“อย่าทุกข์กับสิ่งที่เราควบคุมและแก้ไขมันไม่ได้ จงเลือกเดินหน้าต่อ ใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุข”
16 ปีถัดมา
@กรุงเทพ
“เฮ้อ อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี พอน้ำมนต์จะกลับไปอยู่บ้านป้าก็อดใจหายไม่ได้เลย” คนเป็นป้าพูดกับหลานที่กำลังนั่งพับผ้าใส่กระเป๋าด้วยใบหน้าเศร้าหมอง เมื่อหลานสาวที่อยู่ด้วยกันมานานนับสิบหกปี เรียนจบขอกลับบ้านเกิดไปดูแลตาของเธอที่ตอนนี้แก่มากแล้วแถมไม่มีใครดูแลอีก เนื่องจากลุงของเธอย้ายไปอยู่บ้านเมียที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่งถาวรเพราะลูกชายเขาเรียนที่นู่นจะให้ไปกลับทุกวันก็คงไม่ไหว น้ำมนต์จึงจะขอกลับไปดูแลท่าน
“ป้าหนึ่งพูดแบบนี้หนูไม่อยากกลับเลยค่ะ” น้ำมนต์เงยหน้าขึ้นพูดกับป้าของเธอด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ไม่ต่างกันเลยสักนิด เธอเองก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกันเนื่องจากเวลาที่อยู่ด้วยกันมามันไม่ใช่ระยะเวลาสั้น ๆ จึงไม่แปลกที่จะผูกพันกัน
แต่น้ำมนต์ยังเหลือตาอีกคนที่ต้องดูแลแม้เขาจะไม่ได้เลี้ยงดูเธอจนโตก็ตาม แต่ช่วงชีวิตหนึ่งก็เคยอยู่ด้วยกันมาจะให้เธอทิ้งไม่ดูดำดูดีเลยก็ไม่ได้ เธอนั้นไม่อยากมานั่งเสียใจในวันที่ท่านไม่อยู่แล้ว
...อีกอย่างเธอก็คิดถึงบ้านเกิดด้วยเพราะตั้งแต่พ่อกับแม่เธอเสีย ตาเธอก็ไม่เคยให้กลับบ้านอีกเลยมีแต่ตาเธอขึ้นมาหาที่กรุงเทพเท่านั้น ทำให้น้ำมนต์อดคิดถึงบ้าน คิดถึงทุ่งนา คิดถึงสถานที่ที่เธอเคยไปกับแม่ คิดถึงพลอยเพื่อนเล่นในวัยเด็กและอดที่จะคิดถึงสายฟ้าพี่ชายที่แสนดีของเธอไม่ได้เลย…
“เอาเถอะไว้น้ำมนต์มาหาป้าบ่อย ๆ ก็ได้”
“ได้ค่ะหนูจะมาหาป้าหนึ่งทุกเดือนเลย” น้ำมนต์พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หนึ่งเห็นแบบนั้นก็อดยิ้มตามในความน่ารักสดใสของหลานสาวไม่ได้ หนึ่งจ้องมองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มรับกับดวงตากลมโตซึ่งถอดแบบมาจากแม่ของเธอที่ใครเห็นเป็นต้องเอ็นดู ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงหน้าน้ำมนต์ยกมือขึ้นลูบศีรษะหลานสาวเบา ๆ น้ำมนต์เห็นแบบนั้นก็รีบขยับเข้าไปกอดป้าของเธอแนบแน่น
“ขอบคุณป้าหนึ่งนะคะที่รักและเอ็นดูหนู หนูจะไม่ลืมบุญคุณที่ป้าหนึ่งเลี้ยงดูหนูมาเลย” แม้ชีวิตเธอจะขาดแม่ผู้ซึ่งให้กำเนิดและรักเธอมาก ๆ ซึ่งจากโลกใบนี้ไปแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดีที่ยังมีหนึ่งที่รักและเอ็นดูเธอไม่ต่างจากแม่ของเธอเลยสักนิด
“อย่ามองเป็นบุญคุณเลย มองเป็นความสุขที่ช่วงชีวิตหนึ่งเรามีความสุขมาก ๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันก็พอ” ซึ่งหนึ่งก็ไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าต้องเลี้ยงน้ำมนต์เพื่อให้เธอกลับมาดูแลเขา แค่เพียงวันนั้นที่ได้เห็นหน้าหลานสาวในวัยหกขวบครั้งแรกและรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเธอก็แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจหนู”
“งั้นป้าไม่กวนแล้ว น้ำมนต์รีบเก็บผ้าเถอะจะได้รีบเข้านอน”
“รับทราบค่ะ” หนึ่งมองหน้าหลานสาวที่ตอนนี้โตเป็นสาวเต็มวัยครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องนอน มือหยาบกร้านเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วหันกลับมามองหลานรักอีกครั้งก่อนจะปิดประตูลง…
ทางด้านน้ำมนต์หลังจากขะมักเขม้นพับผ้าใส่กระเป๋าจนเสร็จสรรพก็รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดจะได้รีบเข้านอนตามที่ป้าเธอบอก…
#วันถัดมา
@หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ จังหวัดสุรินทร์
เมื่อรถเก๋งสีขาวเลี้ยวยังทางเข้าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทอดยาวเป็นกิโลกว่าจะถึงบ้านเรือนชาวบ้าน หัวใจดวงน้อย ๆ ก็เต้นสั่นระรัวไม่หยุดเมื่อได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง น้ำมนต์กวาดสายตามองสองฝั่งข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นข้าวเหลืองอร่าม มือเล็กกดกระจกรถลงแล้วยื่นหน้าออกไปด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ขณะใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มรับกับดวงตากลมยิ้มจนแก้มปริ…
รถเก๋งคันดังกล่าวยังคงแล่นไปตามถนนเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน ไม่นานนักก็เลี้ยวเข้าไปจอดในบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่
“ถึงแล้ว”
“ค่ะ” เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนดังมาจากตำแหน่งคนขับ น้ำมนต์จึงขานตอบก่อนจะหันไปหาทองเมฆพี่ชายแท้ ๆ ของแม่เธอที่ไปรับจากสนามบินมาส่งบ้านด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แล้วเปิดประตูรถลงไป ดวงตาคู่สวยมองสำรวจรอบ ๆ บ้านทำให้ภาพความทรงจำในวัยเด็กสะท้อนเข้ามาในโสตประสาทฉายภาพเธอกับพ่อแม่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้านอย่างมีความสุข แม้ตอนนั้นเธอจะเด็กมากแต่ก็รับรู้ว่าเธอมีความสุขมากจริง ๆ แม้มันจะเป็นความสุขในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นก็ตาม
ร่างเล็กได้แต่ยืนมองภาพทรงจำที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว…กระทั่งได้ยินเสียงแหบแห้งแผ่วเบาดังมาจากหน้าบ้านน้ำมนต์จึงรีบหันไปมอง
“มาถึงแล้วเหรอน้ำมนต์!” สิ้นเสียงมียศตาของเธอ เจ้าของใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มจึงฉีกยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งไปสวมกอดตาของเธอที่ตอนนี้แก่มากแล้ว ผมทุกเส้นแทบจะเป็นสีขาวหมดแต่ก็ยังดูแข็งแรงดีแม้ปีนี้อายุจะย่างเข้าเลขเจ็ดแล้วก็ตาม
“หนูคิดถึงคุณตาจังเลยค่ะ” น้ำมนต์โอบกอดมียศแนบแน่นพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เหมือนจะร้องไห้เพราะดีใจจนเก็บความรู้สึกไว้ไม่ไหว ซึ่งก็ไม่ต่างจากมียศที่ยืนกอดหลานสาวแนบแน่นด้วยความคิดถึงเช่นกัน
