วรางคณา ตกใจ ยอมรับว่า ไม่ค่อยมีสติจริงๆ ตั้งแต่กลับจากที่ทำงาน อาการเลื่อนลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งแต่เมื่อเที่ยง เรื่องที่ได้รับรู้มา ทำให้เธอมึนงง อาการเหมือนจะเป็นลม รู้สึกว่าตัวเองถอยหลังไปชนคน เสียงตะคอกดังขึ้น ทำให้วรางคณารู้สึกตัว รับรู้ได้ถึงมือใหญ่หนา ผลักแผ่นหลังของเธอเต็มแรง ทำให้ร่างของเธอผวามาด้านหน้าเต็มแรงผลักนั่น หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองนั่งทับกระจาดใส่ดอกบัว ของป้าที่เธอซื้อเป็นประจำ
“หนูเป็นยังไงมั่งลูก คนเราทำไมใจร้ายจัง ผลักมาได้ ” เสียงป้าที่ขายดอกบัวบ่นเสียงดัง และรีบมาช่วยพยุงวรางคณาให้ลุกขึ้น
“ขอบคุณค่ะป้า ขอโทษนะคะ”
“ซุ่มซ่าม ไม่ดูตาม้าตาเรือ ดูบ้างซิว่ามีใครบ้างอยู่ข้างหลัง นึกจะถอยก็ถอย บ้าจริงๆ”
เสียงที่ดังเกือบเป็นตะโกนนั่น ยิ่งทำให้วรางคณาตกใจ เสียงอยู่ตรงหน้า เธอเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวสูงใหญ่มาก สูงเกือบเท่าๆ กับน้องชายของเธอ ใส่แว่นดำ ผมยาวไม่เป็นระเบียบ ไว้หนวดดูรุงรัง เครายาว ใส่เสื้อยืดสีดำ ใส่กางเกงยีนต์ขายาว รองเท้าแตะหูหนีบ รอยจากรองเท้าส้นสูงของเธอ ที่จิกบนหลังเท้าเขาแดง มีเลือดซืมนิดหน่อย ผู้ชายคนนั้นใช้มือลูบที่หลังเท้าของตัวเองไปมา ดูหน้าเขาโมโหมาก ขนาดเขาเป็นคนผิวเข้ม คงเจ็บและโกรธ ทำให้หน้าเขายิ่งเข้มมากขึ้น
“เอ่อ....ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ เจ็บมากไหมคะ”
“ชุ่ย ยังจะมาถามอีก เลือดออกขนาดนี้ แดงขนาดนี้ ถามมาได้ว่าเจ็บไหม ไม่สวยแล้วยังเซ่อซ่า ซุ่มซ่ามอีก”
วรางคณา งง กับคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้าเธอ ถึงขนาดมาว่าฉันชุ่ยเหรอ แค่นี้เรียกว่าชุ่ยเหรอ
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่เห็นจริงๆ ค่ะว่า มีคนยืนอยู่ข้างหลัง “
“เงียบไปเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น “ถึงเขาจะใส่แว่น วรางคณาก็รู้ว่าสายตาเขาน่ากลัวมาก ดูท่าว่าจะโมโหมากด้วย
“ฉันขอโทษแล้วนะคะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่ได้มีตาหลังนะคะ ไม่ใช่แค่คุณที่เจ็บ ฉันก็เจ็บเหมือนกัน ทีคุณผลักฉันล้ม ฉันยังไม่ว่าคุณเลย คุณก็เจ็บ ฉันก็เจ็บ ก็หายกันแล้ว นี่ข้าวของฉันก็เสียหาย เจ็บตัวก็เจ็บ คุณแค่เจ็บหลังเท้าอย่างเดียว ทำเป็นมาด่าฉัน คิดว่าแมนเหรอ ด่าผู้หญิงในที่สาธารณะเนี้ย นิสัยไม่ดี ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย คนที่ควรเงียบ ก็คือคุณนั่นแหละ ไม่ใช่ฉัน ถอยไป”
