เท้าหนักเดินย่ำขึ้นไปบนเรือนไทยหลังใหญ่ ตาคมมองร่างเล็กที่เห็นเพียงด้านหลังเท่านั้นนั่งอยู่ที่พื้นไม้ขายาว ๆ จึงก้าวเดินไปนั่งยังเก้าอี้ข้างพ่อของเขา เมื่อหย่อนก้นนั่งลงเรียบร้อยสายฟ้าก็เหลือบมองน้ำมนต์ที่นั่งมองเขาอยู่ก่อนแล้วจึงทำให้ทั้งสองสบตากัน
ตาคมมองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่งขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะกับใบหน้าสวยราวกับปั้นแต่ง ยิ่งในตอนที่เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูส่งยิ้มให้มันยิ่งเหมือนต้องมนต์สะกดไม่อาจละสายตาไปไหนได้ ซึ่งไม่ต่างจากน้ำมนต์เลยสักนิดเพียงแค่เห็นหน้าสายฟ้าใจมันก็เต้นสั่นระรัวเหมือนตอนที่เจอครั้งแรกเมื่อสิบหกปีก่อน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่คนด้านหน้ายังคงมีอิทธิพลต่อหัวใจเธอเสมอ
ทั้งสองนั่งมองหน้ากันเป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้กระทั่งสายฟ้าเหลือบมองไปทางมียศที่จ้องมองเขาเขม็งประหนึ่งจงอางหวงไข่ สายฟ้าจึงยกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหันไปหาพ่อเขาแทน
“พ่อเอิ้นข่อยมาเฮ็ดหยัง” (พ่อเรียกฉันมาทำไม)
“ไปเอาฝ้ายผูกแขนกับน้ำมนต์มาให้พ่อแหน่” (ไปเอาฝ้ายผูกแขนกับน้ำมนต์มาให้พ่อหน่อย) พ่อครูพูดน้ำเสียงคงที่เอ่ยบอกลูกชายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สายฟ้าได้ยินก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทว่าลุกจากเก้าอี้เดินไปหยิบด้ายดิบสีขาวที่วางอยู่บนบายศรีกับขันน้ำมนต์กลับมานั่งลงยังเก้าอี้ตัวเดิมแล้วยื่นฝ้ายผูกแขนให้พ่อจากนั้นก็เหลือบมองน้ำมนต์ที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“ขยับมาใกล้ ๆ” ทางด้านน้ำมนต์เมื่อได้ยินเสียงนุ่มลึกฟังเสนาะหูก็รีบขยับเข้าไปใกล้พ่อครูมากขึ้น ในขณะที่สายฟ้าเอาแต่มองเธอไม่ละสายตาไปไหนจนร่างบางทำตัวแทบไม่ถูก มือเล็กที่ประสานกันแน่นคลายออกกระพุ่มมือสวยวางกึ่งกลางหน้าอกแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“หงายแขนแล้วยื่นมาด้านหน้า” แม้จะไม่เข้าใจแต่น้ำมนต์ก็ยอมทำตามที่พ่อครูบอกอย่างว่าง่าย พ่อครูดึงฝ้ายออกมาสามเส้นจากนั้นก็ท่องนะโมสามจบแล้วตามด้วยคำอวยพร
“ขอให้สุขภาพแข็งแรง ใครเห็นก็รัก ปัดกวาดสิ่งร้ายออกไป เอาแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา ให้อยู่ดีมีสุขตลอดไป” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังก้องกังวานในขณะมือสองข้างยังจับด้ายดิบปัดขึ้นลงที่ข้อมือเล็กแล้วว่าต่อ
“จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง โอม สะวาหิ โอม สะวาหะ โอม ตุ ตะ ตุ ตะ...เพี้ยง” หลังจากผูกแขนเพื่อเป็นสิริมงคลให้น้ำมนต์เรียบร้อย พ่อครูก็โน้มลงมาใกล้ ๆ เพื่อเป่าศีรษะให้เธอ ร่างเล็กจึงโค้งศีรษะลงมือเล็ก ยังคงพนมไหว้กระทั่งลมเย็น ๆ รดลงยังศีรษะดวงตากลมโตจึงค่อย ๆ ลืมขึ้น พ่อครูจึงเอื้อมหยิบขันน้ำมนต์ที่ตั้งวางอยู่ด้านข้างมาพรมศีรษะให้คนตัวเล็กด้านหน้า ซึ่งคนตัวเล็กได้แต่นั่งยิ้มหวานเมื่อได้รับคำอวยพรจากผู้ใหญ่ทำให้เธอรู้สึกดีสบายใจและอบอุ่นใจตั้งแต่วันแรกที่มา
“ขอบคุณค่ะ” มือเล็กยกขึ้นเหนือเกศาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของเธออยู่ในสายตาของอีกคน
“ผู้ใหญ่สิผูกแขนให้หลานบ่?” (ผู้ใหญ่จะผูกแขนให้หลานไหม?)
