คุณหมอคิตตี้ ยัยหมูโก๊ะ50%

2187 Words
กิตติภัส กรรณหทัย เสียงดังแว่วสะท้อนจากความทรงจำให้ย้อนเวลากลับไปไกลลิบ เป็นเสียงเรียกให้เปลือกตาของคนนอนนิ่งค่อยๆ พยายามปรือขึ้นมา แล้วกระพริบตาถี่ๆ ค่อยๆ ปรับโฟกัสให้เคยชินกับแสง ความรู้สึกปวดหน่วงจากด้านในศีรษะบวกกับไอร้อนจากพิษไข้ดูจะบรรเทาเบาบางลงไปมากแล้ว จะเหลือก็แต่.. “โอ้ย” คนนิ่วหน้ายุ่งอุทานกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บระบมบางอย่างที่ยังคงหลงเหลือ มือบางยื่นไปสำรวจรับรู้ได้ถึงร่องรอยแห่งการถูกทำแผล ผ้ากลอสผืนบางที่แปะไว้บนขมับด้านขวาของศีรษะ ดวงหน้าหวานเหยเกลงอีกครั้งเมื่อแม้เพียงสัมผัสเบาของมือที่เผลอยื่นไปโดน กลับทำให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บจิ๊ดที่แตกต่าง “ตื่นมาก็มือซนเชียวนะ”เสียงทุ้มเจือแววเอ็นดูดังมาพร้อมกับการรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากฝ่ามือใครอีกคนที่ประกบซ้อนเพื่อดึงมันออก เรียกให้ดวงตากลมของคนกำลังหลับตาแน่นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนภาพตรงหน้าจะทำให้ต้องสะบัดหัววุ่นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บางทีเธออาจอยู่ในความฝัน “ว่าไง เป็นยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า” ขณะที่เธอกำลังเข้าขั้นตกใจมองหน้าเขาตาปริบๆ แต่อีกคนกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มงามๆ ส่งกลับมาให้เธอหนึ่งครั้ง ก่อนมือหนาจะเอื้อมไปหยิบแท่งปรอทใสที่วางไว้อยู่บนโต๊ะข้างๆ ยื่นมารออยู่ตรงหน้าเสร็จสรรพ “อ้าปากซิ” คนพูดเลิกคิ้วส่งยิ้มให้ ทั้งที่ใจอยากถาม แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม บางทีเธออาจกำลังไม่มีสติ กรรณหทัยสรุปง่ายๆ อย่างนั้น เมื่อปากไม่รักดียอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย มือหนาจัดการวางแท่งแก้วใสไว้ใต้ลิ้น ก่อนข้อมือเธอจะกระตุกออกโดยอัตโนมัติเมื่อถูกใครอีกคนฉกฉวยไปแบบไม่บอกกล่าว และเพียงไม่นานกลับค้นพบว่าตัวเองนอกจากจะหัวแตก ตอนนี้ยังหน้าแตกถึงขนาดคนเป็นหมอตรงหน้าอาจไม่รับเย็บ สายตาคมที่ฟุบต่ำสนใจอยู่กับเพียงแค่แรงกระตุกขึ้นลงบ่งบอกอัตราการเต้นของหัวใจ เขากำลังตรวจคนไข้ แล้วเธอละ กำลังคิดอะไรอยู่? คนไข้จำยอมแอบลอบมองคุณหมอเป็นพักๆ พิจารณาท่าทางตั้งอกตั้งใจ มือขาวสะอาดตามแบบผู้ชายแต่กลับพลิ้วไหวแผ่วเบาเมื่อหยิบจับทำอะไรได้อย่างคล่องแคล่ว เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ คิดกับตัวเองอยู่ในใจ ทันกับใครอีกคนพูดแทรกขึ้นมาพอดี “ดีนะเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่ดีหน่อยที่โรคซุ่มซ่ามยังรักษาไม่หายเหมือนเดิม” เสียงห้าวบอกออกมาลอยๆ เธอไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับเธอหรือพูดกับใคร “จับนอนหยอดน้ำเกลือสักสามขวดจะดีขึ้นบ้างมั้ยเนี้ย ฮึ…ยัยหมูโก๊ะ” แต่คำเรียกท้ายประโยค ไม่ต้องเดาให้ยากก็แน่ใจว่าเขาพูดกับเธอ ขอถอนคำพูด ไม่เปลี่ยนไปเลยสักกะนิด นอกจากผู้ชายตรงหน้า ก็ไม่มีใครแล้วที่จะเรียกเธอด้วยฉายาที่แทบเอาหน้าซุกกำแพงได้ขนาดนี้ คิดดูสิ คนอะไรจะเป็นทั้งหมูและโก๊ะได้ในเวลาเดียวกัน!! “เราไม่ได้โก๊ะสักหน่อย” “…” “แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ได้อ้วนแล้วด้วย” ท้ายประโยคคนพูดเอ่ยเสียงแผ่วราวกับไม่แน่ใจในตัวเองเท่าไรนัก แต่คำพูดนั้นก็มีอิทธิพลมากพอให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจอยู่กับการขีดเขียนบางอย่างบนชาร์ตการรักษาคนไข้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนไล่สายตาไปยังคิ้วเข้มสวยแต่ผูกจนเป็นปมของคนป่วย ดวงตากลมของคนในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนไล่สำรวจไปยังเรือนร่างตัวเอง คงจะเอาให้แน่ใจว่าเป็นไปตามที่ตัวเองพูดหรือเปล่า เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ “แล้วคนไม่โก๊ะไปทำยังไงเข้า ถึงได้กลิ้งตกบันไดลงมาหัวแตกเย็บไปหลายเข็มขนาดนี้” กลิ้ง ควรใช้กิริยาคำนี้ประกอบเป็นประโยคที่ใช้ได้กับผู้หญิงหนักไม่ถึงห้าสิบกิโลกรัมดีอย่างเธอได้จริงๆ เหรอ ไม่พอยังแววตาที่มองมานั่นอีก แกล้งกันชัดๆ “ก็มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่คะ” คนถูกกล่าวหาว่า อดไม่ได้ที่จะตวัดสายตาส่งค้อนให้คนที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาสนใจอยู่แต่ชาร์ตประวัติการรักษาในมืออีกหนึ่งขวับ โทษฐานล้อกันได้แม้กระทั่งยามป่วย ก่อนความทรงจำบางอย่างที่ลอยขึ้นมาในสมองจะทำให้ใบหน้าซีดอมยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “คุณหมอ คุณหมอกิตติ..” ใบหน้าอมยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนหน้า อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วมุ่นหน้าแหยแก เมื่อรับรู้ได้ว่าดวงตาคู่คมของคนถูกเรียกเปลี่ยนจุดโฟกัสเงยหน้าขึ้นมามอง เจ้าของร่างบางแกล้ง ซี๊ดปากร้องโอดโอยเพื่อความสมจริงอีกนิด แต่ก็มิวายแอบเหลือบตาขึ้นมองคนตัวโตกว่าเป็นพักๆ “เป็นอะไรมัดหมี่” ต่างกับอีกคนที่ถามเสียงจริงจัง ดวงตาคมไล่สำรวจ ร้อนรนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อเห็นริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง จากที่ซีดอยู่แล้วจึงดูยิ่งซีดขึ้นไปอีก และเขาคงตัดสินใจจะเปิดแผลที่ตัวเองเป็นคนเย็บเองกับมือออกดูทั้งที่มั่นใจว่าไม่มีขั้นตอนไหนที่ทำผิดพลาดไปอีกครั้งแน่ ถ้าสัญชาตญาณอะไรบางอย่างไม่ทำให้เกิดสงสัยจนกระทั่งรู้ตัวขึ้นมาซะก่อน สายตาที่เผอิญไปปะทะกับดวงตาคู่สวยที่ฉายแววสดใสต่างจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ ดวงหน้าหวานหันมาลอยหน้าลอยตาส่งยิ้มพิมพ์ใจ เรียกในสรรพนามที่คนฟังแทบปั้นหน้าไม่ถูก นั่นล่ะ ถึงได้รู้ว่าคนเป็นหมอเสียรู้คนไข้โดนหลอกเข้าให้ซะแล้ว “กิตติ คุณหมอคิตตี้” จะไม่เดือดร้อนเลย ถ้าชื่อนี้ใช้เรียกผู้หญิงตัวเล็กน่ารักสักคน