กว่าจะปลีกตัวออกมาจากบ้านของน้ำผึ้งได้ ก็เสียเวลาไปชั่วโมงกว่าเลยทีเดียว
ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ หลังจากจอดรถยนต์ที่โรงจอดรถเรียบร้อยแล้ว
เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองอย่างอ่อนล้า ก่อนจะก้าวลงไปจากรถ และเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง
มารดาของเขานั่งอยู่ในห้องรับแขก และเมื่อเห็นเขาเดินกลับเข้ามาในบ้านก็เอ่ยทักทายขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ครับคุณแม่”
เขาตั้งใจว่าจะเดินขึ้นห้องนอนเลย แต่มารดาก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“มานั่งคุยกันก่อนสิลูก”
เขาถอนใจเบาๆ และก็จำต้องเดินไปนั่งบนโซฟาตัวตรงข้ามกับมารดาอย่างไม่มีทางเลือก
“มีอะไรหรือครับคุณแม่”
“วันนี้ไปลองชุดแต่งงานมาเป็นยังบ้าง”
ไอ้เขาก็นึกว่ามารดาจะคุยเรื่องอะไรด้วยเสียอีก
“ก็ปกติครับ”
“ดูทำเสียงเข้า”
มารดามองค้อนมาที่เขา แต่เขาไม่ได้สนใจอะไร
“มีอะไรอีกไหมครับคุณแม่ ผมเหนื่อยๆ อยากพักผ่อนน่ะครับ”
“ทำไมวันนี้ไม่พาหนูผึ้งมากินข้าวที่บ้านของเราด้วยล่ะ”
“ผมไปกินที่บ้านของน้ำผึ้งมาแล้วครับ”
“จริงเหรอ งั้นเอาอย่างนี้นะ พรุ่งนี้พาหนูผึ้งมากินข้าวที่บ้านเรา เดี๋ยวแม่ให้แม่ครัวทำของโปรดของหนูผึ้งเอาไว้รอ”
ท่าทางตื่นเต้นของมารดา ทำให้เขาอดรู้สึกขัดใจไม่ได้
“ทำไมต้องพามาด้วยล่ะครับ วุ่นวายเปล่าๆ”
“อะไรกันลูก ทำไมพูดถึงหนูผึ้งแบบนี้ล่ะ ลืมไปแล้วหรือไงว่านั้นน่ะว่าที่เมียของลูกเลยนะ”
เขายังไม่พร้อมมีเมีย...!
แม้ในใจจะคิดแบบนี้ แต่ปากก็พูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมารดาตบกบาลเอา
“ผมยังไม่พร้อมเลยครับคุณแม่”
“ไม่พร้อมอะไรกัน อายุจะสามสิบสามแล้วไม่ใช่เหรอ เพื่อนรุ่นเดียวกันมีลูกกันไปเป็นโขยงหมดแล้ว เหลือแต่ลูกคนเดียวนั่นแหละ ที่ยังโสดอยู่น่ะ”
“ก็ผมอยากทำงานก่อนนี่ครับ”
“มีเมียไปด้วยทำงานไปด้วยมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ต้องพูดมากแล้ว เราคุยเรื่องนี้กันจบแล้วไม่ใช่เหรอ”
เมื่อเห็นมารดาทำท่าจะโกรธ เขาจึงทำได้แค่ถอนใจและนิ่งเงียบ
“งั้นลูกก็ขึ้นไปพักผ่อนเถอะ แม่ไม่กวนแล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มลุกขึ้น และเดินจากไปเงียบๆ เมื่อขึ้นมาถึงห้องนอน เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“เห็นมาตั้งแต่เกิด นึกภาพตอนจับทำเมียไม่ออกเลยจริงๆ”
ในขณะที่เขากำลังบ่นอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน
เบอร์ที่โชว์บนหน้าจอเป็นเบอร์เพื่อนผู้หญิงคนนั้นที่เขาไม่ได้ติดต่อมานานมากแล้ว
“เมนี่?”
