ภัตตาคารหรูเบื้องหน้าตั้งอยู่บนชั้นที่ 50 ของ The Absolute Paradise ตึกที่มีความสูงถึง 95 ชั้นและเรียกได้ว่าสูงที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้ เจ้าของจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแมทธิว บราวน์ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหล่อนเป็นคนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
มะลิคิดอย่างหดหู่ขณะพาร่างบอบบางของตัวเองก้าวตามพนักงานสาวที่แมทธิวสั่งให้มารับไปอย่างเงียบเชียบแต่ก็ทำได้ไม่นานนักเมื่อสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของเหล่าสตรี และสายตาที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายของบุรุษรบกวนจิตใจอย่างรุนแรง หญิงสาวกัดปากแน่นเพื่อข่มความประหม่าแต่ก็ทำได้ยากยิ่ง มันทำได้ยากเย็นจริงๆ
ว๊าย!
เสียงอุทานที่เต็มไปด้วยความตกใจแกมสมน้ำหน้าของสตรีสาวโต๊ะข้างๆ ที่หล่อนก้าวเดินผ่านดังขึ้นเมื่อหล่อนดันเผลอไปสะดุดกับขาเก้าอี้จนเซถลาจะล้มลงไปกองกับพื้น แต่โชคดีที่มีมือหนาของใครคนหนึ่งตวัดมาคว้าร่างบอบบางของหล่อนเอาไว้ได้ทัน
“ระวังหน่อยสิครับ...”
เสียงนุ่มสุภาพที่ดังขึ้นด้านบนเบาๆ เหนือศีรษะแบบนี้ไม่มีทางเป็นแมทธิว บราวน์ไปได้ ทั้งๆ ที่หล่อนภาวนาให้เป็นเขา อยากให้เป็นเขาที่ช่วยเหลือหล่อนในสถานการณ์คับขันแบบนี้ เขาคนเดียวเท่านั้นที่หล่อนนึกถึง แต่... ก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี
มะลิอ้าปากค้าง คำขอบคุณที่ตั้งใจจะพูดออกมาผลุบหายเข้าไปในลำคอจนหมดสิ้น เมื่อได้เห็นผู้มีพระคุณของตัวเองถนัดเต็มๆ ตา
“คุณอันโตนิโอ...”
หนุ่มหล่อที่ตอนนี้ก็ยังไม่ปล่อยมือจากเอวคอดของหล่อนระบายยิ้มทรงเสน่ห์ ดวงตาสีเข้มของเขาเป็นประกายน่ามอง ริมฝีปากที่แย้มเผยอนั้นทำให้หล่อนอดใจสั่นไม่ได้ ผู้หญิงทุกคนหากได้อยู่แนบชิดกับผู้ชายที่หล่อชนิดเทพบุตรแบบอันโตนิโอคนนี้ก็คงจะมีอาการไม่ต่างจากหล่อนสักคนแน่นอน
“ขอบคุณครับที่ยังจำผมได้... ผมอันโตนิโอ ปาสซินี่... ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งครับ คุณดอกมะลิ”
“เอ่อ ยินดีเช่นกันค่ะ แต่ว่า...” หญิงสาวขยับตัวเป็นเชิงเตือนให้คู่สนทนารู้ว่าควรจะปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระได้แล้ว
“ขอโทษครับ ผมลืมตัวไป... แค่ดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้งเท่านั้นเอง”
มะลิยิ้มบางๆ แล้วก็อดโล่งใจขึ้นมาไม่ได้อย่างน้อยๆ ในภัตตาคารหรูหราแห่งนี้ก็ยังมีคนๆ หนึ่งที่หล่อนสามารถยิ้มได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมองยังไง อันโตนิโอ ปาสซินี่ ชายหนุ่มที่เคยช่วยหล่อนไว้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนที่อิตาลี
“คุณมะลิคะ เชิญทางนี้ค่ะ คุณแมทธิวกำลังรอคุณมะลิอยู่นะคะ”
เสียงเตือนสุภาพของพนักงานสาวที่ขึ้นไปรับหล่อนบนเพ้นต์เฮ้าส์ของแมทธิวดังขึ้นเบาๆ และนั่นก็ทำให้ร่องรอยความวิตกกังวลผุดพรายขึ้นบนใบหน้างดงามของมะลิอีกครั้ง หญิงสาวหุบยิ้มก่อนจะเอ่ยลาผู้ชายตรงหน้าแผ่วเบา
“มะลิคงต้องไปแล้ว...”
อันโตนิโอคลี่ยิ้มทรงเสน่ห์ให้กับสาวน้อยตรงหน้า ก่อนจะหยิบนามบัตรของตัวเองออกมาจากกระเป๋าสตางค์หนังสีดำ และยื่นให้กับมะลิ
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ นี่ครับนามบัตรของผม”
มะลิมองนามบัตรสีขาวสะอาดที่ขอบทั้งสี่ด้านขลิบทองเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ อันโตนิโอยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะถือวิสาสะคว้ามือบางขึ้นมากุมเอาไว้จากนั้นก็วางนามบัตรของตัวเองลงไปด้วยท่าทางเผด็จการกลายๆ
“รับเอาไว้เถอะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย... โทรหาผมได้ทุกเมื่อ”
แล้วเจ้าของนามบัตรก็ยิ้มกว้างให้กับหล่อนซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินปะปนเข้าไปในกลุ่มของผู้คนภายในภัตตาคารสุดหรูเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว มะลิมองตามไปจนเขาลับสายตาจากนั้นจึงก้มลงมองนามบัตรใบเล็กๆ ในมือของตัวเอง ใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความหวัง
‘อันโตนิโอ ปาสซินี่ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เดอะ ชาร์ด’
เดอะ ชาร์ดเหรอ? มะลิขมวดคิ้วมุ่นอย่างพยายามครุ่นคิดเพราะชื่อเดอะ ชาร์ดช่างคุ้นหูยิ่งนัก แต่ยังไม่ทันคิดออก พนักงานสาวที่ยืนอยู่ข้างกายก็เฉลยให้หล่อนฟังเสียก่อน
“เดอะ ชาร์ดคือบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างที่ใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในยุโรปค่ะ เมื่อก่อนผู้กุมอำนาจสูงสุดของเดอะ ชาร์ดก็คือ เปาโล ปาเชโก้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมือมาเป็น อันโตนิโอ ปาสซินี่บุตรบุญธรรมแล้วล่ะค่ะ”
มะลิมองคู่สนทนาอย่างทึ่งจัด “ทำไมคุณถึงได้รู้เรื่องนี้ละเอียดจังเลยคะ... ”
คู่สนทนายิ้มกว้างให้กับหล่อน ขณะพาหล่อนเดินลึกเข้าไปภายในภัตตาหารหรูเรื่อยๆ “คนที่อยู่ในยุโรปมาตั้งแต่เกิดอย่างดิฉันจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะคะ แถมเมื่อยี่สิบปีกว่าปีก่อนข่าวนี้ดังกว่าข่าวท่านโอบารัคได้ตำแหน่งประธานนาธิบดีสหรัฐอเมริกาซ้ำเป็นสมัยที่สองเสียอีกค่ะ...”
คิ้วของมะลิขมวดขึ้นอีกครั้ง แม้จะไม่ได้รู้จักกับอันโตนิโอในระดับที่จะรู้เรื่องราวเหล่านี้ของเขา แต่สิ่งที่คู่สนทนาพรางพรูออกมานั้นช่างน่าสนใจเหลือเกิน น่าสนใจจนหล่อนอดสงสัยและถามออกมาไม่ได้
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็เพราะมันคือการฆาตกรรมยังไงล่ะคะ”
“ฆาตกรรม?!”