วรางคณา สลัดแขนป้าที่พยุงเธอลุกออกไป เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเดินปรี่เข้ามาหา เธอออกแรงผลักคนตรงหน้าเต็มกำลังที่มีอยู่ จนผู้ชายคนนั้นถอยหลังออกไป ยังไม่พอเธอยังถอดรองเท้าส้นสูง เงื้อขึ้นเหนือหัว พร้อมฟาดเต็มที่ ถ้าเขาไม่หยุด
“เข้ามาซิ ฉันสู้ไม่ถอยเหมือนกัน นิสัยไม่ดี เป็นผู้ชายประสาอะไร ไม่แมน มาผลักฉันได้ยังไง“
"ปากดีนักนะ ผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิด เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร "
ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาหาวรางคณาอีกครั้ง หญิงสาวเงี้อมือที่มีรองเท้าส้นสูงไว้ ถ้าเขาเข้ามาทำร้ายเธอ เป็นได้เห็นดีกันแน่
ก่อนที่ทั้งสองคน จะมีปัญหากันมากกว่านี้ เสียงของวรวิทย์ก็ดังขึ้น เขาอยู่ข้างหลังวรางคณา
“พี่วอย เป็นอะไร จะทำอะไรพี่ พอแล้วพี่วอย พอแล้ว”
วรวิทย์มาทันเวลาพอดี ดีที่เขายกเลิกโอทีคืนนี้ มาทันได้เห็นว่า พี่สาวของเขา ทะเลาะกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ ท่าทางน่ากลัว ท่าที่พี่สาวเขาถือรองเท้าส้นสูงสีแดง พร้อมฟาดกับผู้ชายตัวสูงตรงหน้า นั่นทำให้วรวิทย์ตกใจมาก
“คุณพี่ครับผมขอโทษแทนพี่สาวด้วยนะครับ “วรวิทย์กมือไหว้ขอโทษ แล้วรีบดึงพี่สาว ให้ออกมาจากตรงนั้น คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เริ่มหยุดมอง ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปล่อยนะว่าน คนปากไม่ดี สมควรโดนแบบนี้ จะอะไรนักหนา ขอโทษก็ขอโทษแล้ว ไม่ยอมจบเอง พี่ก็เจ็บ ไม่ใช่ไอ้หนวดบ้านั่นเจ็บคนเดียวซะหน่อย ปล่อย ว่าน ฟังพี่ก่อน ปล่อย ว่านไม่เห็นเหรอว่าเขาจะทำร้ายพี่”
“พี่วอย ใจเย็นๆ เป็นอะไรเนี้ย ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย ใจเย็นๆนะพี่ คนมองเยอะแยะ กลับบ้านเถอะพี่วอย อายเขา จะค่ำแล้ว “
"มองก็มองซิ พี่ไม่ผิด พี่ไม่อาย ว่านไม่เห็นเหรอว่าเขาจะทำร้ายพี่ พี่ไม่ยอมหรอกนะ"
วรวิทย์ ทั้งดึงทั้งลากวรางคณา และรีบเก็บของที่หล่นกระจาย รวมถึงดอกบัว กระเป๋าสะพายของพี่สาวมาสะพายไว้เอง อีกมือถือของ อีกมือรีบจับแขนพี่สาวเอาไว้ เขาไม่เคยเห็นพี่สาวโกรธแบบระงับสติ และอารมณ์ของตัวเองไม่ได้แบบนี้ มานานมากแล้ว ปกติพี่สาวเขาเป็นคนใจเย็น
“ว่าน พอแล้วไม่ต้องลากแล้ว พี่เดินเองได้”
วรางคณาสะบัดมือ หันหน้าไปมองผู้ชายที่ด่าว่าเธอ ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เขายังยืนมองเธออยู่ที่เดิม
