กว่าเนี่ยซวงจะกลับมาถึงจวนแม่ทัพก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว นางลงจากรถม้าให้สาวใช้ประคองกลับเข้ามาในจวน ระหว่างทางก็เสียงทัก
"พี่สะใภ้"
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นน้องชายสามี แต่นางคร้านจะจำว่าเขาชื่ออะไรจึงเพียงทักกลับ
"น้องรอง"
"ท่านกลับบ้านเดิมมาหรือ เหตุใดไม่เอารถม้าในจวนไปเล่า ข้าเพิ่งได้ยินว่าท่านว่าจ้างรถม้าไป อย่างไรท่านก็เป็นคนในครอบครัว อย่าเอาคำพูดของผู้อื่นมาทำให้ไม่สบายใจเลย"
เป็นครั้งแรกที่เนี่ยซวงได้ยินคำพูดรื่นหูจากคนในจวน แม้จะยังเวียนศีระษะอยู่บ้างแต่ก็พยายามฝืนมอง ยากนักจะรู้ว่าเขาจริงใจหรือไม่ แต่แสงจากโคมที่จุดไว้รายทางไม่สว่างนัก
"ขอบคุณน้องรอง ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาถึง ขอตัวไปพักผ่อน"
คล้อยหลังนางไปแล้วซ่งเหรินกำลังจะกลับเรือนตนกลับได้ยินเสียงเรียกจากเบื้องหลัง
"น้องรอง เจ้าไปไหนมาหรือ เหตุใดเพิ่งกลับจวนเอาป่านนี้"
ซ่งเหรินอายุเพิ่งครบสิบเก้า สอบผ่านเค่อจวี่ได้รับตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการขั้นหก ยามซ่งฉีหลินไปรบ ก็ได้คุณชายรองผู้นี้คอยดูแลบิดามารดา
"พี่ใหญ่ ข้าไปเหลาเทียนฝูมา หมู่นี้มีข่าวลือเกี่ยวกับจวนเราจึงแวะไปสอบถาม ปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ"
ซ่งฉีหลินพยักหน้า วันนั้นนอกจากจะจ่ายค่าอาหารให้นาง เขายังกำชับให้คนในร้านปิดปาก หากยังมีใครกล้าพูดไร้สาระก็แปลกแล้ว
"เรื่องไร้สาระ เจ้าอย่าใส่ใจเลยรีบไปพักผ่อนเถอะ"
ซ่งฉีหลินมองตามแผ่นหลังน้องชายที่เดินลับไป น้องรองเป็นคนจิตใจดี มักจะใจอ่อนกับผู้อื่นอยู่เสมอ เขาไม่อยากให้น้องชายเข้ามาพัวพันระหว่างเขากับสตรีผู้นั้น
เขาแวะไปที่เรือนอวิ๋นเหมยของหลิวอี๋เหนียง นั่งเล่นอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งจนถึงเวลาดับตะเกียงจึงเดินจากมาอย่างเงียบๆ ตอนที่ไปถึงเรือนเหลียนฟาง ทั่วทั้งเรือนมืดมิด ไม่มีแม้คนเฝ้าประตู ทุกครั้งเขาจะกระโดดข้ามกำแพงเรือนเข้าไป เสี่ยวซานได้ยินเสียงเคาะประตูเรือนก็มาเปิดประตู เห็นเป็นซ่งฉีหลินก็ทำใจกล้ายืนขวางไว้พลางเอ่ยตะกุกตะกัก
"ทะ..ท่านแม่ทัพได้โปรดเมตตา วันนี้ฮูหยินน้อยไม่สบายมาก...คงไม่อาจปรนนิบัติท่าน..."
