จันเกาหัวหงุดหงิด ไม่สบายไม่บอกตั้งแต่เช้า แบบนี้ไม่มีใครคอยดูแลเจ้าสัวเหลียงกันพอดี
“แก้ว งั้นป้าวานไปพาเจ้าสัวมาที่โต๊ะอาหารหน่อย”
แก้วกัลยายืนงง เจ้าสัวเหลียงคือใครเธอยังไม่เคยพบหน้ามาก่อน แล้วจะให้ไปพามาทานอาหารได้ยังไงกัน จันเห็นท่าทีสาวใช้คนใหม่เลยไขข้อข้องใจเสียก่อน
“เจ้าสัวอยู่ห้องหนังสือ เดินขึ้นชั้นสองเลี้ยวซ้ายห้องที่สาม ท่านนอนอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างขวามือ แก้วหยิบไม้เท้าส่งให้แล้วพยุงท่านลงมา เจ้าสัวอายุมากแล้วเดินเหินไม่ค่อยไหวเลยต้องให้มีคนดูแล ปกตินังนิ่มมันจะคอยปรนนิบัติ ไม่สบายก็ไม่บอก!”
“จ้ะป้า เดี๋ยวหนูจะพาท่านมาเอง”
ร่างบางสาวเท้าขึ้นชั้นสอง เลี้ยวซ้ายตามคำบอกของป้าจัน หยุดยืนหน้าห้องที่สาม
ก๊อก! ก๊อก!
เคาะประตูแล้วเปิดออก มองเข้าด้านใน เห็นชั้นหนังสือมากมาย กวาดสายตามองหาเจ้าสัวเห็นท่านนอนอ่านหนังสืออยู่ ร่างบางค่อยๆ ก้าวเข้าใกล้แล้วนั่งคุกเข่าตรงหน้า ชำเลืองมองชายชราอายุอานามราวๆ หกสิบกว่าๆ ได้ ผมสีดอกเลา ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แต่ทว่าท่าทางท่านกลับดูใจดี เมื่อสบตากันเห็นรอยยิ้มส่งมา
“อ้าว นังนิ่มมันไปไหนเสียล่ะ”เจ้าสัวเอ่ยถาม ขณะลุกนั่ง
“น้านิ่มไม่สบายค่ะ”
เจ้าสัวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันมาพิจารณาสาวน้อยแรกรุ่น
“แล้ว... มาใหม่เหรอเราน่ะ”
“ใช่ค่ะ เพิ่งเริ่มงานวันนี้วันแรก”เธอรู้สึกหวั่นใจพิกล
“ชื่ออะไรล่ะ”
“ชื่อแก้วค่ะ แก้วกัลยา”
ชายชรายิ้มน้อยๆ แววตาเอ็นดู หน้าตาหมดจด ผิวพรรณดูนวลผ่อง เจริญหูเจริญตาที่ได้ชม
“ชื่อเพราะดีนะ” เจ้าสัวมองหาไม้เท้าแล้วชี้นิ้ว “หยิบไม้เท้าให้หน่อย มาตามไปกินข้าวใช่ไหม”
“ค่ะ”
แก้วกัลยารีบหยิบไม้เท้าส่งให้ แล้วช่วยพยุงเจ้าสัวลงชั้นล่าง เธอรู้สึกเหมือนดูแลคุณตาที่บ้าน มันคุ้นชินและมีความอุ่นใจที่ได้ทำแบบนี้
พยุงเจ้าสัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมสีน้ำตาล ซึ่งคุณใหญ่ลงมาก่อนหน้าแล้ว ข้าวต้มถูกตักใส่ชามโดยมีป้าจันและแม่ค่อยดูแล แก้วกัลยาเลยเดินเลี่ยงยืนห่างออกมา
“อาใหญ่ ลื้อโทรหาอาเล็กบ้างหรือเปล่า”เสียงเจ้าสัวบอก คุณใหญ่ชะงักมือตักข้าวต้มเล็กน้อยแล้วช้อนตามองบิดา
“ใหญ่โทรหาประจำแหละป๊า เล็กมันสบายดีป๊าไม่ต้องห่วง”