ไม่ใช่ผู้ชายตัวโตๆ อายุปาไปยี่สิบหกอย่างเขา สรรพนามที่ไม่ได้ยินมานาน ไม่คุ้นเคย แต่คุ้นใจในความรู้สึก คำเรียกพ้องชื่อที่แม้จะค้านในใจว่าไม่เข้ากันเลยสักกะนิดแต่แปลกที่เขาไม่โกรธ…ไม่เคยโกรธ… และไม่คิดจะโกรธ ในทางตรงข้ามมันกลับทำให้มีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า แม้จะบางเบาจนอาจไม่มีสักคนสังเกตมันได้ก็ตาม มันเป็นเรื่องจริง ที่วันเวลาที่เดินไปข้างหน้า อาจจะพัดพาให้อะไรหลายอย่างหมุนเปลี่ยน เวลาอาจพัดพาผู้หญิงตัวเล็กในชุดนักศึกษาในวันวานสักคนให้กลายมาเป็นคนไข้ตรงหน้าอย่างที่เขาไม่เคยคิดก็ย่อมเป็นไปได้ แต่น่าแปลก สิ่งหนึ่งที่วันและเวลาไม่เคยพัดพามันไปเลยจากวันนั้น สิ่งนั้นนั่นคือ…ความทรงจำ ท่ามกลางบรรยากาศร้อนจัดในช่วงเลยเที่ยงวันที่พระอาทิตย์ตั้งตรงจงใจสาดแสงลงมายังพื้น ทางเดินแอลเป็นชื่อที่นักศึกษาทุกคนคุ้นเคย เดินผ่านไปมาเป็นประจำทุกวัน เช่นเดียวกับวันนี้ และตอนนี้… บ่ายโมงตรง ปกติเขาไม่ใช่คนรีบและเลิกพูดกันเลยเกี่ยวกับเรื่องความตรงต่อเวลา แต่ตอนนี้เขากำลังใช้ความพยายามและความสามารถอย่างหนัก ในการพาตัวเองปั่นจักรยานแหวกทางหลบหลีกผู้คนมากมายเพื่อไปยังจุดหมายให้ทันกับเวลาที่ถูกกำหนดไว้ คนรีบจอดจักรยานหรือ ‘จั๊กก้า’ ตามคำเรียกขานที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยนิยมเรียก ไม่ใช่แค่ ‘จั๊กก้า’ หรือจักรยานเท่านั้นที่ถูกนำมาเปลี่ยนชื่อเรียกขานเพื่อความน่ารัก มันยังไม่รวม ‘โอดีอี’ วิชาเลขสุดหฤโหดที่ถูกนำมาดัดแปลงขำๆ ว่า ‘โอเด็ด’ แต่ที่เด็ดสุดๆ คงไม่พ้น ‘มูเก้’ วิชาดีมีมาตรฐานที่รวมหน่วยกิจสามตัวย่อยบวกๆ กันแล้วไม่ยิ่งหย่อนไปกับตัวเลขเหยียบๆ อยู่ที่สิบสักเท่าไร มันเป็นวิชาเรียนรวมคละคณะ ที่เป้าหมายหลักของหลักสูตรเอาจริงๆ นักศึกษาอย่างเราๆ ก็ไม่แน่ใจว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ ข้อดีสำหรับนักศึกษา (ส่วนใหญ่) จะว่าไป มันก็เหมือนกับการมานั่งเจอหน้าพบปะสังสรรค์สะมากกว่า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะตอนนี้คนจอดจั๊กก้าลวกๆ แทบจะวิ่งตัวปลิวในสภาพชายเสื้อหลุดลุ่ยเหงื่อท่วมตัวเนื่องด้วยระยะทางจากคอนโดหลังมอมายังจุดหมายท่ามกลางแสงแดดจ้าจะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องสนุก ร่างสูงเหงื่อโชกอาบผิวขาวตามแบบฉบับนักศึกษาแพทย์ทั่วไปกำลังวิ่งฝ่ากลุ่มผู้คนที่ยังคงเดินขวักไขว่ไปมา เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาคดเคี้ยวตามเส้นทางจนไปหยุดลงตรงหน้าห้องหนึ่ง มือหนาผลักประตูเข้าไป พอดีกับเสียงเรียกของอาจารย์สาววัยสามสิบต้นๆ ที่เขาขานรับทันทีทั้งที่อาการหอบจากการวิ่งมาราธอนแล้วมาหยุดยืนได้ไม่ถึงสิบวินาทียังไม่ทันจะหายดี “กรรณหทัย” “กำลังมาครับ” จบประโยคนั้นทุกคนพากันหันมองมาทางหน้าประตูด้วยความพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ซึ่งคงไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ นี่ไม่ใช่ชั่วโมงเรียนมูเก้ แต่ทั้งวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษนักศึกษามหาวิทยาลัยนี้ก็ต้องคละคณะเรียนเหมือนๆ กัน จะต่างก็แค่มันจะเป็นกลุ่มเล็กกว่ามากประมาณคงแค่ยี่สิบกว่าคน อาจารย์สาวขยับแว่นพลางมองไปยังนักศึกษาหนุ่มที่กำลังหอบน้อยๆ ตรงหน้า “เธอชื่อกิตติภัส…” พูดยังไม่ทันจบ นักศึกษาชายที่เพิ่งก้าวเข้ามาและกำลังเดินไปหาที่นั่งอยู่แถวๆ ด้านหลังสุดอย่างที่เธอเคยๆ สังเกตเห็น ก็รีบชิงตอบกลับไปทั้งที่ยังหอบไม่ทันเสร็จ “กรรณหทัยกำลังมาครับอาจารย์ เดี๋ยวผมโทรตามให้ครับ” เขาบอก ด้วยอาจารย์ตรงหน้าไม่ใช่คนเรื่องมาก และเขาเองก็ขี้เกียจหาเหตุผลมาอ้างอะไร ไม่สบาย ติดเรียน ยังกินข้าวไม่เสร็จ หรืออีกหลายเหตุผลก็เคยๆ ยกมาหมดแล้ว ประเด็นมันจะไม่เกิด ถ้าไม่มีเหตุที่ทั้งเขาและผู้หญิงคนที่กำลังถูกตามตัวขยันสลับกันเป็นคนสร้าง อีกคนกำลังกดโทรศัพท์ที่ได้แต่รอสายแต่ไม่มีคนรับ กับอีกคนที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ถ้าขาเธอยาวได้เท่าคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนที่เพิ่งผลุบเข้าห้องไปก่อนหน้า ประตูที่ถูกผลักออก เสียงใสเอ่ยขออนุญาตพลางเดินตัวลีบมาหยุดนั่งลงตรงโต๊ะแลกเชอร์ข้างๆ อาการหอบหายใจของใครอีกคน ทำให้ใบหน้าคมอมยิ้มขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้ “ไปไหนมา” เขาถามทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าคำตอบของคำถามนั้นคืออะไร ได้คำตอบเป็นอาการย่นจมูกพร้อมค้อนวงโตอีกขวับมาเป็นทัพหน้า ก่อนจะตอบออกมาแบบเสียมิได้ “ถามได้ ก็เหตุผลเดิมๆ นั่นล่ะ” ‘หลับไง’ คนตัวเล็กละที่จะพูดประโยคที่รู้ๆ กันอยู่ไว้หลังประโยคนั้น เธอเห็นคนข้างๆ หัวเราะในคอเบาๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจมองมาทางเธออีก กรรณหทัยจัดการหยิบสมุดปากกามาวางไว้บนโต๊ะเป็นการบังหน้า แต่มือก็ยังไม่วายหยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาโบกพัด ณ เวลานี้บอกตามตรงว่าแม้จะได้นั่งในตำแหน่งที่แอร์ลงเต็มๆ แต่ความเย็นของมันก็ไม่ค่อยได้ช่วย นั่งพัดไปพัดมาจนความเย็นของกระดาษผสมกับแอร์พอจะทำให้หายเหนื่อยอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง ดวงตากลมกวาดตามองเรื่อยเปื่อยไปจนทั่วห้อง ก่อนจะมาหยุดลงตรงตำแหน่งของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หนังสือถูกเปิดกางอยู่ตรงหน้า พร้อมใบหน้าของใครอีกคนในสภาพก้มหน้าก้มตาราวกับสนใจมันอยู่เต็มที่ แต่ถ้ามองมันให้ดี มุมนี้แม้จะอับแอร์ไม่จนถึงขั้นไม่ได้อยู่แบบเย็นสบายเหมือนกับเธอ แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาให้ว่าที่คุณหมอในอีกหกปีข้างหน้ายังอุตส่าห์หลับ!!! หลับทั้งที่เสื้อนักศึกษาสีขาวยังไม่ทันจะหายชื้นจากเหงื่อ และที่สำคัญ ท่าหลับของเขามันช่างเป็นการเป็นงานสมกับที่สอบเข้ามาเรียนในคณะแพทย์ได้สำเร็จ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD