เวลาผ่านไปจนถึงต้นยามซวี บรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างก็ทยอยเข้างานกันจนครบ ขบวนกองทัพก็เคลื่อนพลเข้าถึงเมืองหลวงพอดี เหล่าพลทหารต่างแยกย้ายกันเพื่อกลับไปหาครอบครัว จะมีก็เพียงแต่เหล่าแม่ทัพที่ได้รับคำสั่งเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และร่วมฉลองสังสรรค์ในงานเลี้ยงคืนนี้
เหลียงลี่หลิน บีบมือตนเองและอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้พบท่านพ่อมาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ร่างบางคิดแล้วก็ชะเง้อมองตรงไปยังปากทางเข้าของส่วนงานเลี้ยง เพราะขณะนี้รับทราบจากคนของเป่ากงกงแล้วว่าท่านพ่อ และเหล่าแม่ทัพได้เข้าวังหลวงมาแล้ว และอยู่ในช่วงเวลาเข้าพบฮ่องเต้ เพื่อกล่าวรายงาน ขณะนั้นเองที่สายตาลี่หลินที่มองยังปากทางเข้างานก็แล้ว ก็สบสายตาเข้าพอดีกับองค์ชายสี่เฉินซีซวนที่เดินเข้างานมาในงานพร้อมกับคุณหนูเต๋อ เต๋อเยี่ยนฟาง เพื่อมานั่งยังที่ประทับฝั่งตรงข้าม ลี่หลินเองจึงยกยิ้มมุมปากประสานมือและก้มหัวค้อมคับนับ เป็นการทำความเคารพและทักทาย เฉินซีซวนพยักหน้ารับ ทักทายนางตอบเพียงเท่านั้น ส่วนหญิงงาม คุณหนูเต๋อผู้นั้นก็ยิ้มทักทายนางเช่นกัน เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ลี่หลินคาดเดา คงจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ดีเสียอีกยิ่งเร็วยิ่งดี ข้าจะได้อิสระเสียที ถึงเวลานั้นข้าจะท่องเที่ยวใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดเลยคอยดู โลกกว้างจ๋า..รอลี่ลี่ก่อนนะ คิดแล้วก็ยิ้ม ความสุขกระจายออกมาเต็มใบหน้า พร้อมกันนั้นก็ยกชาขึ้นจิบ และกวาดสายตามองไปทั่วทั้งงานอีกครั้ง ขณะที่ลี่หลินมีความสุขยิ้มรับกับอนาคตของตนเองนั้น ด้านฝั่งมารดา เลี้ยง กับน้องสาว ก็มีการเคลื่อนไหว
“ท่านแม่ ท่านดูนั่นสิ พี่ซีซวนมาด้วยกันกับนังคุณหนูเต๋อ หลังจากจัดการนังพี่สาวเสร็จ ท่านต้องจัดการนังคุณหนูเต๋อให้ข้าอีกคน มันเป็นเสี้ยนหนามตำใจข้ามานาน พี่ซีซวน นะ พี่ซีซวน ข้ารึ อุตส่าห์เพียรพยายาม ฝึกฝนศาสตร์ทั้งสี่ให้เก่งกาจเหมาะสมสำหรับตำแหน่งในอนาคต รวมถึงพยายามทำตัวให้อยู่ในสายตาท่าน แต่ท่านก็ไม่เคยคิดมองข้าเลย..”