คนเป็นพ่อนิ่งเงียบแววตาเศร้าหมอง เกือบแปดปีลูกไม่เคยกลับมาหาเขาเลย พ่อก็แก่เฒ่าลงทุกวัน หากมีวันหนึ่งร่างกายทรุดลงจากไปโดยไม่ทันล่ำลามันจะเสียใจไหม เจ้าสัวครุ่นคิดแล้วน้ำตามันพาลจะไหลออกมา
“ก็ดีแล้ว อั้วแค่อยากให้มันกลับมาบ้านบ้าง มันหายไปนานมากแล้ว อยากให้มันมาเห็นหน้าป๊าก่อนตายก็ยังดี”เสียงเครือแผ่วบอกกล่าว บุตรสาวสะท้อนใจ
“เดี๋ยวเล็กก็กลับมาป๊าเชื่อสิ”คุณใหญ่พยายามปลอบใจ
“อืม”
ตักข้าวต้มใส่ปากอย่างฝืดคอ วันนี้รู้สึกอาหารไม่มีรสชาติเอาเสียเลย เห็นหน้าบิดาแล้วเศร้าใจ เมื่อไหร่น้องชายตัวดีจะยอมรับความจริงได้เสียที
“แล้วที่โรงสีเป็นยังไงบ้าง”เจ้าสัวเหลียงถาม เพื่อทำลายความอึดอัด
“ก็ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้กำลังติดต่อกับประเทศเกาหลีอยู่ค่ะเรื่องส่งออกข้าว”
“อืม ขอบใจมากอาใหญ่ ถ้าอาเล็กมาป๊าจะให้ไปช่วยงานที่โรงสี”คนเป็นพ่อหมายมั่น
“เล็กคงไม่ทำหรอกค่ะพ่อ”
“อย่าเพิ่งเถียงพ่อเลยน่าอาใหญ่ รอให้อาเล็กกลับมาก่อนก็แล้วกัน”
สองพ่อลูกเลยทานอาหารอย่างเงียบเชียบ แก้วกัลยามองดูแล้วรู้สึกหนักใจ ไม่คิดว่าเรื่องพูดคุยบนโต๊ะอาหารจะมีแต่เรื่องของคนที่ชื่อเล็ก เหมือนเขาจะเป็นลูกชายของเจ้าสัว ท่าทางท่านจะรักลูกคนนี้มากเสียด้วย เป็นคนยังไงกันนะคุณเล็ก
เจ้าสัวเหลียงเงยหน้าจากหนังสือมองดูผู้มาเยือน เห็นสาวใช้คนใหม่กำลังจ้องมองสีหน้าตื่นตระหนก ชายชราเลยส่งยิ้มให้เพื่อผ่อนคลายความกังวล
“มาทำอะไรหรือ อาแก้ว?”เจ้าสัวเอ่ยถาม
“แก้วมาทำความสะอาดค่ะ นึกว่านายท่านยังไม่ตื่นนอนเลยเข้ามา”แก้วกัลยารีบอธิบาย
“อั้วนอนไม่หลับเลยมาหาหนังสืออ่านเสียหน่อยเผื่อมันจะง่วงขึ้นมาบ้าง”
แก้วกัลยามองดูสีหน้าเจ้านาย เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นซีดเซียวมีแววกังวลในดวงตา
“อาแก้ว...”เจ้าสัวเอ่ยเรียกอีกครั้ง แก้วกัลยาหยุดนิ่งตั้งใจฟัง “ลื้อได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”
“เรียนค่ะ”
“จบชั้นอะไรมาล่ะ”
“จบ ปวส. ค่ะ”
“แล้วทำไมไม่เรียนให้จบปริญญาเล่าอาแก้ว น่าเสียดายออก”เจ้าสัวออกความเห็น
“แก้วไม่มีเงินเรียนแล้วค่ะ”เธอตอบตามตรง เพราะพ่อเลี้ยงมัวแต่เอาเงินกินเหล้าแม่ก็มาป่วย ต้องหาค่ารักษากันจนเธอไม่สามารถต่อมหาวิทยาลัยได้