คุณหมอคิตตี้ ยัยหมูโก๊ะ100%

2126 Words
เยี่ยม ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ เร็วพอกับข้อซอกของคนเขียนมือซ้ายที่ (ตั้งใจ) กระแทก (เข้าอย่างจัง) กับอีกครึ่งท่อนแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อที่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจพับมันไว้แบบลวกๆ ก็ไม่มากไม่มาย แค่มีผลทำให้เสาหลักปักฐานที่ใช้ค้ำยันระหว่างพื้นโต๊ะกับคางสั่นคลอน คนที่กำลังหลับตานิ่งนั่งเฝ้าพระอินทร์ ลืมตาตื่นขึ้นมาทันควัน แต่มันน่าหมั่นไส้ ทั้งที่เขาควรจะตกใจเข้าขั้นทำอะไรไม่ถูก แต่คนตรงหน้ากลับทำเป็นแค่สะบัดหัวนิดหน่อย มองสำรวจไปโดยรอบอีกนิด ก่อนกลับมานั่งตัวตรงตีมาดนิ่งๆ ตามเดิม ไม่ได้ดั่งใจเลยสักนิด “เมื่อกี้อาจารย์ถาม เราบอกไปแล้วว่ามีบางคนแอบไปตั้งวงเตะบอลที่สนามหน้าคอนโดตอนเที่ยงแล้วมาแอบนั่งหลับในห้องเรียน อาจารย์ถามเราว่าจะให้ทำไง เราเลยบอกไปแล้วว่าเขายินยอมให้หักคะแนนจิตพิสัยไปเลยสิบเปอร์เซ็นต์” เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ต้องตีรวนเข้าไปอีก แม้รู้ว่ามันไม่เคยสำเร็จแต่เธอก็จะทำ คำพูดยาวเหยียดจากคนที่ลอยหน้าลอยตาตอบซะตั้งแต่เขายังไม่ได้ถาม เสียงไม่ดังแต่ก็ไม่ค่อยซะจนถึงขั้นกระซิบบอกออกมาเรื่อยๆ ส่วนมือก็ยังขยุกขยิกจดสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนราวกับตั้งอกตั้งใจซะเต็มที่ เธอจะรู้หรือเปล่าว่าอาการตีรวนแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ อาจรวมไปถึง..ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอตอนนี้ ทำให้เขาต้องแอบลอบยิ้มกับตัวเองอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนกัน “ไม่ร้อนกันบ้างเหรอไงนะ เตะบอลกันได้ตอนกลางวันแสกๆ” เธอพูดกับเขาหรือเป็นแค่การบ่นพึมพำกับตัวเองก็ไม่อาจแน่ใจ อยากบอกเธอเหมือนกันว่าที่เธอกำลังพูดถึงน่ะ ผู้ชายนะไม่ใช่ผี ทำไมจะออกมาแตะบอลในตอนกลางวันแสกๆ ไม่ได้ แต่ก็นั่นละ จากประสบการณ์เกือบสามเดือนกับเพื่อนใหม่ต่างคณะที่เจอกันแทบทุกวัน ตามติดกันทุกวิชาที่เรียนรวม ประสบการณ์มันสอนเขาให้เรียนรู้อะไรเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับกรรณหทัยได้ว่าการเถียงเธอไม่ใช่เรื่องสนุก…แต่การนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ ตามปกตินิสัยที่เขาไม่ต้องลำบากทำเลยสักนิด กลับเป็นเรื่องที่แกล้งเธอได้สนุกกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าของร่างสูงจึงทำเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ส่ายหัวหน่อยๆ แหล่มองไป แล้วก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเธออีก เขาจะรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นการกระตุ้นต่อมไม่ได้ดั่งใจของคนขี้แกล้งให้ทวีอุณหภูมิสูงยิ่งขึ้นไปอย่างไม่มีเหตุผล สมองนักศึกษาระดับชั้นปีที่หนึ่งที่กำลังเรียนวิชาภาษาไทยถูกใช้งานอย่างหนัก มันไม่ใช่เพื่อการเรียน แต่เพื่อการเอาคืนคนมาดนิ่งข้างๆ นี้ตางหาก และเธอจะไม่สามารถคิดมันออกมาได้เร็วขนาดนี้เลย ถ้าไม่ใช่เสียงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋าที่ดังขึ้น เมื่อคว้ามันขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นสายโทรเข้าจากผู้ชายที่นั่งข้างเธอนั้นเอง “โทรหาเราทำไม” เธอถามคนที่พอตาสว่างขึ้นมาได้ ก็สวิสตัวเองกลายเป็นตั้งอกตั้งใจเรียนซะอย่างนั้น “เปล่า ไม่ได้โทร” ปากปฏิเสธออกไป แต่สายตาก็ยังจดจ่ออยู่กับเนื้อหาหน้าห้องไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยน “ไม่โทรได้ไง ก็นี่ไงดูเลยว่าใครโทรเข้า” ว่าไม่พอ มือบางยังจัดการนำโทรศัพท์ที่ยังสั่นไม่เลิกไปวางไว้ตรงหน้า เรียกให้คนไม่ใส่ใจต้องก้มลงมอง ก่อนชื่อและเบอร์โทรที่ลอยอยู่ตรงหน้าจะเรียกให้เขาต้องถอนหายใจหนักๆ มองไปยังใครอีกคนที่แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่อยู่แล้ว “บอกแล้วไง ว่าไม่เอาชื่อนี้” “ทำไมไม่เอาละ มันน่ารักดีออก” “ก็เราเป็นผู้ชาย จะชื่อแบบนี้ได้ยังไง” “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เรียกกิตติยาวไป แถมไม่คุ้นอีกต่างหาก เรียกแบบนี้ แล้วก็ แมมชื่อไว้แบบนี้ น่ารักกว่าตั้งเยอะ” เธอยังลอยหน้าลอยตายืนยันเหตุผลของตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่แค่ใบหน้าแต่มันเลยไปถึงแววตาที่บ่งงบอกถึงความสมอกสมใจที่แกล้งเขาได้เต็มที่ ไม่พอมือบางยังหวังดีชี้ไปที่ตัวอักษรเจ้าปัญหานั้นอีกตางหาก คิตตี้ อยากบอกเธอว่าจะ ‘กิตติ’ หรือ ‘คิตตี้’ มันก็สองพยางค์ไม่ต่าง แถมชื่อหลังหากใครมาได้ยินเข้าความแมนของเขาคงเข้าขั้นติดลบ แต่ช่างเถอะ เพราะมันแปลก แปลกที่เวลาได้เห็นหน้าเธอแบบนี้ รอยยิ้มแบบนี้ และความสุขของคนตรงหน้าที่กำลังมีอยู่ตอนนี้ มันแปลกที่ตัวเขาเองยินดีและอยากเป็นใครคนนั้น อยากเป็นอะไรก็ได้ หรือทำอะไรก็ได้ ทำ..เพียงเพื่อให้เธอคนนี้มีความสุข… ไม่แปลกที่ความรู้สึกวันนั้นกับสิ่งที่เขาเลือกทำวันนี้ มันยังคงเป็นแบบเดิม และคงจะด้วยเหตุผลเดิมๆ ไม่ต่าง ใบหน้าคมเลือกที่จะทำเพียงเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนส่งยิ้มบางๆ กลับไปแทนการตอบรับหรือปฏิเสธ และถ้าเดาไม่ผิดเขาคงกำลังจะได้รับ ‘การตอบรับ’ แบบเดิมๆ กลับมาเช่นกัน คิ้วเรียวสวยได้รูปภายใต้ดวงหน้าซีดขาวขมวดมุ่นขึ้นมาราวกับมันเป็นการสั่งการโดยอัตโนมัติริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มแน่นเข้าหากันเหมือนเจ้าตัวกำลังขบคิดอะไรอย่างหนักก่อนเพียงไม่กี่วินาที จะเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เหยเกลงอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อความเจ็บตึงจากบาดแผลที่ยังมีอยู่แล่นขึ้นมากระทบโสตความรู้สึกทั้งหมด “เจ็บ” มันไม่ใช่เสียงเธอ แต่เป็นเสียงดุ จากใครอีกคน กรรณหทัยเผลอมองไปยังคนตรงหน้า เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติในเวลาต่อมา สัมผัสเบาๆ จากปลายนิ้วเรียวที่คลึงอยู่ระหว่างคิ้ว ทำให้โบว์ยุ่งๆ ที่ผูกเป็นปมอยู่ตรงกลางค่อยๆ คลายออกราวกับเป็นการสั่งการผ่านกระแสจิตจากคนๆ นั้น ก็อาจจะใช่ แต่มันน่าเจ็บใจที่ทั้งสมองและร่างกายของเธอ ยอมทำตามที่เขาบอก บางทีเธออาจเป็นคนไข้ที่ดีมากของหมอ กรรณหทัยสรุปสั้นๆ กับตัวเองแบบนั้น เมื่อนิ้วเรียวภายใต้ข้อมือขาวสะอาดที่ช่วยคลายปมเปลี่ยนอากัปกิริยากลายเป็นฝ่ามืออุ่นที่คล้ายจะประคองร่างบางในสภาพกึ่งนั่งกี่งนอนให้ล้มตัวลงพักผ่อนอีกครั้ง เขาเอื้อมไปปรับหยดน้ำเกลือ ไม่ลืมแม้กระทั่งปรับอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศ ก่อนหันมาพูดกับคนไข้ตรงหน้าอย่างใจเย็น “ตัวเริ่มร้อนอีกแล้ว นอนซะ วันนี้เราอยู่เวรอีอาร์ มีอะไรให้พยาบาลไปเรียกได้ตลอด” เขาบอกเมื่อหลังฝ่ามืออุ่นเลื่อนมาเป็นอังเบาๆ ตรงหน้าผาก ก่อนเจ้าตัวจะหันไปหยิบชาร์ตประวัติคนไข้กลับมาเปิดดู อีกแป๊บก็เขียนบางอย่างลงไป วางมันลงที่เดิม แล้วหันกลับมาทางเธออีกครั้ง “เฮ้อ จริงๆ นะคุณหมอ เราไม่อยากเป็นคนไข้เธอเลยสักนิด มันรู้สึกแบบว่า..แบบว่าแบบแปลกๆ ” กรรณหทัยว่าพลางทำท่าทางเหมือนคิดหนัก ไม่พอยังแสดงความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนสามอารมณ์ได้ในสองวินาที ก่อนจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง คนถูกดันตัวให้เพิ่งนอนลงไปจึงกระเด้งขึ้นมาอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนอีกครั้ง ถามในประโยคที่เขาเองก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เปลี่ยนหมอเลยได้มั้ย ได้มั้ย เปลี่ยนหมอทันหรือเปล่า” เธอไม่ได้พูดเล่น เพราะมีทั้งแววตา คำพูด บวกด้วยท่าทางหนักแน่นเป็นตัวยืนยัน มือบางที่เอื้อมไปจับท่อนแขนแข็งแรงอย่างลืมตัว แม้จะทำให้เจ้าของแขนใจกระตุกไปบ้าง แต่เขาก็ยังอยากแกล้งคนตรงหน้าเล่นต่อ “แล้วทำไมต้องเปลี่ยนหมอล่ะ” จบประโยคนั้น เธอทำท่าเหมือนกำลังคิดอีกแป๊บ เหมือนกับรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าของคนรอฟังไม่ต่าง “ก็ไม่รู้สิ แต่เราว่ามันแปลกๆ” “งั้นมัดหมี่ลองบอกเหตุผลเรามาสักสองข้อ”เขาบอกอย่างใจเย็น “เพื่อ..” “ถ้าเหตุผลฟังดูดี เราอาจรับไว้พิจารณา” “งั้นข้อหนึ่งเลย เพราะเธอเป็นเพื่อนเรา เพื่อนไม่ควรรักษาเพื่อน เพราะยังไงมันก็ดูแปลก” อุตส่าห์ตีหน้านิ่งรอฟัง แต่ก็อดอมยิ้มขำกับเหตุผลของเธอไม่ได้ ‘เพื่อนไม่ควรรักษาเพื่อน’ มันมีตรรกะประเภทนี้อยู่บนโลกจริงๆ เหรอ “แล้วอีกข้อ?” “อืม อีกข้อ…อีกข้อเหรอ” คนพูดทำท่าทางเหมือนคิดหนักแอบลอบมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ แล้วพูดต่อ “เราว่าเธอต้องเป็นหมอที่ดุแน่ๆ ” คนไข้จำยอมกล่าวอย่างมาดมั่นว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น ทำเอาคนฟังต้องส่ายหน้าอมยิ้มขำอยู่ในใจ แต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ กิตติภัสเอื้อมไปประคองให้คนตัวเล็กให้นอนต่อตามเดิม “เรายังยืนยันว่าเป็นหมอที่สามารถรักษาเพื่อนตัวเองได้” คนถูกกล่าวหาบอกเรื่อยๆ มือหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างบางซะจนเกือบมิดคอ ได้รับคำโวยวายว่าอาจขาด อากาศหายใจตายจากคนไข้เป็นการตอบแทน “และมันก็เป็นความจริงที่เราเป็นหมอที่ดุมาก” เขาเลิกคิ้วอมยิ้มบอกคนที่เพิ่งถูกจับให้นอนตาแป๋ว กรรณหทัยอยากจะปรบมือชื่นชมตัวเองในใจ การเดาถูกมันเป็นเสมือนการอัพเล เวลของตัวเองให้เก่งขึ้นระดับแชมป์ ก่อนคำพูดบางคำของคุณหมอจะทำเอารอยยิ้มดีใจของคนไข้หุบฉับลงแทบไม่ทัน แอบสะดุ้งขึ้นมาตอนไหนก็ยังไม่รู้ตัว “แต่หมอจะดุเฉพาะคนไข้ที่ดื้อ” “เราไม่ได้ดื้อสักหน่อย”อุตส่าห์ทำใจกล้าเถียงออกไปเสียงแผ่ว แต่ทำไมคนข้างๆ ก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน “ถ้าคนไข้ไม่ดื้อก็หลับตานอนซะ ตื่นมาถ้ายังไม่ดีขึ้น หมอจะจับฉีดยา” เอ่อ..ความจริงเธอก็ไม่ใช่คนกลัวเข็มหรืออะไรขนาดนั้นเหรอกนะ แต่ถ้าเลือกได้ ไม่จำเป็นเราก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันซะเลยดีกว่า แม้กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปค้อนขวับใส่คุณหมอตรงหน้าอีกหนึ่งวง ได้ปฏิกิริยาตอบกลับเป็นการเลิกคิ้วเป็นคำถาม ถึงเขาไม่พูด แต่เธอก็รู้ ถึงจะยิ้มนิ่งๆ แต่แววตานี่ชัดแจ้งแสดงออกว่ารู้ทันกันไปถึงไหนต่อไหน แกล้งกันชัดๆ!! คนป่วยอุบอิบแอบคิดอยู่ในใจ ต่างกับคุณหมอที่ระบายยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้าอย่างช่วยไม่ได้ มองคน (พยายาม) แสดงออกว่าไม่ได้กลัว แต่กลับหลับตาปี๋ตั้งแต่พูดจบยังไม่ถึงห้าวินาทีแรก และจะเพราะฤทธิ์ยาหรือความกลัวก็ไม่อาจแน่ใจ คนที่ตั้งท่าว่าจะไม่หลับ กลับหลับสนิทไปตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบนาที ต่างกับใครอีกคนที่ยังคงยืนมองคนนอนหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก วันเวลาที่เดินผ่านไป ทำให้เขาเลือกที่จะเข้าใจและเก็บเธอไว้แค่เพียงความทรงจำ แต่วันนี้และตรงนี้วันที่โชคชะตาพัดพาเธอให้กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง มันกลับทำให้ผู้ชายหนึ่งคนเข้าใจตัวเองได้ว่าไม่ว่าจะระยะทาง ความห่างไกล หรืออะไรก็ตาม ไม่เคยพัดพาเธอให้ไปไกลจากตรงนี้…เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ที่ๆ เคยเป็นของเธอ และยังคงเป็นของเธอเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน ดวงหน้าคมยังไม่ผละไปไหน แต่กลับทำในทางตรงกันข้าม จมูกโด่งก้มลงประทับสัมผัสอุ่นบนกระหม่อของคนหลับตาพริ้มอย่างแสนรัก ลมหายใจอุ่นที่ผ่อนออกมาอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเธอได้ก้าวสู้ห้วงนิทรา ไม่รับรู้แม้เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา หรือแม้กระทั่ง ‘เสียงของหัวใจ’ ของใครอีกคน คิดถึงเหลือเกิน..กรรณหทัย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD