แพศยา ที่ 1
หวนคืน
ไม่ซ้ำรอยเดิม
เฮือก!
ทันทีที่เซียวเหยาผวาลืมตาตื่น ก็รีบยกมือขึ้นกุมลำคอของตนเองไว้ ก่อนจะโก่งคอไอจนใบหน้าแดงก่ำ น้ำลาย น้ำตา น้ำมูกไหลออกมาราวกับธาตุในร่างกายกำลังแตกซ่าน ดั่งคนกำลังจะตาย
หลอดลมและลูกกระเดือกกดทับลงบนแท่นประหารยังคงตราตรึง ความรู้สึกเย็นวาบที่ปลายดาบใหญ่วาววับเงื้อลงมาที่ลำคอก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงยังคงกระช่างชัด
นางควรจะตายไปแล้ว!
ทว่ากลับยังไม่ตาย!
“นะ...นี่มันอะไรกัน!”
หญิงสาวงุนงงเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงไม้ตัวยาวภายในห้องนั่งเล่นจวนสกุลหวาง สภาพนั่งกึ่งนอนเอกเขนก รอบกายมีสาวใช้นั่งหน้าซีดเผือดราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง
ทำหน้าเหมือนจะตาย ใครกันแน่ที่เพิ่งผ่านความตายมา ข้าต่างหากเล่า!
“กระจก! เอากระจกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“จะ...เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
สาวใช้ตกใจผวาละล่ำละลักขานรับ ก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบกระจกมาให้ ในขณะที่สาวใช้อีกคนเพิ่งได้สติรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดมาช่วยซับคราบน้ำตาน้ำมูกออกจากใบหน้างดงามด้วยมือสั่นเทา
พวกนางกำลังนวดเท้าให้คุณหนูใหญ่จนผล็อยหลับไป แต่แล้วจู่ๆ คุณหนูก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับอาการไอจนตัวโยน ปกติแล้วหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้านายสาวไม่พอใจ พวกนางจะถูกดุด่าทุบตีอย่างหนัก
ขนาดแค่อาหารที่มีกลิ่นฉุนจนทำให้คุณหนูใหญ่คัดจมูก พวกนางยังถูกตบจนล้มคว่ำลงไปกับพื้นอย่างไร้เมตตามาแล้ว
“กระจกเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
เซียวเหยารับกระจกมาถือไว้ก่อนจะอ้าปากค้าง ใบหน้างดงามอย่างสาวน้อยที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่น หาใช่หญิงสาวอายุยี่สิบแปดที่ใช้ชีวิตอย่างหญิงกร้านโลกคาวโลกีย์
“ปีนี้ข้าอายุเท่าไหร่”
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อีกสิบห้าวันจะอายุครบสิบแปดปีเจ้าค่ะ แล้วอีกสามเดือนข้างหน้าคุณหนูต้องแต่งงานเป็นภรรยาของท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ...”
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ นางไม่ได้ตายแต่ย้อนเวลากลับมาตอนอายุสิบแปดปี อีกทั้งยังย้อนเวลามาในช่วงที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับท่านเจ้าเหมืองหนันหนิง โชคชะตาเหตุใดจึงตลกร้ายถึงเพียงนี้
หัวใจปวดแปลบเมื่อคิดถึงสามี ก่อนตายนางลั่นวาจาว่าจะไม่รักเขา ทว่าก่อนที่ลมหายใจจะสิ้นสูญ นางกลับเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของเขา ดวงตาที่มองมายังนางที่กำลังจะถูกบั่นคอเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ฉายชัด
น้ำตานั่นคืออะไร การแสดงครั้งสุดท้ายงั้นเหรอ มันช่างกวนใจนางเหลือเกิน!
