“ถึงกูจะไม่ชอบบทลงโทษเท่าไหร่ แต่กูก็ดีใจที่พี่อีธานมาเฝ้า กูจะได้วิ่งไปมองหน้าพี่เขาไป กำลังใจเต็มเปี่ยม” แพรวิ่งไปพลางพูดไปด้วย ตามันเยิ้มตลอดอ่ะเวลามองไปที่นายนั่น นี่มันลืมไปแล้วเหรอว่านายนั่นเป็นตัวต้นเหตุตัวต้น ๆ ที่ทำให้เราต้องมาวิ่งแบบนี้
“แต่เขาทำให้เราโดนลงโทษนะเว้ย!” ฉันพูดเตือนความจำให้มัน แต่คำตอบที่ได้ทำเอาฉันอยากจะเอาหัวโขลกพื้นตาย
“กูไม่ถือ ฮ่า ๆๆ”
เดี๋ยว ๆ อะไรคือไม่ถือของมัน เราโดนลงโทษเพราะนายนั่นเสนอให้พี่ธาวินลงโทษนะ ลำเอียงเห็น ๆ
“มึงนี่นะ” ฉันส่ายหัวให้มันอย่างเอือมระอา แล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อ
ฉันวิ่งมาได้เกือบจะครบหนึ่งรอบสนามแล้ว แต่มันโคตรเหนื่อยเลย ที่วิ่งมาได้ขนาดนี้คือวิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันไป ส่วนแพรวิ่งนำฉันไปได้นิดนึง สภาพมันก็ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไหร่ ก็คือเหงื่อชุ่มมาก แต่ใจมันสู้มากเพราะแค่มันเห็นหน้านายอีธานนั่นมันก็มีแรงวิ่งต่อแล้ว แต่สำหรับฉันคือไม่เลย ตอนนี้คือปวดขาสุด ๆ จนอยากจะตัดขาสั้น ๆ นี่ทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอด
“ผมสั่งให้วิ่งนะครับ ไม่ใช่เดิน!” เสียงนายอีธานพูดขึ้นขณะที่ฉันเดินมาจนครบหนึ่งรอบสนามพอดี
“นายก็ลองมาวิ่งเองดูสิ…เหนื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ย!” ฉันสวนเขาไปพลางหายใจหอบเหนื่อยไปด้วย คนยิ่งเหนื่อยอยู่ จะดุทำไมนักหนาก็ไม่รู้
“สนามเล็กนิดเดียว เหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
เล็กนิดเดียว? เขาใช้ตาหรือตาตุ่มมองว่ามันเล็กนิดเดียว สำหรับฉันคือมันโคตรจะกว้างใหญ่ไพศาลเลย
“เล็กอะไรวะ ใหญ่ขนาดนี้ สายตานายมีปัญหาเรอะ!” ฉันตอกนายนั่นไปด้วยสายตาเหวี่ยงเล็กน้อย เพราะเหนื่อยจะตายแล้วยังต้องมาเสวนากับเขาอีก
ขณะกำลังก่นด่าเขาในใจอยู่ จู่ ๆ เขาก็เดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาฉันด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“...…”
พอเขาเดินมาถึงก็มองจ้องหน้าฉันนิ่ง ๆ และไม่ยอมพูดอะไรสักที จนฉันต้องถามออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก เพราะรู้สึกประหม่าปนหวาดผวา
“อะ..อะไร?”
“เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไร?”
“ฮะ?”
“ฉันถามว่าเธอเรียกฉันว่าอะไร!?”
“ก็…นายไง”
“ฉันอายุเยอะกว่าเธอ”
ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สักหน่อยว่าเขาแก่กว่าฉันหนึ่งปี แต่ฉันไม่อยากเรียกพี่ไง ยังเคืองเรื่องเมื่อวานไม่หาย มาหาว่าฉันหน้าบาน
“ก็รู้…”
“รู้แล้วทำไมไม่เรียกฉันว่าพี่?”
“เอ่อ…ก็” ก็ไม่อยากเรียกไง จะถามคาดคั้นเอาคำตอบทำซากอะไรเนี่ย!
“เรียกฉันว่าพี่”
“แล้วถ้าฉันไม่เต็มใจเรียกล่ะ”
“เธอต้องเรียก!”