“หน้าตายังกับมหาโจร ตัวก็ใหญ่โต ปากยังเสียอีก ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย เจ็บนิดเจ็บหน่อยทำเป็นทนไม่ได้ ฉันนี่เจ็บมากกว่าคุณอีก ฉันยังไม่โวยวายเลย อย่ามาจ้องหน้าฉันนะ ผลักผู้หญิงทำไม คุณเจ็บเป็นคนเดียวรึไง ฉันไม่เจ็บเลยใช่ไหม ถูกคุณผลักล้มซะขนาดนี้
“พี่วอย เขาได้ยินนะพี่ ไปๆกลับบ้าน “ วรวิทย์ลากแขนพี่สาวให้เดินตามเข้าซอยเพื่อกลับบ้าน
“ปล่อยได้แล้วว่าน พี่เดินเองได้ เฮ้ย อารมณ์เสีย ทำไมช่วงนี้พี่ต้องมาเจอแต่พวกผู้ชายเฮงซวยนิสัยไม่ดีนะ”
“ใส่รองเท้าก่อนพี่ เดี๋ยวเหยียบกระเบื้อง" วรวิทย์หยิบรองเท้าแตะ ของพี่สาวที่อยู่ในกระเป่าผ้าใบใหญ่ ออกมาให้ แล้วเก็บรองเท้าส้นสูงเข้ากระเป๋าแทน ใสรองเท้าแตะแล้ว ทำให้วรางคณาเดินสะดวกมากขึ้น
“ขอบใจนะว่าน คิดดูว่าเขาผลักพี่แรงขนาดไหน เจ็บสะโพก เจ็บขาไปหมดเลย ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย แก่แล้วยังคิดไม่ได้อีก”
“เอาน่าพี่วอย แล้วก็แล้วกันไป ถือว่าฟาดเคราะห์นะพี่ รีบเดินเถอะ เดี๋ยวฝนตก”
“ทำไมพี่ต้องมาเจอ พวกผู้ชายเห็นแก่ตัวด้วยก็ไม่รู้ ซวยจริงๆเลย”
“เอาน่า เดี๋ยวเย็นนี้ว่านเลี้ยงเบียร์ จะได้สบายใจ วันนี้ว่านรวย ได้เงินจากค่าเขียนแบบมา เหลือจากเก็บและให้แม่แล้ว ว่านยังเหลือเลี้ยงเบียร์พี่วอยหลายลังเลยนะ พอแล้วไม่ต้องคิดแล้วพี่วอย ค่อยคุยกันที่บ้าน”
ธันวายืนมอง เด็กหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงนั่น เข้ามาคว้าแขนผู้หญิงร่างสูง ที่กำลังจะใช้รองเท้าส้นสูงฟาดเขาออกไป และขอโทษแทนพี่สาว พยามลากแขนพี่สาวให้เดินตามเข้าไปในซอย ถ้าเด็กหนุ่มนั่นมาช้าอีกนิดเดียว ยัยคนที่ชื่อวอยคนนั้น คงฟาดรองเท้าใส่เขาแน่นอน ดูท่าอารมณ์ร้อน ไม่ยอมคนเลย เขายอมรับว่าเจ็บจนลืมตัว เด็กบ้านั่นเล่นถอยมาเหยียบเท้าเขา ส้นรองเท้าที่สูง และแหลมจิกลงไปบนหลังเท้าเขาเต็มน้ำหนักของเด็กนั่น ตอนนี้เริ่มเขียวมีเลือดซึมออกมา แล้ววันนี้เขาทะลึ่งใส่รองเท้าแตะหูหนีบออกมา เสียเวลาจริงๆ เขาตั้งใจมาซื้อของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อ เด็กนั่นหน้าตาดีใช้ได้เลย เสียทีปากกล้าไปหน่อย ไม่น่ารัก เขาไม่ชอบ ใม่คิดว่าวันแรกที่มาดูที่ดิน จะทำให้เขาเจ็บตัว ฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว
“แปลกจัง วันนี้หนูวอย ทำไมดูอารมณ์ไม่ดี ปกติจะเป็นคนใจเย็น ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้ “ เสียงป้าที่ขายดอกบัวบ่นดังๆขึ้นมา เหมือนอยากให้เขาได้ยิน ธันวาเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ได้ของที่ต้องการ เขารีบกลับออกไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ยังนึกโมโหเด็กคนนั้นไม่หาย ท่าทางที่เงื้อรองเท้าส้นสูงสีแดง เตรียมฟาดเขาเต็มที่นั่น น่าเกลียดจริงๆ
ธันวา ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ เขาเป็นเจ้าของโรงแรมที่เพิ่งมาสร้างใหม่ ในซอยแห่งนี้ วันนี้เขามาดูที่ดิน สำหรับสร้างโรงแรมแห่งใหม่ เป็นของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับครอบครัว บ้านเขาทำธุรกิจโรงแรม และห้างสรรพสินค้า นิสัยส่วนตัวไม่ค่อยสนโลกสักเท่าไหร่ เรื่องงานเขาจะอยู่เบื้องหลังมากกว่า ปล่อยให้น้องสาวออกหน้าแทน นิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ใจร้อน ไม่สนโลก เขายังคงรักษามันไว้กับตัวตลอดเวลา โลกส่วนตัวสูงหน้าตาจริงๆ ของเขา หล่อทีเดียว จมูกโด่ง ตาคม ริมฝีปากบางเฉียบ หนวด เครานั่น ทำให้หน้าเขาดุ ที่สำคัญเขาโสด หวงความโสดมาก
ไม่เคยมีใคร มาแสดงกิริยาแบบนี้กับเขามาก่อน เด็กคนนี้ไม่รู้จักเขา แต่ก็ใจกล้าน่าดู ท่าทางไม่ยอมคนเลย ธันวาขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอย ข้างหน้าเขา สองพี่น้องนั่น ที่เพิ่งมีเรื่องกับเขาเมื่อกี้ เดินเลี้ยวเข้าซอย นั่นมันซอยเดียวกับที่เขามาซื้อบ้านไว้นี่นา ดูท่าว่าเด็กนั่น เดินขากะเผลก จากปากซอยเข้ามาประมาณ สองถึงสามร้อยเมตร เขาหยุดรถรอดู ว่าสองพี่น้องจะเข้าบ้านหลังไหน บังเอิญอะไรขนาดนั้น บ้านเด็กสองคนนั่น อยู่ติดตึกที่เขาซื้อเลย ธันวารู้สึกหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น จากที่เป็นอยู่ เขาเลี้ยวรถเข้าบ้าน หลังจากที่คู่กรณีของเขาเข้าบ้านไปแล้ว
“ย่าครับ รอนานไหม ขอโทษนะครับ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย เลยช้า”
“ไม่เป็นไรหรอก ย่าไม่ได้รีบอะไร ย่าทำกับข้าวไว้ให้แล้ว ถ้าหิวก็กินได้เลย “
"แล้วทำไมเดินแบบนั้น เจ็บขารึเปล่าลูก"
"ครับย่า แต่ไม่เป็นไรครับเดียวก็หาย เหงาไหมครับย่า มาอยู่ที่นี่ “
“ไม่เหงาหรอกลูก ดีกว่าอยู่ที่บ้านเก่าอีกนะ ย่าชอบที่นี่ยังดูธรรมชาติมาก ที่สำคัญนะ มีสวนผักอยู่ใกล้บ้านด้วย “
“นี่อย่าบอกนะครับย่า ว่านั่งดูบ้านสวนผักนั่นทั้งวัน”
“มันเขียวดี ย่าชอบ ดูท่าว่าเขาไม่ใช้สารเคมีเลยนะ เห็นผู้หญิงสูงอายุทำอยู่คนเดียว ลูกหลานไปไหนหมดก็ไม่รู้”