สองตาหลานยืนกอดกันกลมอยู่ในสายตาของเมฆที่ยืนมองอยู่ พอเขาเห็นน้ำมนต์เมฆก็อดคิดถึงมะลิน้องสาวตัวเองไม่ได้เลยจริง ๆ ก่อนจะเลือกละสายตาจากทั้งสองเดินไปยกกระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่หลังรถมาตั้งวางหน้าบ้านแล้วเอ่ยบอกคนเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ข่อยกลับก่อนเด้อพ่อ” (ฉันกลับบ้านก่อนนะพ่อ) เมฆกลัวจะเย็นย่ำเสียก่อนจึงต้องรีบกลับ
“เออ ขับรถดี ๆ เด้อ” (เออ ขับรถดี ๆ นะ)
“ขอบคุณลุงเมฆนะคะที่ไปรับหนูมาส่งบ้าน”
“ไม่เป็นไร”
หลังจากเมฆขับรถออกไปแล้วมียศก็พาหลานสาวเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นว่าน้ำมนต์เดินทางมาเหนื่อยจึงอยากให้ไปพักผ่อน ร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนอนแม่ของเธอหลังจากยกกระเป๋าใบใหญ่ไปตั้งพิงผนังห้องนอน ดวงตาคู่สวยก็กวาดมองไปรอบ ๆ ที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยรวมถึงความรู้สึกของเธอด้วย น้ำมนต์หยุดสายตายังมุมห้องที่มีเสื่อผืนหมอนใบวางอยู่ จู่ ๆ ดวงตาก็ร้อนผ่าวเมื่อภาพในอดีตฉายขึ้นเห็นภาพในตอนที่แม่เธอนอนแน่นิ่งกลายเป็นศพหลับไปแบบไม่มีวันตื่น แม้เธอจะพยายามปลุกท่านเท่าไรก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว...
น้ำสีใสไหลออกมาอาบสองข้างแก้มไม่หยุด ก่อนที่มือเล็กจะยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออกแล้วเดินไปนั่งลงยังเสื่อเก่า ๆ เอื้อมไปหยิบหมอนที่แม่ของเธอเคยนอนหนุนมากอดแนบแน่นแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น...
น้ำมนต์สนิทกับแม่เธอมากเพราะมะลิเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เกิดทั้งสองไม่เคยห่างจากกันเลย ซึ่งต่างจากคนเป็นพ่อที่ทำงานอยู่กรุงเทพเพราะท่านรับราชการเป็นตำรวจต้องคอยย้ายสถานที่ไปเรื่อย ๆ ตามคำสั่ง ถึงช่วงเทศกาลจึงจะกลับมาหาเธอกับแม่...
น้ำมนต์ใช้เวลาอยู่ในห้องนอนของแม่เธอสักพักใหญ่เมื่อจัดเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาข้างนอก เห็นมียศเปลี่ยนจากผ้าขาวม้าเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตากับกางเกงขายาวสีสุภาพจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ตาจะไปไหนเหรอคะ?”
“จะพาน้ำมนต์ไปให้พ่อครูผูกแขนให้น่ะ” เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบร่ำโบราณเมื่อลูกหลานหรือญาติพี่น้องกลับมาบ้านก็จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่คนเฒ่าคนแก่ผูกแขนเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดของน้ำมนต์ด้วยมียศจึงอยากพาหลานไปไหว้พ่อครู
“ค่ะ” เพียงแค่ได้ยินว่าตาของเธอจะพาไปบ้านพ่อครูหัวใจดวงน้อย ๆ ก็เต้นสั่นระรัวไม่หยุด เพราะอยากเจอใครบางคนมาก ๆ น้ำมนต์จึงรีบตอบออกไปขณะที่ใบหน้ากลั้นยิ้มแทบไม่อยู่
ทางด้านมียศได้ยินแบบนั้นก็เดินไปยังรถกระบะคันเก่าร่างเล็กจึงรีบเดินตามไปทันที...