คู่สนทนาของหล่อนพยักหน้าหงึกๆ หยุดเดินและจ้องหน้าหล่อน “ใช่ค่ะ มันคือการฆาตกรรม เดิมทีแล้วเดอะ ชาร์ดเป็นของตระกูลปาสซินี่ค่ะ แต่พอคุณฟาบิโอและภรรยาเสียชีวิตในบ้านพักต่างอากาศในอิตาลีแล้ว ทุกอย่างก็ตกมาเป็นของตระกูลปาเชโก้ค่ะ ตำรวจและญาติๆ ของคุณฟาบิโอสงสัยคุณเปาโลว่ามีส่วนพัวพันกับคดีฆาตกรรมนี้ แต่ก็หาหลักฐานไม่ได้ค่ะ เนื่องจากคนร้ายที่ถูกจับได้ไม่ซัดทอดใครเลยบอกว่าตัวเองทำไปเพราะความแค้นส่วนตัว ทำให้คุณเปาโลพ้นข้อกล่าวหาค่ะ”
“แล้วทำไม... คุณเปาโลถึงได้รับคุณอันโตนิโอเป็นลูกบุญธรรมล่ะคะ ในเมื่อญาติพี่น้องของคุณอันโตนิโอก็น่าจะยังมีอยู่” มะลิอดสงสัยไม่ได้ ตอนนี้หล่อนลืมความเจ็บปวดจากการกระทำของแมทธิวไปชั่วขณะ
“ก็เพราะคุณเปาโลต้องการจะคืนทุกอย่างให้กับปาสซินี่ยังไงล่ะคะ”
“มะลิ... ยังไม่เข้าใจค่ะ ก็ในเมื่อปาเชโก้ยึดเดอะ ชาร์ดไปแล้ว ทำไมยังอยากจะคืนมันให้กับปาสซินี่อีกล่ะค่ะ ดูมันขัดแย้งกันยังไงก็ไม่รู้นะคะ”
คู่สนทนาของหล่อนดีดนิ้วเบาๆ ก่อนจะก้มลงมากระซิบกระซาบที่ข้างหูของหล่อน “ใช่ค่ะมันขัดแย้งกันมาก แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถหาเหตุผลที่แท้จริงของเรื่องนี้ได้ แม้แต่คุณอันโตนิโอเองก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“แล้วคุณเปาโลล่ะค่ะ เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
คำถามที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงของมะลิทำให้คู่สนทนาพยักหน้าน้อยๆ “เคยสิคะ คุณเปาโลให้สัมภาษณ์กับนักข่าวบ่อยมาก แทบจะออกโทรทัศน์ทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ล่าสุดที่ไปออกรายการทีวีช่องหนึ่งเห็นบอกว่า เขาไม่สบายใจเลยตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเหมือนกับแย่งทุกอย่างมาจากพี่ที่เคารพอย่างคุณฟาบิโอ แต่ที่เขาต้องเข้ามาบริหารเดอะ ชาร์ดด้วยตัวเองโดยไม่ยินยอมให้ญาติพี่น้องของคุณฟาบิโอเข้ามาแตะต้องนั้นก็เพื่อรักษาทุกอย่างเอาไว้ให้กับคุณอันโตนิโอ บุตรชายเพียงคนเดียวของคุณฟาบิโอค่ะ ตอนที่เกิดเรื่องรู้สึกว่าคุณอันโตนิโอจะพึ่งสิบกว่าขวบเท่านั้นเอง และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะมอบทุกอย่างคืนให้กับคุณอันโตนิโอ...”
“ฟังแล้วประเสริฐจังนะคะ” มะลิพึมพำ
“ใช่ค่ะ และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้คุณเปาโลชนะการเลือกตั้งส.ส. เขตได้อย่างงดงามเลยค่ะ”
ท้ายประโยคน้ำเสียงของคู่สนทนาของหล่อนเครียดขึ้นมาก มะลิเหลือบตามองแว่บหนึ่งก็ได้เห็นกองไฟในสายตาหวานฉ่ำคู่นั้นมากมาย แต่ไม่นานมันก็จางหายไป เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าทิ้งเอาไว้เท่านั้นเอง
“คล้ายกับคุณไม่พอใจเลยนะคะที่คุณเปาโลชนะการเลือกตั้ง...” มะลิเอ่ยถาม แต่คู่สนทนาที่หล่อนพึ่งจะรู้ว่าสวยราวกับนางฟ้ากับระบายยิ้มน้อยๆ ออกมาแทน
“ดิฉันชื่นชมเขามากต่างหากค่ะ ชื่นชมกับความคิดและความสามารถของเขาจริงๆ”