“เอาเถอะลูกรัก… ยังไงซะ หากหมดพี่สาวเจ้าไปคนหนึ่ง เจ้าก็หมดคู่แข่งสำคัญไปแล้วหนึ่ง แล้วเราค่อยๆ มาคิดหาหนทางจัดการคนต่อไปดีมั้ย อย่าวู่วามไป แล้วที่สำคัญเจ้าต้องทำตัวให้ดี เก็บอาการให้มาก อย่าแสดงออกอารมณ์ด้านร้าย ไม่พอใจหรือหึงหวงยังไงก็เก็บกลืนไว้ก่อนลูกแม่… หากเจ้าแสดงอารมณ์ออกนอกหน้ามันไม่งาม และอาจจะเสียเรื่องเอา แผนการทั้งหมดที่เราวางไว้มันจะล้มเหลวไม่เป็นท่า เจ้าดูอย่างพี่หญิงของเจ้าเป็นตัวอย่างสิ นางแค่นั่งสวยๆ รอรับทุกอย่าง แม่ไม่เห็นว่านางจะแสดงอาการไม่พอใจ หรือแสดงกิริยาไม่งามเลย หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ และฟังคำที่แม่พูดนะลูก” ว่าแล้วก็จับมือลูกสาวพร้อมทั้งตบเบาๆ บนหลังมือเพื่อเป็นการปลอบใจ
“เจ้าคะ ลูกเข้าใจแล้ว” ตกปากรับคำมารดา หากแต่ในใจซิงหลิง ก็คิดไปอีกแบบ พี่หญิงใหญ่เหรอ นังโง่ นั่งรอเฉยๆ รอให้คนอื่นมาคาบองค์ชายไปนะสิ ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้นหรอก
ขณะที่สองแม่ลูกพูดคุยกัน บริเวณโดยรอบก็มีเสียงซุบซิบถึงเรื่องนี้เช่นกัน ด้วยความไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญ หรือว่าอะไร เพราะขณะนี้ผู้ที่เป็นคู่หมั้นและว่าที่ชายา คือเหลียนลี่หลิน หากแต่หลายๆ คนก็อดที่จะคิดและคาดการไม่ได้ว่า ระหว่างเหลียงลี่หลิน และ เต๋อเยี่ยนฟาง ผู้ใดจะได้วาสนานี้ไปครอบครอง ได้เป็นชายารัชทายาท และ ว่าที่ฮองเฮาในอนาคต
กลับมาที่บรรยากาศงานเลี้ยง หากไม่นับบรรยากาศแปลกๆ เมื่อสักครู่ ก็ถือได้ว่างานเลี้ยงในคืนนี้ครึกครื้นรื่นเริงไม่น้อยเลยทีเดียว มีเสียงเพลงบรรเลงจากนักสังคีตหลวง เคล้าคลอปะปนไปกับการพูดคุยทักทายกันของคนในงาน บ้างก็ร่ำสุราอาหารพูดคุยกันไปเพื่อรอเวลาพิธีการที่ฮ่องเต้ และฮองเฮาจะออกมาเปิดงานอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งถึงยามปลายซวี เสียงเพลงก็เงียบลงเป็นสัญญาณว่า…งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริง เสียงขานแจ้งจากขันทีก็ดังขึ้น…
“ฮ่องเต้…เสด็จ”
“ฮองเฮา…เสด็จ”
“พระพันปี..เสด็จ”
หลักจากเสียงขานแจ้งของขันที บรรดาข้าราชบริพาล พร้อมเหล่าคุณหนูคุณชาย และภรรยาขุนนางก็ลุกขึ้นคำนับ ทำความเคารพพร้อมทั้งถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง
“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี”
“โอ้… เอาละ เอาละ ลุกขึ้นเถอะ วันนี้ก็ไม่ต้องมากพิธี เราไม่ได้มาว่าราชการในท้องพระโรง ทุกคนดื่มฉลองสังสรรค์ กันได้เต็มที่ ฉลองชัยชนะและ ต้อนรับการกลับมาของเหล่าแม่ทัพ หากแต่ก่อนจะเริ่มงานเราขอให้ทุกท่านเป็นสักขีพยานในการมอบรางวัลให้แก่เหล่าแม่ทัพในวันนี้”
ฮ่องเต้ กล่าวจบก็หันหน้าไปทางเป่ากงกง
“เป่ากงกง ท่านเชิญเหล่าแม่ทัพเข้ามาได้”
สิ้นเสียงรับสั่ง เป่ากงกง ก็ส่งสัญญาณให้ขันที ส่งเสียงขานเรียกเหล่าแม่ทัพเข้ามา
“ขอเชิญ เหล่าแม่ทัพผู้กล้า”
“แม่ทัพแดนเหนือ เหลียงเฉาเหว่ย”
“รองแม่ทัพแดนเหนือ หลี่จวิน”
“แม่ทัพแดนบูรพา เฉินเฟยหลง”
“รองแม่ทัพแดนบูรพา เต๋อมู่เฉิน เต๋อมู่หยาง”
หลังสิ้นคำขานเรียก แม่ทัพแดนเหนือและรองแม่ทัพก็เดินเข้ามาในงาน พร้อมทั้งแสดงความเคารพ ฮ่องเต้ อีกครั้ง ขาดก็แต่ แม่ทัพแดนเหนือและรองแม่ทัพทั้งสองที่ไม่ได้เดินเข้ามา
