รถกระบะสีดำขับออกจากบ้านวิ่งไปตามถนนคอนกรีตเล็ก ๆ กระทั่งถึงบ้านเรือนไทยหลังใหญ่พื้นที่บ้านกว้างขวาง เมื่อจอดรถใต้ร่มไม้เรียบร้อยทั้งสองก็ลงจากรถ น้ำมนต์จึงกวาดสายตามองสำรวจภายในบริเวณบ้านที่มีเรือนหลังใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า ถัดจากเรือนใหญ่ไปด้านหลังจะเป็นเรือนหลังเล็ก ส่วนด้านขวามือของเรือนใหญ่จะเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ซึ่งบริเวณบ้านนั้นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นเย็นสบายเข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก…
“อ้าว! มาหาพ่อครูเหรอครับผู้ใหญ่” ขณะที่น้ำมนต์กำลังกวาดสายตามองไปรอบบ้านจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มดังมาจากตีนบันไดเธอจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มอายุอานามราว ๆ สิบแปดกำลังยืนรดน้ำว่านพระตะบะอยู่
“ใช่ พ่อครูอยู่บนบ้านไหมไอ้สิงห์” มียศเอ่ยถามสิงห์เด็กกรุงเทพที่แม่มันเอามาฝากไว้ให้เป็นเด็กวัด เนื่องจากมันเกเรมาก ไปเรียนแต่ละวันก็ยกพวกตีกับคู่อริตลอด จนคนเป็นแม่กลัวว่าลูกตัวเองนั้นจะอายุสั้นก่อนเรียนจบจึงมาฝากไว้เป็นเด็กวัดที่นี่
สิงห์อาศัยอยู่วัดเป็นหลักแต่ตัวเขาชื่นชอบพ่อครูและไสยศาสตร์มาก จนอยากฝักใฝ่ใคร่รู้ในเรื่องนี้ จึงแวะเวียนมาบ้านพ่อครูอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นวันนี้ หลังว่างจากช่วยงานหลวงพ่อที่วัดก็มาถางหญ้าและตัดต้นไม้ที่บ้านพ่อครู แม้เจ้าของบ้านจะไม่ได้เอ่ยปากขอแต่ก็เต็มใจจะทำให้
“อยู่” หลังฟังคำตอบมียศก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับหลานสาว
ทางด้านพ่อครูพายุกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะไม้สัก เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านล่างจึงปิดหนังสือวางลงบนพาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองเห็นมียศกับหลานสาวเดินพ้นบันไดขึ้นมาข้างบนพอดีจึงเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ
“มีอีหยังล่ะผู้ใหญ่” (มีอะไรเหรอผู้ใหญ่) มียศนั้นเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านมาก่อนแต่ด้วยอายุที่มากขึ้นจึงต้องเกษียณหมดวาระหน้าที่ไป แต่ชาวบ้านก็ยังติดเรียกเขาว่าผู้ใหญ่เหมือนเดิม
“พอดีหลานข่อยสิกลับมาอยู่เฮือนแล้วอีกอย่างมื้ออื่นกะวันเกิดนำ มื้อนี้กะเลยพามาให้พ่อครูผูกแขนกะเป่าหัวให้” (พอดีหลานฉันจะกลับมาอยู่บ้านแล้วอีกอย่างพรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดด้วย วันนี้ก็เลยพามาให้พ่อครูผูกแขนกับเป่าหัวให้) มียศพูดขณะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงยังเก้าอี้พลาสติกข้างพ่อครู ส่วนน้ำมนต์ก็เดินค้อมตัวไปนั่งลงที่พื้นด้านหน้าพ่อครู ก่อนมือเล็กสองข้างจะยกขึ้นไหว้พ่อครูด้วยท่าทีนอบน้อม
