แพศยา ที่ 2
เริ่มต้นอีกครั้ง
หาจุดที่ผิดพลาด
มันผิดพลาดจากตรงไหนนะ...
นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะไม้ขัดมันวาววับเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้า ‘คุณหนูใหญ่’ หรือ ‘คุณหนูหวางเซียวเหยา’ นางผู้เป็นที่รักของบิดา ทั้งรักทั้งตามใจพร้อมจะคว้าเดือนและดาวมาวางแทบเท้าหากว่านางต้องการ
ด้วยรู้สึกสงสารที่บุตรสาวคนโตกำพร้ามารดา ไม่ว่านางจะทำตัวไม่น่ารัก ร้ายกาจ และไม่เคยพูดจาดีๆ กับเขาแม้เพียงครึ่งคำ กระนั้นผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
นางผู้เป็นหลานสาวคนโตของปู่ที่นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาค มีทหารในมือกว่าแสนนาย
นางผู้เป็นหลานสาวคนเล็กของตา ผู้เป็นคหบดีค้าขายเดินเรือสมุทรกว่าพันลำ ร่ำรวยที่สุดในแคว้นหู่เฉียงซึ่งมีอาณาเขตติดทะเล
ทำไมนะ...
มันเริ่มผิดพลาดมาจากตรงไหน...
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแทบชิด ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเผยอน้อยๆ ก่อนจะเม้มเป็นเส้นตรงจนทำให้แก้มอวบอิ่มบวมป่อง สาวใช้ทั้งสองพากันมองท่าทางน่ารักน่าชังของคุณหนูแล้วก็พากันอิ่มอกอิ่มใจที่ได้เห็นคุณหนูเติบโตไปอีกก้าว
“อาถิง อาหลิง”
“เจ้าขาคุณหนู”
“ข้าเปลี่ยนไปตอนไหนหรือ”
นางเอ่ยถามอย่างคิดไม่ออก ดังนั้นถามคนที่ใกล้ชิดคอยดูแลนางในทุกๆ เรื่องน่าจะดีที่สุด
“เปลี่ยนไปยังไงหรือเจ้าคะ ถ้าทางด้านร่างกายคุณหนูเริ่มมีระดูครั้งแรกตอนย่างเข้าฤดูฝนปีที่สิบสองเจ้าค่ะ ครั้งแรกคุณหนูนอนซมลุกไม่ขึ้น ต้องดื่มยาต้ม ประคบร้อน และงดอาบน้ำเป็นเวลาถึงแปดวัน หลังจากนั้นคุณหนูก็เริ่มคัดหน้าอก เริ่มมีนมตั้งเต้าอย่างสาวแรกรุ่นตอน...”
“ดะ...เดี๋ยวอาถิง ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น”
เซียวเหยาหน้าแดงระเรื่อจนถึงใบหู รู้สึกร้อนผ่าวราวกับจะจับไข้เสียอย่างนั้น ไม่คิดเลยว่าข้อมูลเหล่านี้สาวใช้ทั้งสองก็ยังจดจำได้อย่างแม่นยำ
“ข้าหมายถึงนิสัยของข้าหลังจากที่ท่านแม่จากไป ข้าเริ่มพูดจาร้ายๆ ตอนไหน ข้าเริ่มทำตัวไม่น่ารักกับอาถิงและอาหลิงตอนไหน”
สาวใช้นั่งนิ่งไปอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน
“หลังจากที่คุณหนูใหญ่สนิทกับคุณหนูเล็กเจ้าค่ะ จู่ๆ คุณหนูที่เอาแต่ร้องไห้เพราะคิดถึงมารดาที่จากไปก็ลุกขึ้นมาพูดคุยกับคุณหนูเล็ก หลังจากนั้นก็เริ่ม เอ่อ...”
ถิงถิงอ้ำอึ้ง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวพยักหน้าน้อยๆ เชิงอนุญาตให้พูด นางจึงเล่าต่อไปว่า
“จากนั้นก็เริ่มใช้ความรุนแรง ด่าคำหยาบ เหมือนคนที่หงุดหงิดและเต็มไปด้วยโทสะตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ เป็นเช่นนี้เอง”
หวางเซียวเหยานิ่งคิดอย่างตรึกตรอง ภาพเหตุการณ์ก่อนจะถูกคมมีดประหารบั่นศีรษะผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ‘หวางจือเหมย’ หรือ ‘คุณหนูเล็ก’ น้องสาวที่นางรักมากที่สุด ได้ทำสีหน้าเยาะเย้ยถากถางที่เห็นจุดจบอันน่าสมเพช อีกทั้งยังใช้มือคล้องแขนสามีของนางแล้วขยับปากพูดว่า...
“ข้า! จะ! ดู! แล! สามี! ของ! เจ้า! เอง! อี! โง่!”
ไม่ผิดแน่...
ไม่รู้ว่าเป็นยาพิษประเภทชักจูงลุ่มหลง หรือว่าเป็นมนตร์คาถาที่ทำให้นางคล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่างที่จือเหมยพูด เห็นจือเหมยเป็นนางฟ้านางสวรรค์และไม่สนใจคนอื่นๆ อีกเลย
ไม่ได้การณ์ ข้าต้องรีบขับพิษหรือมนตร์คาถาออกจากร่าง เพราะถ้าหากข้าได้พบกับจือเหมยอีก พิษหรือมนตร์คาถาในร่างอาจก่อปฏิกิริยาเข้าควบคุมร่างกายนี้อีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นนางอาจกลับไปวนเวียนกลับเหตุการณ์เดิมซ้ำสอง
นางไม่อยากกลับไปโง่งมอีกแล้ว!
“เตรียมชุดและเตรียมเกี้ยวให้ข้า ข้าจะออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“อ้อ...วันนี้จือเหมยอยู่ที่ใด”
หลิงจวนถึงกับเผลอทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ปกติแล้วคุณหนูใหญ่มักเรียกคุณหนูเล็กว่า ‘จือเอ๋อร์’ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ แต่เหตุใดวันนี้กลับเรียก ‘จือเหมย’ อย่างห่างเหิน อีกทั้งน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างไม่คิดปิดบัง
“เห็นว่าออกไปไหว้พระที่อารามกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
“ดีเลย”
หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างพึงใจ เพราะนั่นเท่ากับว่านางจะเดินเหินไปไหนมาไหนในจวนโดยไม่ต้องคอยระมัดระวังหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ความคิดหยุดชะงักเพียงเท่านั้นเมื่อเห็นเสื้อผ้านับสิบที่ถิงถิงหยิบออกมาวางให้นางเลือก
แบบชุดที่แสนเฉย สีที่ฉูดฉาดตัดกันไปมาราวกับลูกกวาดราคาถูก ลายปักดอกใหญ่ๆ เป็นดวงๆ เต็มผืนผ้าให้ความรู้สึกวิงเวียนจนนางถึงกับต้องเบือนหน้าหนี
“นี่คือเสื้อผ้าของข้าหรือ”
“เจ้าค่ะคุณหนู ชุดพวกนี้คุณหนูชื่นชอบมาก เพราะผ้าเหล่านี้นำเข้ามาจากต่างเมือง คุณหนูและคุณหนูเล็กช่วยกันเลือกแล้วก็ตามช่างมาช่วยตัดเย็บตามแบบที่ต้องการเจ้าค่ะ”
“ข้าอยากจะเป็นลม...”
“คะ...คุณหนูทำใจดีๆ ไว้นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะรีบไปตามท่านหมอมาตรวจอาการเดี๋ยวนี้”
เซียวเหยารีบยกมือขึ้นโบกไปมา สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะคิดออกว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร
“อาหลิงเจ้าช่วยไปนำเสื้อผ้าของท่านแม่มาให้ข้าที”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลิงจวนก็รีบวิ่งไปที่ห้อง ‘ตะวันรุ่งอรุณ’ ของฮูหยินคนก่อน ห้องนี้เป็นห้องที่ดีที่สุดในจวน เพราะเป็นห้องรับลมเย็นตลอดทั้งวัน และมีแสงแดดอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์ยามเช้าสอดส่องเข้ามา กระนั้นนายท่านกลับไม่ยอมยกห้องนี้ให้ใคร แม้แต่ฮูหยินคนใหม่ก็ไม่อาจได้ครอบครอง
ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น จึงยังถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบราวกับเจ้าของห้องยังมีชีวิตอยู่
“มาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เซียวเหยาลุกขึ้นจากโต๊ะ ผมยาวสลวยถูกรวบมวยม้วนอย่างเรียบๆ แล้วปักปิ่นเงินรูปหงส์เล็กๆ เพียงชิ้นเดียว นางสวมเพียงเสื้อและกางเกงสีขาวตัวในเท่านั้นด้วยยังไม่สามารถเลือกชุดที่จะสวมออกไปข้างนอกได้
“เสื้อผ้าของท่านแม่ ยังมีกลิ่นกายของท่านอวลอยู่เลย”
นางหยิบเสื้อผ้าของมารดาขึ้นมากอดเอาไว้ ไม่ว่าจะผ่านพ้นไปอีกสักกี่ปี นางก็ยังคิดถึงมารดางดงามที่แสนอ่อนหวานไม่เสื่อมคลาย
‘เซียวเอ๋อร์ลูกรักของแม่ เจ้าจงเป็นเด็กดี ดูแลบิดา ดูแลน้องๆ แทนแม่’
นางช่างอกตัญญูนัก ด้วยไม่อาจทำตามคำสั่งเสียของมารดาได้ อีกทั้งยังนำพาชีวิตตกต่ำจนถึงขั้นได้รับโทษประหารถูกชาวบ้านรุมประณามหยามเหยียด
“ข้าจะใส่เสื้อผ้าของท่านแม่ เก็บเอาไว้ก็มีแต่จะผุพังเปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา”
อมยิ้มน้อยๆ พลางหยิบชุดสีฟ้าอ่อนปักดิ้นเงินออกมา เป็นชุดที่เรียบหรู น้อยแต่มาก งดงามไม่ฉูดฉาด รสนิยมของมารดาผู้เป็นบุตรสาวของพ่อค้าคหบดีผู้ร่ำรวยนั้นจะมีใครเทียบได้เล่า
“เจ้าค่ะคุณหนู ฮูหยินคงดีใจมากที่คุณหนูนำเสื้อผ้าของท่านมาใส่เช่นนี้”
สาวใช้ทั้งสองรีบช่วยเจ้านายสาวแต่งกาย พลางยกมือกุมหัวใจของตนเองเป็นระยะ ดวงตาวาวระยับมองเจ้านายสาวด้วยความชื่นชม
บุตรีคนโตตระกูลหวางมองตนเองในกระจก ‘อบอุ่น’ ความรู้สึกที่ได้สวมใส่เสื้อผ้าของมารดานั้น ราวกับถูกท่านโอบกอดเอาไว้อีกครั้ง ไม่คิดเลยว่านางจะโหยหาไออุ่นของมารดาได้ถึงเพียงนี้
“คุณหนูช่างงดงาม งดงามเหมือนฮูหยินตอนสาวๆ ไม่มีผิดเลยนะเจ้าคะ ราวกับถอดแบบกันออกมา”
หวางเซียวเหยามองตนเองในกระจก ใช่... นางงดงามเหมือนมารดา ทว่านางกลับได้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานจากบิดา นั่นจึงส่งให้นางในชาติก่อนเป็นหญิงงามที่น่าค้นหาจนถูกจัดว่าเป็นหญิงที่งามที่สุดในแคว้นหู่เฉียงมาแล้ว
แต่ต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ทว่าเสื้อผ้าลายดอกดวงใหญ่โตและสีสันฉูดฉาดราวกับลูกกวาดอาบยาพิษเหล่านี้มันก็ออกจะเกินไปหน่อย จือเหมยคงอยากจะกลบความงามของนางด้วยเสื้อผ้าพวกนี้สินะ...
ในชาติก่อนที่จะย้อนกลับมานั้น นางถูกจัดเป็นหญิงงามล่มเมืองโดยใส่เสื้อผ้าพวกนี้นะหรือ ชะ...ช่างน่าสะเทือนใจเหลือเกิน
“สั่งบ่าวนำเสื้อผ้าในตู้ของข้าทั้งหมดไปเผา เผาให้สิ้นอย่างให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว!”
“เจ้าค่ะคุณหนู”