อะไรเนี่ย!? อยู่ ๆ ก็มาบังคับให้ฉันเรียกว่าพี่ บงการมากเกินไปแล้วนะ
“เข้าใจไหม…น้องใบหม่อน” เขาถามฉันเสียงอ่อนลง แถมยังพูดชื่อฉันด้วย รู้สึกแปลกๆ แฮะ
ฉันมองตาเขาแป๊บหนึ่ง สายตาเขาคือจ้องเขม็งรอคำตอบจากฉันอยู่ เฮ้อ รู้สึกอธิบายไม่ถูกเวลาที่จ้องตากับเขาเลย เอาว่ะ เรียกก็เรียก ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากเรียกสักเท่าไหร่ก็เถอะ
“ค่ะ...พี่”
“ดีมาก” พอฉันยอมเรียกเขาว่าพี่ เขาก็ยกยิ้มมุมปากแสดงถึงความพอใจสุด ๆ
“ไปวิ่งต่อ เหลืออีกรอบ”
เฮ้อ แล้วก็สั่งฉันให้ไปวิ่งต่อด้วยเสียงเข้ม คนบ้าอะไรไม่รู้ อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฉันล่ะเดาอารมณ์ของเขาไม่ถูกเลย
“ค่าาา”
การวิ่งรอบสนามอีกหนึ่งรอบของฉันบอกเลยว่าโคตรจะทรมานสุด ๆ แทบจะขาลาก ขนาดวิ่งไปด้วยเดินไปด้วยนะนี่ ตอนนี้สภาพฉันกับแพรคือหอบแฮก ๆ เหมือนน้องหมากระหายน้ำไม่ผิดเลย
“กะ…กู…โคตรเหนื่อยเลยอิหม่อน” แพรพูดเสียงหอบ เหนื่อยจะตายแล้วยังจะพยายามพูดอีก ฉันละนับถือใจมันเลย
“มึงพักก่อน…ค่อยพูด” ฉันตอบมันไปพลางหอบไปด้วย
“ไหวไหมครับน้อง ๆ?” พี่อีธานเดินเข้ามาหาฉันกับแพรที่นั่งเหยียดขาอยู่บนสนามหญ้า หน้าพี่อีธานดูสะใจมากที่เห็นสภาพใกล้ตายของพวกฉัน
“วะ…ไหวค่ะพี่” เสียงแพรพูดตอบ หน้าตามันดูอิ่มเอมใจและสดใสขึ้นมากหลังจากได้คุยกับพี่อีธาน แม้สภาพตัวเองจะดูไม่ได้ก็ตาม
“น้องล่ะ?” พี่อีธานหันมาถามฉัน
“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบเขาไป แม้ในใจจะตะโกนแย้งว่า ‘มึงไม่ไหวค่ะใบหม่อน’ ก็ตาม
จังหวะนั้น ซีมันก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาพวกฉันพอดี พอมันมาถึงมันก็เหลือบไปมองหน้าพี่อีธานแวบหนึ่งแล้วหันมาถามพวกฉันด้วยปากหมา ๆ ของมัน
“เป็นไงบ้างพวกมึง สภาพเหมือนหมาเลยแต่ละคน”
“นั่นปากมึงเหรอ!?” แพรแว้ดเสียงใส่ซีกลับไปพร้อมสายตาขุ่นเคือง
“ปากกูสิวะ มึงคิดว่าอะไร”
“กูนึกว่ามีหมาไปสิงในปากมึง ปากหมาฉิบหาย”
“เหรอวะ ทำไมกูไม่รู้เลย”
“มา ๆ เดี๋ยวกูช่วยตบออกให้”
“เถียงกับกูได้ แปลว่ามึงโอเคดีนี่หว่า”
แพรกับซีเถียงกันไปมา ซึ่งเป็นธรรมดาของพวกมัน ฉันหัวเราะให้พวกมันที่เถียงกันเป็นเด็ก ๆ ก่อนจะเหล่ตาไปมองหน้าพี่อีธาน ซึ่งเขาก็กำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน พอเขาเห็นว่าฉันมองก็รีบเบือนหน้าหันไปมองทางอื่นทันที
“ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็ไปรวมกับเพื่อน ๆ ที่ห้องเชียร์” เขาพูดบอกพวกฉันเสร็จก็เดินจากไป
“แล้วทำไมมึงมานี่ได้อ่ะ? พี่เขาไม่ว่าเหรอ” ฉันพูดถามซีด้วยความสงสัย
“ตอนนี้พักว่ะ เดี๋ยวก็ให้เข้าห้องแล้วเนี่ย เห็นว่าจะจับพี่รหัสต่อ”
“อ้อ”
“พวกมึงลุกกันไหวไหมนิ่?”