ธันวาเดินมายืนตรงที่ย่าเขานั่ง บ้านหลังนี้เป็นตึก 3 ชั้น เขาซื้อจากเจ้าของเก่าที่ร้อนเงิน ซื้อไว้นานมากแล้ว แต่ไม่เคยมาดู จนกระทั่งมีความคิดว่าจะสร้างโรงแรมเพิ่ม ฝั่งขวาของตึกเขาซื้อแล้ว ได้ราคาดีทีเดียว เหลือฝั่งซ้ายที่เป็นสวนผัก นี่อย่าบอกนะว่าบ้านในสวนผัก เป็นบ้านของสองพี่น้อง ธันวา มองลอดบานเกร็ดออกไป เห็นแปลงผักสีเขียว ผักผลไม้เต็มไปหมด ตัวบ้านปลูกชิดริมกำแพงฝั่งโน้น เป็นบ้านทรงทันสมัยหลังกะทัดรัด ตรงกลางมีสระน้ำ น่าจะเลี้ยงปลา มีแปลงผักเต็มไปหมด พื้นที่น่าจะประมาณ สี่หรือห้าไร่ได้ ที่ดินเป็นสี่เหลี่ยมสวยทีเดียว บ้านหลังน้อย เริ่มมีแสงไฟแล้ว เขาเห็นหญิงสูงอายุเดินไปมา เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าน ออกมารดน้ำผัก ไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้น
“ธันวาลูก ช่วยทุบตรงนี้ออกเป็นประตูให้ย่าหน่อยได้ไหม ย่าอยากไปเดินชมสวนผักบ้านข้างๆสักหน่อย เห็นแล้วสบายตาสบายใจ”
“ต้องทุบกำแพงเลยนะครับย่า”ชายหนุ่มตกใจกับ คำพูดของหญิงชราผู้เป็นย่าของเขา
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ย่าจ่ายให้ก็ได้ ไม่มีปัญหาหรอก หรือหลานมีปัญหา”
“ผมไม่กล้ามีปัญหากับย่าหรอกครับ ใครจะกล้า ตกลงครับ อีกสองสามวันผมจัดการให้ ขอหาช่างก่อนนะครับย่า”
“ดี ให้มันได้อย่างนี้ซิ หลานย่า แล้วนี่ไม่กินข้าวก่อนรึไง จะดื่มเลยรึ”
“กินข้าวก่อนก็ได้ครับ แล้วเดี๋ยวผมขึ้นข้างบนเลยนะครับย่า “
“กินข้าวอิ่มแล้วจะทำอะไร ก็ตามใจเถอะ นี่ถ้าย่าไม่ทำกับข้าวให้กิน ก็คงไม่กินใช่ไหม กินแล้วมันดีตรงไหนเหล้าเนี้ย”
สามทุ่มแล้ว ธันวายังนั่งดื่มอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสอง ชั้นสามเขาทำเป็นห้องออกกำลังกาย เขาไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ อยู่ๆ ย่าเขาก็ขอร้องให้พามาอยู่ที่นี่ ทุกคนค่อนข้างงง ปกติคนแก่จะอยู่ติดบ้าน บ้านใหญ่ที่มี่พ่อ แม่ น้องสาว ตัวเขา แล้วก็ย่า อยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิด เขาเป็นหลานรัก ย่าเป็นคนเลี้ยงเขามาตั้งแต่เขาเกิด พ่อกับแม่เขาทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว พอพ่อกับแม่มั่นคงแล้ว เขากลับติดย่ามากกว่าติด พ่อกับแม่
โรงแรมของครอบครัวเขาอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ และตรงนี้เขาหมายตาไว้ว่าจะสร้างโรงแรมใหม่ ครั้งแรกเขาพาย่ามาดูที่ดินที่เขาซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขา ไม่ได้ขอพ่อกับแม่เลย ย่าเขาชอบเฉย ร่ำร้องมานานให้เขาพามาอยู่ที่นี่ เขาเพิ่งย้ายมาไม่ถึงเดือน อยู่กับย่าสองคน ดูท่านสดชื่น ดีใจที่ท่านชอบ เขารีโนเวทห้องข้างล่างให้ย่าอยู่อย่างสะดวกสบาย ส่วนตัวเขาอยู่ชั้นสอง และชั้นสาม