ตอนนี้พ่อครูไม่ได้เปิดสำนักสักยันต์แล้ว หันมาเดินหน้ารักษาชาวบ้านที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ และให้เช่าบูชาเครื่องรางของขลังหลากหลายที่คุ้มครองภัยอันตรายเพื่อเลี้ยงชีพและครอบครัวแทน เพราะหากจะให้สักยันต์ต่อหูตาก็ไม่ค่อยดีแล้วจึงได้แต่พร่ำสอนลูกศิษย์ให้สานต่อในสายวิชาของสำนักสืบต่อไป
“สวัสดีค่ะ” พ่อครูพยักหน้ารับไหว้ขณะดวงตายังไม่ละจากคนด้านหน้าที่เห็นเธอตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีแต่ความน่ารักน่าเอ็นดูของเธอยังคงไม่จางหาย…
“มื้ออื่นวันเกิดหลานผู้ใหญ่เบาะ?” (พรุ่งนี้วันเกิดหลานผู้ใหญ่เหรอ?) เมื่อพยักหน้าตอบรับน้ำมนต์พ่อครูก็หัน ไปถามมียศย้ำอีกครั้งว่าเขาฟังไม่ผิดใช่ไหม ซึ่งมียศไม่ได้ตอบออกไปทว่าดวงตาจ้องมองหน้าพ่อครูนิ่ง ๆ แล้วพยักหน้าตอบกลับ
พ่อครูจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยถามร่างเล็กด้านหน้าด้วยแววตาเอ็นดู เพราะตัวเขาเองก็อยากมีลูกสาวเหมือนกันแต่พยายามแล้วก็ไม่มีจึงล้มเลิกความคิด ทำให้ตอนนี้มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว...
“เรียนจบแล้วเหรอ?”
“จบแล้วค่ะ” น้ำมนต์ตอบด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ซึ่งรอยยิ้มนั้นถอดแบบมาจากแม่ของเธอไม่มีผิด พ่อครูเห็นแบบนั้นก็อดนึกถึงสีหน้าและแววตาของมะลิในครั้งสุดท้ายที่เห็นมันช่างน่าเวทนาเหลือเกิน แต่ก็สุดแล้วแต่เวรกรรมของผู้นั้นที่ได้กระทำลงไป ซึ่งเขาก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เยอะ คงทำได้เพียงช่วยดูแล ประคับประคองชีวิตน้อย ๆ ของเด็กสาวที่นั่งตรงหน้าตามที่แม่ของเธอขอไว้เท่านั้น...
“เมียพ่อครูบ่อยู่เฮือนติ” (เมียพ่อครูไม่อยู่บ้านเหรอ) ทางด้านมียศเมื่อเห็นพ่อครูอยู่บ้านคนเดียวจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แม่น กลับไปหาแม่เพิ่นที่กรุงเทพพู้นล่ะ” (ใช่ กลับไปหาแม่เขาที่กรุงเทพนู่นแหละ)
ขณะที่คนบนบ้านกำลังนั่งคุยกันอยู่ ทางด้านสิงห์เมื่อรดน้ำต้นว่านพระตะบะเสร็จเรียบร้อย ก็เดินขึ้นเรือนเพื่อบอกพ่อครูเสียหน่อยว่าตนจะกลับวัดแล้ว เมื่อเท้าเหยียบพื้นชั้นสองพ่อครูก็หันมามองมันแล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งฟังดูน่าเกรงขาม
“ไอ้สิงห์มึงไปตามสายฟ้ามานี่หน่อย”
“ได้ครับพ่อครู” พูดจบสิงห์ก็รีบวิ่งลงบันไดบ้านไปยังเรือนหลังเล็กหากขืนชักช้ากลัวว่าจะโดนพ่อครูบ่นหูชาเอาได้
“พี่สาย!” เด็กหนุ่มทั้งวิ่งทั้งตะโกนเรียกลูกชายของพ่อครูกระทั่งสองขาหยุดยืนหน้าบ้านเรือนไทยหลังเล็กที่ดูเงียบสงัดเหมือนไม่มีใครอยู่ สิงห์จึงหันมองไปยังแคร่ไม้หลังบ้านข้างกระท่อม ก่อนจะเห็นสายฟ้ากำลังล้างรถฮาเลย์คันโปรดของเขาอยู่สิงห์จึงรีบวิ่งไปหา
ทางด้านสายฟ้าได้ยินเสียงเรียกตั้งแต่คำแรกแล้วแต่ก็ไม่คิดจะสนใจยังคงล้างรถต่อ
“พี่สายพ่อครูให้ผมมาตามพี่ไปหา”
“ไปทำไมวะ?” สายฟ้าถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งในขณะมือหนาจับฟองน้ำขัด ๆ ถู ๆ รถไม่หยุด
“ผมไม่รู้” สายฟ้าถอนหายใจออกมาแรง ๆ ด้วยความหงุดหงิดเมื่ออีกคนเรียกเขาดังสามบ้านสี่บ้านแต่พอถามหาเหตุผลกลับตอบไม่ได้
“งั้นมึงรู้ก่อนค่อยมาเรียกกู”
“พี่ก็ไปหาพ่อครูดิจะได้รู้” มือหนาวางฟองน้ำลงในถังอย่างเก่า ตาคมช้อนขึ้นมองหน้าไอ้สิงห์อีกครั้ง คิ้วหนาเรียงสวยสองข้างขมวดขึ้นเชิงสงสัยว่ามันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาบอกเมื่อสักครู่หรือกำลังกวนตีนเขาอยู่กันแน่ ก่อนจะเอียงคอถามด้วยสีหน้าพร้อมมีเรื่องสุด ๆ
“มึงกำลังกวนตีนกูอยู่?”
“…” สิงห์เห็นสีหน้าและน้ำเสียงของสายฟ้า ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ก็ผมไม่รู้ไงว่าพ่อครูเรียกพี่ไปทำไม” สิงห์ตอบด้วยสีหน้าสลดเมื่อสายฟ้าไม่ยอมไปตามที่บอกจนกว่าจะรู้เหตุผล ซึ่งจะให้มันวิ่งไปถามก็ขี้เกียจแต่จะให้รบเร้าต่ออีกนิดก็เกรงว่าจะได้ส้นตีนก่อนกลับไปถามพ่อครู
ทางด้านสายฟ้ามองหน้าสิงห์นิ่ง ๆ ก่อนจะไปหยิบสายยางขึ้นมาฉีดน้ำล้างรถ ขณะที่ริมฝีปากขยับถามสิงห์ด้วยน้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดอยู่ในที
“แล้วใครมันมาบ้านกูวะ?”
“ตามียศ แต่ไม่ได้มาคนเดียวนะพี่ มากับหลานสาวแม่งโคตรสวยเลยอะ”
“หลานสาว! น้ำมนต์เหรอวะ?” แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแต่เขาก็ยังจำเด็กน้อยวัยหกขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเดินกอดตุ๊กตาหมีจูงมือตาของเธอเข้ามาในบ้านเขาได้ไม่ลืมเลือน เพราะเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้ำมนต์เคยมาเล่นที่บ้านเขากับพลอยอยู่บ่อยครั้ง...
“แล้วผมจะรู้ไหมล่ะ” คนตัวสูงจมูกโด่งคมสันรับกับใบหน้าหล่อเหลาริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อ ที่ผู้หญิงน้อยใหญ่ต่างพากันหมายปองอยากได้เป็นคู่ครอง เพียงแต่เขายังไม่ต้องตาใครเท่านั้นยื่นสายยางให้สิงห์
“ล้างให้กูหน่อย อย่าทำให้รถกูเป็นรอยนะมึง ไม่งั้นมึงเจอส้นตีนกูแน่” สายฟ้าพูดจบก็เดินไปหยิบเสื้อยืดที่ถอดแขวนไว้บนกิ่งไม้ก่อนจะล้างรถมาสวมใส่ให้เรียบร้อยแล้วเดินไปยังเรือนใหญ่ทันที…