เซียวเหยาหงุดหงิดจนผุดลุกขึ้นยืน และนั่นทำให้สาวใช้ทั้งสองถึงกับผงะ รีบคู้กายลงไปนอนหมอบด้วยเนื้อตัวสั่นเทา หญิงสาวมองอาการเหล่านั้นแล้วถึงกับน้ำตาคลอ
“ข้าเป็นหญิงใจร้ายมากสินะ”
“คะ...คุณหนูใหญ่พูดว่าอะไรนะคะ”
สาวใช้ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นมองเจ้านายสาวด้วยความงุนงง เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวยอบกายลงแล้วจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของตน ก็ถึงกับนิ่วหน้าเกร็งกายเพราะคิดว่าจะได้รับความเจ็บปวดจากการใช้เล็บจิกลงบนไหล่
ทว่ากลับไม่เจ็บ เล็บไม่ได้จิกลงมา แต่กลับเป็นสัมผัสที่แผ่วเบาและปลอบประโลม
มือบอบบางที่วางบนไหล่เลื่อนมาจับมือหยาบกร้านของถิงถิง ก่อนจะหยิบตลับยาสมานแผลหายากออกมา ค่อยๆ เปิดฝาตลับยาแล้วใช้นิ้วเกลี่ยสมุนไพรทาลงบนแผลอย่างเบามือ
รอยแผลค่อยๆ จางหายอย่างรวดเร็วด้วยสรรพคุณยาวิเศษที่มีราคาแพงระยับ มีแต่ชนชั้นสูงระดับเชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้มั่งคั่งเท่านั้นถึงจะครอบครองตลับยานี้ได้
“คะ...คุณหนู
สาวใช้ถิงถิงตกใจแต่ไม่กล้าชักมือกลับ งุนงงสับสนราวกับถูกจับเขย่าแรงๆ จนโลกทั้งใบหมุนกลับ ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นพยายามกลั้นความรู้สึกหลากหลายที่กำลังประดังเข้ามาราวกับคลื่นลูกใหญ่ซัดสาด
“อาถิงเจ้าเจ็บมากหรือไม่”
“มะ...ไม่เจ็บเลยเจ้าค่ะคุณหนู มะ...ไม่เจ็บเลยสักนิด”
ถิงถิงเสียงสั่น กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้ยินคุณหนูใหญ่เรียกนางอย่างสนิทสนมว่า ‘อาถิง’ ยิ่งทำให้นางจุกที่ลำคอราวกับมีก้อนแข็งๆ ตีบตีน รีบก้มหน้าปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
เซียวเหยาใช้นิ้วป้ายยาสมุนไพรก่อนจะหันไปหาหลิงจวน แล้วค่อยๆ ทายาลงบนปลายคางที่แตกช้ำเพราะสองวันก่อนนางเหวี่ยงแก้วชาลงบนพื้นจนแตกกระจาย เป็นเหตุให้เศษแก้วกระเด็นมาบาดปลายคางสาวใช้คนสนิทจนเลือดอาบ
ก่อนนี้นางไม่เคย... ไม่เคยเลยที่จะสนใจทุกข์สุขของคนที่รักนางที่สุด พยายามไขว้คว้าความรักจากคนที่ไม่เคยรักตน แต่กลับไม่เห็นค่าหัวใจของคนที่อยู่ใกล้ชิด
“คะ...คุณหนูเจ้าขา”
หลิงจวนร้องไห้โฮออกมา ยาตลับนี้ราคาแพงหลายร่วมตำลึงทอง เป็นยาที่นายท่านได้มาจากหมดเทวดาที่อาศัยอยู่ในป่าคุนเหม่ย การนำยาแพงและหายากมาทาแผลให้สาวใช้ต่ำต้อยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีเจ้านายจวนไหนทำกัน
“อาถิง... อาหลิว... ข้าขอโทษนะ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ขอโทษที่เคยทำร้าย ขอโทษที่พูดจาไม่น่ารัก ขอโทษที่ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อข้ามาโดยตลอด ขะ...ขอโทษ”
พูดโดยที่ไหล่บางสั่นเทิ้มก่อนที่หยาดน้ำตามากมายจะหยาดหยดออกมาอาบใบหน้างดงามปานจะล่มเมือง ใบหน้านี้แหละที่เคยซีดเซียวสกปรกเพราะเป็นนักโทษประหารที่ถูกรุมปาของบูดของเน่า
ความงามจะมีค่าอะไรหากปราศจากความดีและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ตัวข้าก่อนนี้ช่างโง่งมนัก โง่งมเหลือเกิน
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูไม่จำเป็นต้องขอโทษพวกข้าทั้งสองเลย พวกเรายินดีดูแลรับใช้คุณหนูด้วยชีวิต”
สองสาวใช้กุมมือของนายเหนือหัวไว้คนละข้าง พวกนางได้รับการชุบเลี้ยงจากฮูหยินคนก่อนซึ่งเป็นมารดาของคุณหนูใหญ่ ได้หลุดพ้นจากความยากลำบากมาเป็นสาวใช้ตระกูลหวาง มีอาหารกิน มีเบี้ยรายเดือน มีผ้าห่มอุ่นๆ ซุกนอนในยามค่ำคืน
เมื่อฮูหยินให้กำเนิดบุตรสาวหน้าตางดงามราวกับเทพเซียน พวกนางทั้งสองก็ถึงกับคุกเข่ากรีดเลือดสัญญาว่าจะดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้มีพระคุณด้วยชีวิต จะไม่มีวันทอดทิ้งคุณหนูเซียวเหยาเป็นอันขาด
“ข้าขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องเจ็บปวดอีก ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา หรือหัวใจ นับจากนี้ข้าจะดูแลเจ้าทั้งสองคนให้สุขสบายมากที่สุด ให้สมกับที่พวกเจ้าคอยอยู่เคียงข้างข้าตราบจนลมหายใจสุดท้าย”
ในตอนท้ายของประโยคเต็มไปด้วยเสียงสั่นเครือสะเทือนใจ สาวใช้ทั้งสองรักและภักดีต่อนางมาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่นางถูกเปิดโปงว่าได้เข่นฆ่าใครต่อใครมากมาย หญิงรับใช้ทั้งสองจึงได้รับโทษประหารด้วยเช่นกัน
“คะ...คุณหนูใหญ่ของข้า”
สาวใช้ทั้งสองปล่อยโฮออกมาจนหยาดน้ำตาเป็นสาย นางเลี้ยงของพวกนางมาตั้งแต่คุณหนูใหญ่ยังตัวแดงๆ เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงราวกับไข่ในหิน เด็กหญิงที่เติบโตขึ้นอย่างร่าเริงสดใส
ทว่า...หลังจากฮูหยินเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันจากการคลอดบุตรชายฝาแฝด คุณหนูของพวกนางก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่หลงอยู่ในฤดูฝนที่มืดมิด
คุณหนูใหญ่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของบิดาที่บังคับให้มารดาตั้งครรภ์ กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของน้องชายฝาแฝดที่ทำให้มารดาต้องตาย
เด็กหญิงไม่ยอมพูดคุยกับใคร เก็บเนื้อเก็บตัวจนซูบผอม ท้ายที่สุดก็ล้มป่วยราวกับตรอมใจ จนกระทั่งท่านประมุขพาฮูหยินคนใหม่เข้ามาในบ้าน พร้อมกับบุตรสาวแท้ๆ อีกคนที่แอบซ่อนไว้
นับจากนั้นคุณหนูของพวกนางก็กลายเป็นเด็กที่เกรี้ยวกราด เอาแต่ใจ และมักจะร้องไห้โวยวายกับทุกสิ่งอย่าง ราวกับเด็กที่ขาดและไม่อาจได้รับการเติมเต็ม
‘คุณหนูเล็ก’ ก้าวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ก้าวผ่านกำแพงสูงชันเข้ามาจนคุณหนูใหญ่ยอมเปิดใจ แม้คุณหนูเล็กจะเป็นบุตรสาวของหญิงผู้นั้นที่เข้ามาเป็นภรรยาคนใหม่ ก็ตาม
พวกนางคิดว่าอะไรๆ คงจะดีขึ้น เมื่อคุณหนูใหญ่ได้รับความอบอุ่นสดใสเฉกเช่นดวงอาทิตย์ของคุณหนูเล็ก ทว่ายิ่งนานวันคุณหนูใหญ่กลับยิ่งก้าวร้าว นางเกรี้ยวกราดใส่ทุกคน ทำร้ายร่างกายใครต่อใครที่ทำให้นางไม่พอใจ
เว้นแต่คุณหนูเล็กที่คุณหนูใหญ่แสนรักและพร้อมจะปกป้องเอาไว้ในอ้อมแขน
“อย่าร้องไห้ไปเลย ข้าจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าต้องพบกับจุดจบที่น่าสังเวชอีก”
สาวใช้ทั้งสองไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นนายสื่อ แต่ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ ว่าคุณหนูของพวกนางกำลังเป็นห่วงเป็นใยพวกนางจากใจจริง