ธันว่าไม่ได้เปิดไฟในห้อง เขานั่งดื่มอยู่คนเดียว ดูงานในคอมพ์ไปด้วย อดที่จะมองไปที่บ้านหลังนั้นไม่ได้ จุดที่เขานั่ง มองเห็นบ้านนั้นชัดมาก แสงไฟภายในบ้าน สว่าง เห็นเด็กหนุ่มนั่นเดินไปมา มีหญิงสูงอายุ เดินไปเดินมาเช่นกัน เขาพยายามมองหาเด็กผู้หญิงคนนั้น คงอยู่ตรงไหนสักแห่งในบ้าน
สองทุ่มกว่า เขาเห็นเด็กหนุ่ม ออกมาเปิดไฟหลังบ้าน ตรงนั้นมีร่มเหมือนร่มทางภาคเหนือตั้งอยู่ ประดับไฟ หญิงสูงวัยน่าจะเป็นแม่ ยกถ้วยจานออกมาวางที่โต๊ะ เด็กหนุ่มพยุงพี่สาว ออกมาจากด้านในบ้าน พามานั่งที่เก้าอี้ไม้ เด็กผู้หญิงคนนั้น ยกขาขึ้นสูงวางลงบนเก้าอี้อีกตัว อยู่ในท่าเอนหลัง เรียกว่าเกือบนอนเลยก็ได้ เด็กหนุ่มคนน้องนั่น ชงน้ำอะไรสักอย่าง ให้พี่สาว
ธันวายกกล้องส่องทางไกล ตั้งใจดูคนในกล้อง เขาชอบกล้องนี้จังเลย มันชัดมาก เด็กผู้หญิงคนนั้น หน้าสวยทีเดียว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง เมื่อเย็นเขาไม่ทันได้สังเกต แต่ก็รู้ว่าหน้าตาดี ไม่น่าเชื่อว่า เขาจะนั่งอยู่ตรงนั้นจนเกือบสี่ทุ่ม หญิงสูงวัย ลุกไปก่อนแล้ว เหลือสองพี่น้อง เด็กว่านเก็บถ้วยจาน ขวดแก้ว สักพักมาช่วยพยุงพี่สาวเดินเข้าบ้าน สี่ทุ่มครึ่งไฟในบ้านหลังนั้นก็ปิดลง เหลือไว้เพียงไฟส่วนหน้าบ้าน และริมกำแพงบริเวณที่เป็นสวนผัก
รอบบ้านหลังนั้น มีต้นกล้วย ต้นจำปี มะพร้าว น่าจะเป็นมะพร้าวน้ำหอม ต้นเตี้ยๆ แต่ลูกดกมาก ต้นอะไรต่ออะไรมากมาย เขารู้จักต้นไม้ไม่เยอะหรอก รู้แค่บางอย่าง พื้นที่ตรงกลาง เป็นแปลงผักหลากหลาย มองแล้วสบายตา ไม่แปลกใจเลยที่ย่าเขาชอบ
ธันวา นั่งทำงานเกือบเที่ยงคืนดื่มไปด้วย เขาลุกขึ้นรูดม่านหน้าต่างหนาทึบ เปิดโคมไฟ นั่งดื่มต่ออยู่อย่างนั้น รู้สึกว่าเจ็บหลังเท้ามาก ดูเหมือนว่ามันเริ่มบวมขึ้นมาก และเริ่มปวดนิดหน่อย พอเจ็บขึ้นมาก็นึกถึงหน้าคนที่ทำให้เขาเจ็บ หน้าตาไม่ยอมคน กับท่าทางไม่กลัวคนของเด็กนั่น แววตาเด็ดเดี่ยวมาก ขนาดเขาว่าเขาหน้าตาน่ากลัว เด็กนั่นยังไม่กล้วเขาเลย ไม่รู้ไปโมโหอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า คิดไปคิดมา เขาก็ผิดที่เผลอไปผลักเด็กนั่นล้ม และพูดไม่ดีก่อน จริงๆ เขาก็ใจร้อน ไม่ควรไปผลักผู้หญิงแบบนั้น จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ทำไปแล้ว