ปกติเสี่ยวซานเป็นคนขี้ขลาด แต่นางสงสารฮูหยินน้อย แม้จะกลัวจนขาสั่นก็ยังบังคับตัวเองให้เอ่ยปากออกมาได้
เขาเพียงปรายตามองเสี่ยวซานแล้วเบี่ยงกายเดินผ่านไป นางสาวเท้าตามไปอย่างลังเล จนเขาปิดประตูห้องนอนของฮูหยินน้อยแล้วนางก็ยังยืนเฝ้าอยู่อย่างนั้น
พักใหญ่เห็นไม่มีเสียงใด เสี่ยวซานจึงค่อยกลับไปนอนในห้องข้าง
ในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา เขาได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอวลอยู่ในอากาศ เขาถอดเสื้อตัวนอกออกพาดไว้ มือหนาเลิกม่านหน้าเตียงขึ้นแล้วปีนขึ้นไป
มือหนาทาบลงบนใบหน้าเล็กจ้อย ผิวนวลร้อนจัด ที่หน้าผากยังมีผ้าประคบไว้ คงเป็นเสี่ยวซานที่เฝ้าไข้นาง เขาสอดกายลงนอนเคียงข้างใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน โอบแขนไปรอบเอวรั้งร่างนางเข้ามาใกล้ พอมีนางอยู่ในอกจึงจะค่อยรู้สึกว่าถูกต้อง
ฝ่ายเนี่ยซวงกลับรู้สึกร้อนจนอึดอัด ราวกับใครเอากระถางไฟมาซุกใต้ผ้าห่ม นางดิ้นหนีไปยังฟูกอีกด้านที่โล่งเย็นสบาย แต่กลับเหมือนมีอะไรมารั้งเอวบางไว้ แม้จะยังหลับแต่นางก็ยังกระฟัดกระเฟียดฟาดแขนไปโดนอะไรสักอย่าง ได้ยินเสียงดังเพี๊ยะก็ไม่สนใจ หลับตานอนต่ออย่างง่วงงุน
ซ่งฉีหลินโมโหจนแทบจะบีบคอนาง!
คนป่วยอะไรเอาแต่ดิ้นถีบผ้าห่ม มิหนำซ้ำพอเขาจับนางกลับมานอนกอดให้ความอบอุ่น นางกลับตบหน้าเขาเสียอีก!
ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงอย่างฉุนเฉียว หยิบเอาผ้าซับหน้าผากลงมาซักในอ่างให้คลายความร้อน จากนั้นก็พับแล้ววางทาบให้นางใหม่
คราวนี้นางหลับไปแล้ว เขาจึงกลับขึ้นไปนอนกอดไว้อีกครั้ง เสียงลมหายใจและกลิ่นกายของนางชวนให้ผ่อนคลาย เพียงไม่นานเขาก็เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งชั่วยามให้หลัง นางกำลังนอนดิ้นพลางละเมอ
"คอยดูเถอะ...$!@#*/...ซ่งฉีหลิน...#$@*#%..." ...จากนั้นก็กัดฟันกรอด...
ซ่งฉีหลินหัวเราะกับตัวเองในความมืด เขาฟังไม่ออกว่านางพูดว่าอะไร แต่กลับรู้สึกดีใจไม่น้อย
อย่างน้อยนางก็ยังฝันถึงเขา...
เดี๋ยวก่อน! เขาไม่ควรรู้สึกเช่นนี้!
ชายหนุ่มปรับอารมณ์ใหม่ พยายามใช้เหตุผลอธิบายกับตนเอง
เหตุใดเขาจึงทำอะไรแปลกๆ เช่นนี้ อย่างการมาเฝ้าไข้นาง
ไม่สิ! เขาไม่ได้มาเฝ้าไข้นางสักหน่อย แค่จะมาปลดปล่อยเหมือนเคยเท่านั้น แต่เห็นนางไม่สบาย ด้วยมโนสำนึกของคนทั่วไป ใครๆ ก็ทำเช่นนี้มิใช่หรือ
ใช่แล้ว...เขาแค่รู้สึกผิด
นางไม่สบายเพราะถูกเขาเคี่ยวกรำ ร่างกายของนางบอบบางขนาดนั้น...
พอซ่งฉีหลินหาเหตุผลให้กับตัวเองได้ก็ค่อยสบายใจ จึงนอนกอดนางแล้วหลับไป