“เป่ากงกง เหตุใดเฟยหลงจึงยังไม่เข้างานมา เพิ่งจะแยกจากเราเมื่อครู่ หายไปไหนอีกแล้วไอ้น้องชายตัวร้ายนี่”
“เอ่อ… ฝ่าบาท กระหม่อมก็ยังไม่ทราบขอรับ เดี๋ยวจะให้คนไปสืบมาให้ขอรับ” พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีขันทีจากบริเวณด้านหน้าของงานที่เดินอ้อมมาทางด้านหลังพร้อมจดหมายฉบับหนึ่งยื่นให้เป่ากงกง ทั้งกระซิบบอก
“ท่านอ๋องให้คนมาแจ้งว่ามีภาระกิจลับ ด่วน ขออภัยฮ่องเต้ ที่ไม่สามารถมาเข้าร่วมงานได้ เป่ากงกง ท่านช่วยนำจดหมายและคำพูดนี้ไปทูลฝ่าบาทให้ด้วยขอรับ” เป่ากงกง รับจดหมายและเดินขึ้นไปด้านข้างพระที่นั่งของฮ่องเต้ทันที พร้อมทั้งยื่นจะหมายและเอ่ยคำพูดที่ท่านอ๋องฝากมา
“ไอ้เด็กคนนี้นี่ ชักจะเอาใหญ่แล้ว ภาระกิจลับอะไร” ฮ่องเต้บ่นไปพร้อมเปิดจดหมาย ที่เขียนแจ้งมาด้วยลายมือของเฉินเฟยหลง
“เอาล่ะ เอาละ อย่าให้เสียบรรยากาศ กงกง ท่านก็ประกาศรางวัลให้ท่านแม่ทัพแดนเหนือไปเถอะ ส่วนไอ้เจ้าเด็กคนนั้น เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ว่าพร้อมโบกมือเป็นสัญญาณให้เป่ากงกงจัดการต่อ
“ขอรับ นู่ไฉทราบแล้ว” เป่ากงกง รับคำพร้อมทั้งหยิบราชโองการขึ้นมา
“แม่ทัพเแดนเหนือรับราชโองการ” สิ้นคำเป่ากงกง เหลียงเฉาเหว่ยก็คุกเข่าลงประสานมือก้มหัวคำนับรับราชโองการ พร้อมทั้งกล่าว “น้อมรับราชโองการ”
“เหลียงเฉาเหว่ย แม่ทัพแดนเหนือ มีความดี ความชอบใหญ่หลวง นำทัพต่อต้านศึก ได้รับชัยชนะมาตลอด แม้ศึกครั้งนี้จะกินเวลายาวนานถึง 3 ปี แต่ด้วยความสามารถก็ทำให้ได้รับชัยชนะทั้งยังสูญเสียกำลังพลน้อยที่สุดเป็นประวัติกาล ด้วยผลงานนี้ ฮ่องเต้พระราชทานยศใหม่ เป็นแม่ทัพไร้พ่าย พระราชทานป้ายทองเคลื่อนย้ายกำลังพลฉุกเฉินได้ทุกหน่วย พระราชทานที่ดินในเขตเมืองหลวง 200 หมู่ ทองคำ 1000 ชั่ง เงิน 10000 ตำลึง ผ้าไหมอย่างดี 100 พับ พักงานได้ 2 ปี ไม่ต้องเข้ากองทัพ แต่หากมีคำสั่งพิเศษ หรือเร่งด่วนให้รีบรวมกำลังกลับเข้ากองทัพในทันที”
“กระหม่อมน้อมรับราชโองการ ขอพระองค์พระเจริญ หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เหลียงเฉาเหว่ยกล่าวจบก็ยกสองมือเหนือศีรษะ รอเป่ากงกงเดินเข้ามาวางราชโองการลงบนฝ่ามือ
“ต่อไป รองแม่ทัพแดนเหนือ หลี่จวิน รับราชโองการ”
“นับรับราชโองการ” รองแม่ทัพหลี่จวินคุกเข่าลงรับราชโองการ
“รองแม่ทัพหลี่จวิน ร่วมรบต้านศึกช่วยเหลือแคว้นให้พ้นภัย พระราชทานยศใหม่ให้ขึ้นเป็นแม่ทัพแดนเหนือ ประจำกองทัพเขตชายแดนเหนือ พระราชทานที่ดิน ตามแนวชายเดือนเหนือติดกับกองทัพ 1000 หมู่
ทองคำ 500 ชั่ง เงิน 5000 ตำลึงทอง พักงานและอยู่ในเมืองหลวงได้ 6 เดือน หลังจากนั้นไปประจำการที่เมืองชายแดนเหนือ ดูแลความเรียบร้อยของกองทัพ”
“กระหม่อมน้อมรับราชโองการ ขอพระองค์พระเจริญ หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หลังประกาศราชโองการ พระราชทานรางวัลแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮารวมถึงพระพันปี ก็ขอตัวกลับ และอนุญาตให้เหล่าขุนนางพูดคุยสังสรรค์งานเลี้ยงกันต่อ
ทางด้านเหลียงเฉาเหว่ย หลังรับราชโองการได้อยู่พูดคุยทักทายกับเพื่อนร่วมงานและบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่นับถือคุ้นเคยอีกราวๆ ครึ่งเค่อ เมื่อเรียบร้อยแล้ว จึงขอปลีกตัวกลับมาพบกับบุคคลในครอบครัว หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานกว่า 3 ปี