“ไหว ๆ” แพรพูดพร้อมกับค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น ฉันก็พยายามจะลุกขึ้นตามมันด้วย แต่พอจะลุกได้ ขาฉันก็รู้สึกหนักอึ้งเหมือนไม่มีแรงและล้มพับลงไปกองที่พื้น
“เฮ้ย ๆ มึงไหวไหมเนี่ยอิหม่อน” แพรรีบถามฉันทันทีอย่างเป็นห่วง ซีเองก็ดูตกใจไม่น้อย
“กูปวดขาว่ะ เหมือนจะไม่มีแรงลุกด้วย” ฉันตอบพวกมันพลางเอามือบีบนวดขาตัวเองที่เริ่มรู้สึกชา ๆ ไปด้วย
“งั้นขี่หลังกู” ซีมันพูดพร้อมหันหลังมาให้ฉันขึ้นไปขี่ที่หลังของมัน
“ไม่เป็นไร ๆ” ฉันรู้สึกเกรงใจมันอ่ะ เกิดตัวฉันหนักแล้วหลังมันหักขึ้นมาจะทำไงล่ะ
“ไม่เป็นไรเหี้ยไร รีบ ๆ ขึ้นมา เป็นบุญของมึงนะที่ได้ขี่หลังกูอ่ะ” ฉันล่ะอยากเอามือตีปากเขาเหมือนที่แพรมันพูดจริง ๆ เลย สุนัขไม่รับประทานจริง ๆ
“เอ่อ…”
“ขึ้น ๆ ไปเถอะมึง แม้หลังมันจะไม่ค่อยน่าขี่เท่าไหร่ก็เถอะ”
ฉันเลยต้องขี่หลังซีอย่างเลือกไม่ได้ เพราะพวกมันสองคนคะยั้นคะยอให้ขี่ไม่เลิก อีกอย่างถ้าไม่ขี่ฉันก็คงไม่มีแรงเดินมาเองอยู่ดี จะให้สองคนนั้นช่วยพยุงก็คงอีกนานกว่าจะถึง แถมจะเป็นภาระให้พวกมันมากกว่าเดิมด้วย
พอฉันมาถึงห้องเชียร์ พี่ ๆ ก็รีบวิ่งมาถามว่าฉันเป็นอะไร ซีก็บอกให้พี่พวกนั้นหลบไป แล้วแหวกพี่ ๆ ที่มาขวางทางออกและพาฉันมานั่งที่เก้าอี้ในห้องเชียร์ ทุกสายตาในห้องต่างจับจ้องมาที่พวกฉันแบบไม่วางตา สักพักพี่ฝ่ายปฐมพยาบาลก็เดินเข้ามาหาฉันด้วยใบหน้าแตกตื่น
“เป็นไงบ้างคะน้อง ปวดมากไหม?” พี่ฝ่ายปฐมพยาบาลเอ่ยถามฉันขึ้น
“ปวดค่ะ แต่ว่าถ้านั่งพักสักแป๊บน่าจะดีขึ้น” ฉันตอบพี่เขาไป แต่สายตาฉันดันไปสบเข้ากับพี่อีธานที่ยืนอยู่ข้างหลังพี่ปฐมพยาบาลพอดี เขามองฉันด้วยสายตาที่เหมือนเป็นห่วง แต่หน้าเขานิ่งมาก แถมคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกว่าใช่รึเปล่า ฉันอาจจะคิดไปเองหรือไม่เขาก็คงเป็นห่วงฉันจริง ๆ เหมือนกับคนอื่น ๆ
“มา เดี๋ยวพี่นวดให้” พี่ปฐมพยาบาลจับขาฉันไปนวดด้วยยาคลายกล้ามเนื้อให้ พอนวดเสร็จก็พูดถามฉัน “ดีขึ้นไหม?”
