหน้าต่างบอกอย่างตัดรำคาญ ตรีประดับลังเลอยู่นิด ก็ตัดสินใจนั่งลงข้างผู้หญิงสูงอายุคนนั้น แต่ก็ด้วยท่าทางที่ไม่สบายนัก ไม่กล้าพิงพนักด้วยซ้ำ แต่สายตาก็กวาดมองหานิราไม่หยุด และก็เจอจนได้
"ลงไหนครับ" เสียงทักจากกระเป๋ารถเมล์ทำให้ตรีประดับต้องหยุดมองเด็กสาวและหันไปหาเขาแทนอย่างใช้ความคิด นั่นสิ จุดหมายปลายทางของเธอคือที่ไหน
"สุดทาง เท่าไหร่" ตัดสินใจบอกออกไป เพราะจะได้ไม่ต้องมีปัญหาหากลงระหว่างทาง
"สิบห้าบาทตลอดสาย" เขาเท้าสะเอวบอก
"แล้วจะถามทำไมว่าลงไหน" เริ่มหาเรื่องและลูบคลำกระเป๋าเสื้อและกางเกงเพื่อหาเงินจ่าย แต่ก็ต้องตกใจเพราะที่ตัวเธอไม่มีกระเป๋าติดมาด้วย นั่นหมายถึงเธอไม่มีเงินสักบาท ตรีประดับเริ่มหน้าซีดจนกระเป๋ารถเมล์สังเกตได้
"มีเงินมั้ยเนี่ย"
"ไม่มี" เธอตอบออกไปตรงๆ
"อะไรเนี่ยเจ๊ แต่งตัวก็ดี แต่ไม่มีเงิน เดี๋ยวป้ายหน้าลงเลยนะ" และอีกมากมายพรั่งพรูออกมา เขาต่อว่าไม่หยุดจนคนเริ่มหันมอง
ไม่รู้เพราะรำคาญหรืออย่างไร ผู้หญิงสูงอายุให้ความช่วยเหลือ "เดี๋ยวป้าจ่ายให้! " หล่อนควักเงินจ่าย กระเป๋ารถเมล์จึงหยุดบ่น
"ขอบคุณ" ตรีประดับบอกคนข้างๆ อย่างเสียไม่ได้ แต่ไม่ได้มีท่าทีซาบซึ้งใด
ขณะกลับบ้านเธอเห็นนิราและธีระทุกวันที่ป้ายรถเมล์ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกขัดใจ จนวันนี้ เธอให้คนขับรถจอดกะทันหันกลางทาง เพื่อแอบลอบดูปฏิกิริยาของเด็กสาว 'จะยิ้มทำไมนักหนา' ทั้งยังเอาแต่ตำหนิหล่อนเรื่องนี้ไม่หยุด ทีอยู่กับเธอ นิราก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่มองหน้า
ตรีประดับลุกขึ้นยืน เพราะเห็นว่าที่นั่งข้างเด็กสาวว่างแล้ว เธอใช้นิ้วจิ้มทีละเบาะแทนการใช้มือจับเพื่อทรงตัว แต่ไม่ทันจะถึงที่หมาย 'พลั่ก' ร่างเธอถลาลงพร้อมร้องเสียงหลง หน้าจิ้มไปที่เบาะนั่ง นั่นเพราะถูกคนด้านหลังกระแทกเต็มแรง ตรีประดับรีบพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล หันควับจะเอาเรื่องใครก็ตามที่บังอาจมาชนเธอให้ล้มคะมำแบบนี้ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า
รถเมล์เคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่เสียงร้องของใครบางคนทำให้ผู้โดยสารทั้งคันสะดุ้งตาม
"จอดๆ จอดก่อน ฉันจะลง" ตรีประดับโวยวายเสียงดัง "ฉันจะลงตรงนี้! " ร้องบอกอีกอย่างไม่อาย
"นี่มันนอกป้าย ไม่จอดหรอก" กระเป๋ารถเมล์รีบมาควบคุมสถานการณ์
"ฉันจะลงตรงนี้" พลางหันซ้ายหันขวา นั่นเพราะเข้าใจว่านิราลงไปแล้ว
"รอป้ายหน้าแล้วกันค่อยลง" เขาส่ายหน้า "นั่งเถอะเจ๊ ผู้โดยสารคนอื่นเขาแตกตื่นกันหมดแล้ว" บ่นแค้นั้นก่อนจะเดินไปหาที่นั่งของตนเอง
"ท่านประธานคะ"
ตรีประดับหันควับ "เธอ! " ส่งเสียงเรียกทันที เพราะคนที่เข้าใจว่าลงไปแล้วยังคงอยู่ และกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
