วันต่อมา
พอรู้ว่าพี่นธีมีเรียนเช้าฉันจึงตื่นขึ้นมาแล้วอุ่นกับข้าวและทำอาหารง่ายๆอีกอย่างนั่นคือไข่กระทะเพื่อเอาไปให้เขาทานแต่เช้า
"..." เขาเปิดประตูห้องเมื่อถูกรบกวนโดยฉันเอง
ตอนนี้พี่นธีเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเป็นเสื้อช็อปวิศวะสีกรมท่ากับกางเกงยีน กลิ่นกายหอมๆที่ไม่ได้มาจากน้ำหอมแต่น่าจะเป็นกลิ่นครีมอาบน้ำทำให้เขามีเสน่ห์จนสาวๆกรี๊ดสลบได้แน่นอน
"กินข้าวเช้าค่ะ" ฉันส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเพราะเจ้าของห้องหันหลังให้แบบเดิมเป็นการอนุญาตตามแบบฉบับของพี่นธี
ฉันเดินไปเอากับข้าวในห้องมาอีกจากนั้นก็ล็อกห้องตัวเองแล้วมากินข้าวห้องของเขา อย่างกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
แต่เสียดายที่สีหน้าเขาไม่ยินดียินร้ายซักเท่าไหร่
เหมี้ยววว
"หืม ยังไม่ได้ทานอะไรเหรอน้องเหมียว" ฉันนั่งลงไปคุยกับมัน ตอนนี้กำลังเอาแก้มของมันมาถูไถอ้อนฉันอย่างน่ารักน่าเอ็นดู "พี่นธีไม่เอาข้าวให้หนูทานเหรอคะ ยังผอมอยู่เลย"
"คงจะตอบ" พี่นธีพูดเสียงเรียบพร้อมกับปรายตามองฉันแล้วเดินไปนั่งสวมถุงเท้าที่โซฟา "มันไม่ยอมกินเอง"
ฉันฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วเดินไปดูอาหารที่เขาเอาให้ในชามอาหารสีชมพูหวานแหววแล้วยิ้มออกมา เขาคงไม่ได้เลือกมันเองหรอกนะ
"นี่มันอาหารแมวโตนี่คะ น้องยังเล็กจะกินได้ยังไง" ฉันหันไปบอกพี่นธี
"จะไปรู้ได้ไง" คนร่างสูงพูดจบก็เดินมาดูฉันที่อุ้มน้องแมวอยู่ "มาเลี้ยงเองเถอะ"
"เนยมาเลี้ยงอยู่แล้ว พี่ห้ามบ่นเบื่อขี้หน้าเนยแล้วกัน" ฉันพูดพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะวางเจ้าแมวเหมียวลงและเดินไปล้างมือ "เนยจะขุนให้มันอ้วนเหมือนหมี"
"..." พี่นธีนิ่งมองฉันที่ทำท่าทางไร้สาระอยู่แล้วหันหลังไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวเหมือนจะเมินใส่
"พี่ตั้งชื่อให้มันหรือยัง" ฉันหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามแล้วจัดแจงถ้วยชามให้เขา
"ไม่"
"มันเป็นผู้หญิง ชื่ออะไรดีน้า~"
"นิเนย" พี่นธีพูดแล้วตักข้าวทานคำโต
"จะเอาชื่อคนไปตั้งชื่อแมวได้ไง ถ้าพี่เรียกแมวแล้วเนยหันไปล่ะ" ฉันแกล้งทำหน้ามุ่ยใส่เขาแล้วตักข้าวใส่ปากตัวเอง
"..." พี่นธีเผลอยิ้มออกมาหลังจากฉันพูดจบแต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นเหมือนกำลังนั่งดูดาวตก ที่อยู่ๆมันก็หายไปในพริบตาแล้วเขาก็ตีหน้ามึนต่อ
"ชื่อนธีดีมั้ย นธี~" ฉันหันไปหาน้องแมวแล้วมันก็ตอบกลับมาด้วยเสียงร้องอย่างพอใจ "มันชอบชื่อนี้นะคะ"
"..." เจ้าของชื่อนั้นเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสายตาอัมหิตจนต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันที "กวนประสาท"
ทีตัวเองยังจะตั้งชื่อว่านิเนยเลย...
"ชื่ออะไรดีน้า" ฉันทำท่าครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมา "ชื่อปุยนุ่นมั้ยเพราะมันเป็นสีขาวค่ะ"
"ตามใจเธอ" เขาบอกเสียงเรียบแล้วกินข้าวต่อ นอกจากข้าวกับการนอนแล้วยังมีอะไรที่เขาสนใจเป็นพิเศษอีกมั้ยนะ
ดูเฉยชากับทุกเรื่องจริงๆ
"น้องปุยนุ่น~"
เหมี้ยววว~
@มหาวิทยาลัย
"แกทำภารกิจเสร็จยัง" เสียงของใบเฟิร์นเอ่ยถามตอนที่เรากำลังแวะซื้อน้ำที่คาเฟ่เล็กๆใต้ตึกเรียน
"เรียบร้อย"
"แกโชคดีจังวะไม่โดนรุ่นพี่แกล้ง" ใบเฟิร์นบ่นอุบอิบแล้วกดแชร์คลิปวีดีโอของตัวเองต่อ
"ใบเฟิร์น แกมีงานอะไรแนะนำฉันอีกมั้ย" ฉันหันซ้ายแลขวาก่อนจะถามใบเฟิร์นเหมือนกระซิบ
"ทำไม ร้านที่แกทำล่ะ"
"ไม่ทำแล้ว เมื่อคืนหนีกลับมาด้วย" ฉันถอนหายใจออกมายาวๆ อีกสองเดือนก็ต้องลงทะเบียนเรียนอีกแล้วถ้าเอาเงินเก็บไปจ่ายมันก็เหลือน้อยลงทุกที
"ทำไม มันก็ดีไม่ใช่เหรอ"
"เจอแขกนิสัยไม่ดีน่ะ ฉันไม่ชอบ" คิดถึงตอนนั้นแล้วก็ขยะแขยง ฉันเกลียดการถูกคนไม่รู้จักแตะต้องร่างกายที่สุดเลย
เหมือนมันเป็นปมในใจอย่างนั้นแหละ
"เดี๋ยวฉันลองหาดูนะ แต่ขอถามหน่อยเถอะทำไมแกต้องร้อนเงินขนาดนั้น พ่อแม่แกไม่ให้เหรอ" คำถามของใบเฟิร์นทำให้ฉันรู้สึกจุกอกแต่ก็ฝืนยิ้มออกมา "แม่ฉันเสียแล้ว พ่อ...ตกงาน"
"อ่อ ฉันขอโทษนะถ้าทำให้แกรู้สึกไม่ดี นิเนย...ขอโทษฉันไม่รู้"ใบเฟิร์นพูดแล้วบีบไหล่ฉันเหมือนให้กำลังใจและรู้สึกผิดกับคำถามของตัวเอง
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ว่าแกเลย" ฉันส่งยิ้มให้ใบเฟิร์นเพราะไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก
"แล้วทำไมแกไม่ให้บอกยัยนิน แกคบกับมันมานานไม่ใช่เหรอ" ยัยนั่นขมวดคิ้วถาม
"เพราะคบกันมานานไงถึงต้องไม่ให้รู้ ยิ่งนานก็ยิ่งต้องเกรงใจ ญานินดีมากเกินไป ถ้ารู้ยัยนั่นต้องช่วยฉันจนตัวเองลำบากอีกคนแน่" ฉันบอกแล้วหลุบตามองต่ำ อีกอย่างฉันไม่อยากให้คนใกล้ตัวอย่างญานินมารับรู้เรื่องทุเรศๆของครอบครัวฉันด้วย
ญานินรู้จักและเคยสนิทกับครอบครัวฉันแต่นั่นแค่ตอนที่แม่อยู่ มันรักและเคารพพ่อแม่ฉันมาก ถ้ารู้ว่าครอบครัวของฉันที่เคยอบอุ่นกลายเป็นแบบนี้ ไม่รู้นินจะรู้สึกยังไง
อีกอย่างช่วงนี้มันยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแฟนเก่าและเรื่องรับน้องด้วย ถ้ารับเรื่องของฉันไปอีกคงไม่ดี
"อืม ถ้ามีอะไรบอกฉันนะ ฉันจะช่วยแกเต็มที่"
"อื้ม ขอบคุณ"
"ทำไมช่วงนี้มาสายตลอดเลยยะหล่อน" ใบเฟิร์นหันไปแซวญานินที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องเรียน อีกนิดเดียวก็จะเข้าสายกว่าอาจารย์แล้ว
"ก็ปกตินี่"
ญานินเป็นคนขี้เซาพอๆกับพี่นธีนั่นแหละ พี่น้องกันก็ต้องมีเหมือนกันบ้าง แต่เรื่องหนึ่งที่ไม่เหมือนคือความมีอัธยาศัย ยัยนี่พูดมากและเป็นมิตรกว่าพี่นธีเยอะ
แต่พื้นฐานชีวิตดี พ่อแม่สั่งสอนมาดีทั้งคู่จึงมีนิสัยและการเรียนดีไม่มีขาดตกบกพร่องเลย ตั้งแต่คบกับญานินมาเรายังไม่เคยทะเลาะหรือมีปัญหากันเลยซักครั้ง
"ฉันว่าไม่ปกติ วันนั้นหลังจากแกไปกับพี่ทศกัณฐ์ก็ไม่ปกติอีกเลย" ใบเฟิร์นยังคงจับผิดเพื่อนต่อ
"พูดอะไของแกเนี่ย คิดมากไปแล้ว"
"เลิกแซวมันเถอะหน้าแดงไปถึงหูแล้ว" ฉันส่ายหน้าเบาๆแล้วจึงหันไปมองอาจารย์ที่กำลังจะเข้าสอน บทสนทนาของพวกเราก็หยุดลงแค่นั้นจนกระทั่งเลิกเรียน
"พรุ่งนี้ตรวจกิจกรรมแล้วนะ ญานินของแกเรียบร้อยมั้ย" ใบเฟิร์นถามเพื่อน
"แน่นอน"
"เบื่อการรับน้องที่สุดเลย กะอีแค่หัวเข็มขัดกับติ้งฉันจ่ายเงินซื้อก็ได้มั้ย" ยัยนั่นยังคงบ่นไม่หยุด
"ซื้อแล้วมันไม่ภูมิใจไง" ฉันหัวเราะเบาๆแล้วพูดออกมา
"เบื่อจริงๆ"
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จฉันก็ปลีกตัวออกมาจากเพื่อน บอกว่ามีธุระต้องไปทำแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นธุระกับพี่นธี
จะว่าไปแล้วฉันไม่มีเบอร์โทรหรือช่องทางติดต่อกับเขาเลย นอกจากการเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คที่พี่เขาแทบจะไม่อัพเดทอะไร จึงไม่รู้ว่าจะเล่นมันอยู่หรือเปล่า
ออนไลน์เมื่อ...สองวันที่แล้ว
เลยทำได้แค่นั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขกล่างคอนโดเพื่อรอให้เขามาเพราะตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาบ่ายโมงที่เรานัดกันไว้แล้ว
"นิเนย" เสียงใสๆที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันรีบหันไปมองทันที "แกมาทำอะไรที่นี่"
"ฉัน..." ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ร่างสูงของใครอีกคนก็ก้าวเขามาพร้อมกับสีหน้านิ่งเรียบญานินจึงหันไปสนใจเขาแทน
"พี่นธี! ลงมาพอดีเลยดีแล้วนินจะได้ไม่ต้องเหนื่อย นินได้รับมอบหมายจากคุณแม่ให้มาตรวจสอบ"
"อะไร"