“ดีขึ้นค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“โอเค ถ้าไม่ไหวก็บอกพวกพี่นะ” พี่เขาบอกฉันพร้อมยิ้มบาง ๆ ฉันจึงพยักหน้าเข้าใจและยิ้มตอบพี่เขากลับไป ก่อนที่เสียงพูดของพี่ธาวินจะดังขึ้นอีกครั้ง เพราะหมดเวลาพักพอดี
“ต่อไปจะเป็นการจับสายรหัส ผมจะให้ทุกคนเดินออกมาจับฉลากในกล่องนี้ทีละคน ในฉลากจะเป็นคำใบ้พี่รหัสของพวกคุณ พวกคุณมีเวลาสองสัปดาห์ในการตามหาพี่รหัสของตัวเองให้เจอ หากใครหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอก่อนวันรายงานสายรหัสจะโดนลงโทษอย่างหนัก!”
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็ต่างพากันทำหน้าตื่นเต้นที่จะได้จับพี่รหัส รวมถึงฉันด้วย
“หม่อน ๆ มึงคิดว่ากูจะจับได้ใครวะ?” ไอ้แพรหันมาพูดกับฉัน หน้ามันดูตื่นเต้นสุด ๆ
“กูจะไปรู้ไหมเนี่ย” ฉันตอบมันไป
“กูอยากได้พี่รหัสหล่อ ๆ ว่ะ ยิ่งเป็นพี่ติณกับพี่อีธานนะ กูยิ่งอยากได้”
“มึงเพ้อเจ้ออะไรวะ?” ซีพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไอ้แพรพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย
“เรื่องของกู!” แพรหันไปถลึงตาใส่ซี
“เหอะ!” ซีแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มตัวเอง
“เออซี เมื่อกี้ขอบใจนะ” ฉันพูดขอบคุณซีที่ยอมให้ฉันขี่หลัง
“ไม่เป็นไร ๆ มึงไม่ได้ตัวหนักเท่าช้าง กูแบกไหว”
“จ้าาา” ฉันลากเสียงยาวประชดใส่มัน ก็ดูคำพูดคำจาของมันแต่ละคำสิ สมควรที่จะโดนแพรด่าเรื่องความปากหมาจริง ๆ นั่นแหละ
ผ่านไปหลายนาที ในที่สุดก็ถึงคิวพวกฉันที่ต้องลุกขึ้นไปจับพี่รหัสแล้ว ฉันลุกเดินไปด้วยความช่วยเหลือของแพรกับซี จริง ๆ มันก็รู้สึกดีขึ้นแล้วนะ แต่สองคนนี้กลัวว่าฉันจะล้มลงไปอีกรอบ จึงช่วยกันพยุง และซีก็เป็นคนแรกที่ได้จับพี่รหัสก่อนพวกเรา
“ได้คำใบ้อะไรครับ?” พี่ที่ถือกล่องสลากพูดถามซี และพอเขาเปิดสลากออกดูคิ้วก็ขมวดยุ่ง ก่อนจะอ่านคำใบ้แบบงง ๆ
“...สวยเลิศที่สุดในปฐพีนี้...เหี้ยไรวะ!” ซีอ่านคำใบ้แล้วสบถออกมาเสียงเบา และมีแค่พวกฉันกับพี่ถือกล่องสลากที่ได้ยินเสียงสบถของมัน
“ต่อไปครับ” พี่ถือกล่องสลากหันมาทางแพร แพรจึงล้วงมือไปจับสลากขึ้นมาเปิดดูและอ่านให้ฟัง
“เอ่อ...แม่ชีแห่งบริหารค่ะ” พอแพรอ่านจบสีหน้ามันก็ดูเซ็งและเศร้าใจมาก ฉันคิดว่ามันคงผิดหวังไม่น้อยที่จับได้พี่รหัสเป็นผู้หญิง ทั้ง ๆ ที่มันอยากได้ผู้ชายใจจะขาด
“ต่อไปน้องครับ” พี่ถือกล่องสลากยื่นกล่องมาให้ฉันจับ ฉันจึงล้วงมือไปหยิบฉลากในกล่องขึ้นมาคลี่เปิดอ่านดู
“ได้คำใบ้อะไรครับ?”