"ท่านประธานจะไปไหนเหรอคะ" เมื่อนั่งเคียงคู่กัน นิราก็ตัดสินใจถามออกไปอย่างอยากรู้ เพราะไม่คิดว่าคนอย่างตรีประดับจะใช้รถสาธารณะแบบเธอ
"ฉัน ต้องไปทำธุระ"
"เหรอคะ" พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ "แล้วลงตรงไหนเหรอคะ"
"เธอล่ะ บ้านอยู่แถวไหน" เลี่ยงที่จะตอบ จึงถามออกไปแทน
"ป้ายหน้าก็ลงแล้วค่ะ"
"เหมือนกันเลย ฉันก็ลงป้ายหน้า" บอกอย่างโล่งอก
'เอี้ยดด' เสียงเบรกดังสนั่น
"เจ๊! ลงได้แล้ว" เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนลั่น เขาจงใจบอกตรีประดับ ผู้โดยสารเรื่องเยอะ
เธอได้แต่เจ็บใจ แต่ก็ลุกยืนและพยายามทรงตัวบนรองเท้าส้นสูง นั่นเพราะได้ยินเสียงเร่งเครื่องเป็นระยะ มันน่าหงุดหงิดใจ แต่เธอจะทำอะไรได้เล่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอสามารถเหวี่ยงวีนได้
นิราเห็นว่าคนที่เดินตามหลังท่าทางแปลกๆ "จับแขนดิฉันไว้ก็ได้ค่ะ" บอกพร้อมยื่นแขนให้ตรีประดับเกาะ เธอจึงรับความหวังดีเกาะเกี่ยวแขนเด็กสาวตัวเล็กแน่นและเบียดตัวใกล้กว่าเดิม
"อุ้ย" ตรีประดับร้องออกมา พร้อมตีสีหน้าไม่พอใจอีกครั้ง เพราะขณะที่ผู้โดยสารกำลังเบียดเสียดแย่งกันลงรถ เธอดันรู้สึกเหมือนถูกจับก้น แต่พอหันไปกลับไม่มีใครน่าสงสัย เธออาจจะระแวงมากไป
เมื่อลงมาถึงด้านล่างหน้าป้ายรถเมล์ "เราแยกกันตรงนี้นะคะ" นิราบอก แต่เมื่อตรีประดับยังยืนนิ่ง เธอจึงค่อยๆ ขยับออกห่างทีละก้าว และเดินจากไปโดยไม่หันมามองและไม่คิดอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเจ้านาย
ฟ้าเริ่มมืด นิราเดินเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ระยะทางเดินเท้าไม่ไกลนัก ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าตึกเก่าๆ หกชั้น ด้านล่างเป็นร้ายขายของชำ ร้านซักรีด ร้านอาหารตามสั่ง และร้านบะหมี่ที่กำลังเตรียมเปิดร้าน เสียงทักทายของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าดังเป็นระยะๆ ที่ได้พบเจอนิรา นั่นเพราะเด็กสาวที่พักอาศัยที่นี่มาหลายปี
นิราอยู่ชั้นหก การขึ้นลงด้วยบันไดเป็นเรื่องปกติ เพราะที่นี่ไม่มีลิฟท์ แต่มันไม่ใช่อุปสรรคของการพักอาศัย ผู้คนที่นี่ไม่มีใครโวยวายหรือเรียกร้องเครื่องอำนวยความสะดวก เพราะราคาที่ถูกแสนถูก และกฎระเบียบที่ไม่ได้เคร่งครัด แถมทุกชีวิตยังอยู่ด้วยกันอย่างเป็นมิตร
"อะไรเนี่ย นี่เธออยู่ที่แบบนี้งั้นเหรอ" ตรีประดับเท้าสะเอว ยืนมองตึกเก่าๆ อย่างอ่อนใจ ก็แอบเดินตามมาเงียบๆ ทั้งร้อน และไกล จนอยากจะกรี้ด แต่ก็อยากจะรู้สภาพความเป็นอยู่ของนิรา
ตรีประดับเริ่มหันมองรอบกาย เพื่อหาสิ่งที่พอจะอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง อย่างน้อยก็ที่นั่งรับรอง แต่เธอคงคาดหวังมากไปกับสภานที่แบบนี้ สายตากวาดเจอกับเก้าอี้เก่าๆ หน้าทางขึ้นตึก
"ฉันไม่มีทางเข้าไปในสถานที่แบบนั้นเด็ดขาด" กอดอกบอกกับตัวเอง