“ผูก” น้ำมนต์ได้ยินแบบนั้นจึงรีบขยับเข้าไปใกล้มียศแขนเรียวเล็กยื่นไปด้านหน้า เมื่อมียศรับฝ้ายผูกแขนจากพ่อครูเรียบร้อยเขาก็ตั้งใจผูกแขนให้หลานสาวเพียงคนเดียวของเขาด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ
“อย่าเจ็บอย่าไข้นะลูก ขอให้หลานตาพบเจอแต่ความสุข”
“ขอบคุณค่ะตา” มียศมองหลานสาวด้วยใบหน้าเอ็นดูไม่น้อยก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเล็กแล้วลูบเบา ๆ บรรยากาศบนเรือนไทยเต็มไปด้วยความอบอุ่นมีแต่รอยยิ้ม กระทั่งผูกแขนอวยพรเสร็จสรรพจู่ ๆ โทรศัพท์มียศก็ดังขึ้นเขาจึงขอตัวไปรับสาย
ทางด้านพ่อครูเมื่อเห็นฝ้ายผูกแขนในมือยังเหลืออยู่จึงเอ่ยถามลูกชายที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ผูกแขนให้น้องบ่?” (ผูกแขนให้น้องไหม?)
“…” น้ำมนต์พอได้ยินแบบนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้สายฟ้า ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองหน้าเขาตาปริบ ๆ ก่อนจะยื่นแขนไปด้านหน้าเพื่อให้อีกคนผูกแขนให้ เมื่อสายฟ้าเห็นเธอยื่นแขนมาด้านหน้าเขาก็มองเรียวแขนเธอครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“บ่” (ไม่) จากนั้นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็หันไปพูดกับพ่อของเขา
“เอิ้นข่อยมาส่ำนี่เบาะ?” (เรียกฉันมาแค่นี้เหรอ?) ทางด้านน้ำมนต์เมื่อได้ยินถ้อยคำปฏิเสธของเขาเธอก็หน้าเสียไปไม่น้อยก่อนจะรีบชักแขนกลับมาที่เดิมแล้วก้มหน้านั่งฟังพ่อครูกับลูกชายของเขาคุยกันเงียบ ๆ
“โทรตามแม่ให้กลับเฮือนแหน่” (โทรตามแม่ให้กลับบ้านหน่อย)
“เอ้า! พ่อคือบ่โทรเอง” (อ้าว! ทำไมพ่อไม่โทรเอง)
“โทรแล้วแม่บ่กลับ พ่อกะเลยให้บักหล่าลองโทรเบิ่ง” (โทรแล้วแม่ไม่กลับ พ่อก็เลยให้สายฟ้าลองโทรดู) แม้จะไม่อยากเสียมารยาทแอบนั่งฟังแต่ทำไงได้ก็หูมันได้ยินเอง น้ำมนต์จึงได้แต่นั่งยิ้มฟังพ่อครูคุยกับลูกชายของเขา ซึ่งมันดูน่ารักมากใบหน้าสวยจึงยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พอเหลือบขึ้นเห็นสายฟ้าจ้องมองอยู่น้ำมนต์จึงรีบเม้มปากกลั้นยิ้มทันที...
“เดี๋ยวข่อยโทรให้” (เดี๋ยวผมโทรให้) พูดจบสายฟ้าก็ลุกขึ้นเดินลงบันไดไปทันที ทางด้านพ่อครูได้แต่มองตามหลังลูกชายกระทั่งพ้นสายตาไม่นานมียศก็เดินขึ้นมา...
เมื่อเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้วมียศจึงชวนน้ำมนต์กลับบ้าน หลังจากร่ำลากันเรียบร้อยน้ำมนต์ก็เดินตามมียศไปยังรถกระบะคันเก่า แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นเพราะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์สีดำขับมุ่งตรงมายังหน้าบ้านก่อน สองตาหลานจึงหันไปมองเนื่องจากท่อรถมันเสียงดังจึงทำให้เป็นจุดสนใจ ขณะที่เจ้าของรถกำลังจะขับผ่านหน้าสองตาหลานเขาก็บิดเร่งเครื่องยนต์ใส่แล้วขับออกไปจากบ้านทันที
“ไม่มีมารยาทคนยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้” น้ำมนต์ได้แต่ยืนฟังตาเธอบ่นสายฟ้าเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกไป ส่วนมียศมองสายฟ้าขับรถออกจากบ้านด้วยสายตาเอือมระอา แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแต่เขานั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถูกชะตาลูกชายของพ่อครูขึ้นมาเลยสักนิด เพราะสิ่งที่เขาเห็น เด็กคนนี้ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ไม่มีสัมมาคารวะดูไม่เอาการเอางานขี้คร้านตัวเป็นขนวัน ๆ เอาแต่นั่งแต่งรถกับเพื่อนแถมยังเจ้าชู้อีกต่างหาก คุยกับผู้หญิงไปเรื่อย ยิ่งตัวเขานั้นไม่ชอบคนเจ้าชู้ไม่รู้จักพออยู่แล้ว พอเห็นสายฟ้าเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้มียศไม่ชอบสายฟ้าไปใหญ่...