ด้วยความประหลาดใจ และอยากรู้ว่าหญิงสาวติดต่อมาเพื่ออะไร เขาจึงตัดสินใจรับสายตา
“สวัสดีครับเมนี่”
“อุ๊ย ดีใจจังเลยค่ะที่วิศรับสาย ไม่ได้ยินเสียงหล่อๆ แบบนี้มานานมากแล้วนะเนี่ย”
คนถูกชมหัวราะขบขัน “มีอะไรหรือเปล่าครับ โทรมาหาซะค่ำมืดเลย”
“ขอโทษทีนะที่โทรมาดึกน่ะ แต่เมนี่เพิ่งมาถึงเมืองไทยเมื่อครึ่งชั่วโมงนี้เอง แล้วก็เหงาๆ ไม่รู้จะโทรหาใคร นึกถึงวิศก็เลยโทรหาน่ะ”
“อ้าว เพิ่งเดินทางมาไทยเหรอ นึกว่าอยู่เมืองไทยอยู่แล้วเสียอีก”
“เพิ่งเซ็นต์ใบหย่ากับสามีเมื่อวันก่อนน่ะ วันนี้ก็เลยเพิ่งบินมาถึงไทย ว่าแต่ว่างไหมล่ะ ออกมาดื่มกันหน่อยไหม”
วิศรุตนิ่งเงียบไป เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่อยากออกไปสถานบันเทิงตอนกลางคืนสักเท่าไหร่ แล้วยิ่งเป็นการออกไปหาเมธินีด้วย เขาก็ยิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรออกไปอย่างยิ่ง
“เอาไว้นัดดื่มกาแฟกันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงดีกว่าไหมครับ”
“แหม วิศยังกลัวน้องน้ำผึ้งเหมือนเดิมเลยนะ”
คำพูดนี้แทงใจดำของวิศรุตยิ่งนัก เพราะมันทำให้เขานึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จริงๆ แล้วเมธินีเคยมาสารภาพรักกับเขา และเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ก็ถูกน้ำผึ้งบุกมาขัดขวางจนทุกอย่างพังพินาศไปหมด
“ผมไม่เคยกลัวเด็กนั่นหรอกครับ”
เมธินีหัวเราะมาตามสาย
“แหม วิศ... แน่ใจนะที่พูดน่ะ”
“แน่ใจสิ ว่าแต่จะนัดที่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมรีบออกไปหาเลย”
“ที่เดิมไง จำได้ไหมที่เพื่อนๆ กลุ่มเราชอบไปกันน่ะ แล้วเจอกันนะ”
“อืม”
“หวังว่าวิศจะไม่เบี้ยวนัดเมนี่ล่ะ”
“ไม่หรอกครับ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”
เมื่อเมธินีวางสายไปแล้ว ชายหนุ่มถึงถอนใจออกมาแรงๆ
“ใครกล้วเด็กแสบนั่นกัน ไม่มีสักหน่อย”
ในขณะที่วิศรุตออกไปผับเพื่อดื่มกับเมธินี แต่น้ำผึ้งกลับกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนเจ้าหญิงของตัวเอง ใบหน้ารูปไข่เปื้อนรอยยิ้มหวาน เมื่อนึกถึงคู่ชีวิตที่ปรารถนา
“พี่วิศใส่ชุดเจ้าบ่าวหล่อมากเลยค่ะ”
หล่อนพึมพำอย่างมีความสุข ยังจำวินาทีแรกที่เห็นวิศรุตในชุดเจ้าบ่าวได้เป็นอย่างดี
เขาหล่อเหลือเกิน...
และหล่อนก็ดีใจมากที่เขาเกิดมาเป็นผู้ชายของตัวเอง
“ผึ้งสัญญาว่าจะรักและก็ทำให้พี่วิศมีความสุขที่สุดในโลกเลยค่ะ”
ในขณะที่กำลังนอนยิ้มหวานอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังกังวานขึ้น
หล่อนเอี้ยวตัวไปกระตุกเชือกเพื่อเปิดให้โคมไฟหัวเตียงสว่าง จากนั้นจึงคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู
“ว่าไงจ๊ะ ยัยนุ่น ไม่หลับไม่นอนหรือไงเนี่ย”
“แกอยู่ไหนน้ำผึ้ง”
“ก็อยู่บ้านน่ะสิ นี่ใส่ชุดนอนกำลังนอนแล้วเนี่ย”
น้ำผึ้งรู้สึกได้ว่าเพื่อนของตัวเองอึ้งไป และก็มีอาการอ้ำอึ้งเหมือนกับมีอะไรจะบอก
“มีอะไรหรือเปล่า นุ่น... บอกมาสิ”
“คือ... อย่างนี้นะ ฉันมาเที่ยวผับ”
“รู้แล้วล่ะว่าแกอยู่ในผับ เสียงเพลงดังขนาดนี้ไม่ได้อยู่ในวัดแน่ๆ”
น้ำผึ้งอดที่จะเหน็บแนมเพื่อนสนิทไม่ได้
“แล้วฉันก็เห็น...”