'แปะ แปะ แปะ' น้ำในเม็ดใหญ่ค่อยๆ ร่วงลงจากฟ้า ปะทะร่างกายตรีประดับ
"ไม่ ไม่มีทาง" บอกกับตัวเอง แต่ยืนตากฝนอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบวิ่งหาที่กำบัง
เพื่อรอคนขับรถ ไม่ว่าเธอจะไปที่ใดก็ตาม สารถีก็จะมารับเธอถูกตำแหน่ง นั่นเพราะนาฬิกาที่สวมใส่ บอกพิกัด แต่รอบนี้ดูจะลำบากเสียหน่อย เพราะไม่ได้เตรียมตัว และไม่คิดว่าจะเป็นสถานที่แบบนี้
เธอยืนหลบฝนอยู่ข้างเก้าอี้ที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่มีทางนั่งมันเด็ดขาด แต่สักพักก็ค่อยๆ ขยับกายไปใกล้ และนั่งลงอย่างจำยอม นั่นเพราะเธอไม่อาจยืนอยู่ได้ตลอด เริ่มรู้สึกปวดเมื่อย
สายตาและจมูก กำลังให้ความสนใจกับร้านบะหมี่ จนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ แต่ก็ต้องสะบัดศีรษะแรงๆ "ไม่ ไม่กิน" อาหารแบบนั้นใครจะกินลง แต่มันก็เย้ายวนใจจนไม่อาจละสายตาได้ จนเริ่มมีน้ำโห
พาลดุด่าคนขับรถในใจ เขาไม่เคยห่างเธอนานขนาดนี้ เวลานี้เธอควรก้าวขึ้นนั่งอยู่ภายในรถประจำตำแหน่ง ไม่ใช่มานั่งหมดอาลัยอยู่หน้าหอพักเก่าๆ แบบนี้
นั่นเป็นเพราะนิราแท้ๆ เด็กสาวทิ้งเธอหน้าป้ายรถเมล์ เธอถึงตกยากขนาดนี้
หากเป็นคนปกติ มันไม่ได้ทุกข์ยากขนาดนั้น แต่เพราะเป็นตรีประดับ ที่ไม่เคยเจอวิถีชีวิตของคนทั่วไป เธอได้รับการปฏิบัติอย่างดีมาตั้งแต่เกิด จนถึงตอนนี้ เธอจึงหาที่ติได้ตลอดทาง
แต่คิดๆ ไป ก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนสายลับอยู่เหมือนกัน ในสถานกการณ์ตกยากของตนเองแบบนี้ อยู่ๆ ตรีประดับก็แอบยิ้มอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
"ท่านประธาน" เสียงนิราเรียกสติ ให้ตรีประดับต้องหันไปสนใจ
เด็กสาวที่อยู่ในชุดนอนสีชมพูลายการ์ตูน ในมือถือถุงผ้า และสวมแว่นตาหนาเตอะ
ตรีประดับยิ้มกว้างทันที อย่างน้อยในที่นี้ก็มีหนึ่งคนที่เธอรู้จัก และพอจะเป็นที่พึ่งได้ในเวลายากลำบากแบบนี้
"ทำไม ถึงอยู่ที่นี่คะ" ถามออกมาอย่างแปลกใจ
"ก็.."
"อ๋อ" อยู่ๆ นิราก็โพล่งขึ้นมาอย่างนึกได้ "ท่านประธานคงมาทำธุระแถวนี้" เธอจำได้ที่ตรีประดับบอก ก่อนจะแยกย้าย
"ใช่ๆ ฉัน มาทำธุระ จะกลับแล้วล่ะ รอคนขับรถ" บอกแบบนั้น ด้วยท่าทางที่ไม่เป็นตัวเอง
นิราพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ "งั้น ดิฉันไปก่อน นะคะ"
รอยยิ้มเปื้อนหวังของตรีประดับเมื่อครู่หุบลง มองตามหลังนิราที่เดินห่างออกไปหายไปในร้านขายของชำด้วยตาละห้อย ใช้เวลาไม่นานเด็กสาวก็เดินออกมา สังเกตเห็นในถุงผ้าตุงขึ้น แต่นิรายังไม่ยอมเดินกลับมาเสียที เดินตรงไปยังร้านบะหมี่ต่อ
คิ้วหนาๆ ของตรีประดับขมวดชนกัน "ลีลา" เธอกัดฟันบ่นออกมาเสียงไม่ดังนักอย่างขัดใจ เพราะนิราไม่สนใจเธอเลยสักนิด น้อยคนที่จะปฏิบัติกับเธอแบบนี้ แถมเมื่อตอนที่เด็กสาวเดินกลับมา ยังกล้าเดินผ่านเธอไปแบบที่ไม่สบสายตา
"นิรา!" ร้องเรียกอย่างเหลืออด