เกือบเที่ยงตรง ณ ร้านอาหารไทยตั้งอยู่ในย่านสีลม ดวงตาเรียวกวาดมองผู้คนผ่านกระจกร้าน สายตาหยุดลงที่ร่างสูงจดจ้องรอคอยว่าเขากำลังจะไปไหน เมื่อเห็นว่ามือผลักประตูเข้ามาในที่แห่งเดียวกัน ร่างบางลุกพรวดแววตาสดใสรอยยิ้มระบายทั่วใบหน้า มือบางยกโบก
“พี่ทิวาคะ!”เรียกชื่อเขาวิ่งไปหา เพื่อนนั่งร่วมอย่างอรนลินงุนงง หันมองหนุ่มแปลกหน้าทันที
ชายหนุ่มชะงักชั่วครู่แม้จะตกใจในการพบกัน แต่ก็ปรับสีหน้าเรียบเฉยได้ในทันที
“สวัสดีครับเรน”น้ำเสียงค่อนข้างขัดเขินเอ่ยทัก
“มาทำอะไรแถวนี้เหรอคะ”
“พี่นัดกับเพื่อนมาทานอาหารที่นี่ครับ”
เรนิกาสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนของเขาแต่กลับไม่พบใคร แต่สักพักกลับมีหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในร้าน ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเฉียวคม ผิวเนื้อสีแทน หนุ่มแปลกหน้ามองเพื่อนพูดคุยกับสาวน้อยน่าตาสวยหมดจดด้วยความแปลกใจ เขาสาวเท้ามายืนเคียงทิวากรพร้อมชะโงนหน้ามองหญิงสาว
“นี่ใครเหรอทิวา?”
มือใหญ่ผลักใบหน้าเพื่อนที่โน้มใกล้หญิงสาว พร้อมกับถอนใจออกมา ลายเจ้าชู้เพื่อนตัวแสบออกมาให้เห็นอีกแล้ว
“ลูกสาวเพื่อนแม่ชื่อเรน แล้วแกไอ้สินเอาหน้าออกไปห่างๆ น้องเค้าเลย”ชายหนุ่มเข่นเขี้ยว พยายามดันศีรษะเพื่อนออกห่าง
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”น้ำเสียงสดใสเอ่ยทัก
“สวัสดีครับเรียกพี่ว่าสินก็ได้นะ น้องเรน”
“ค่ะพี่สิน เราไปนั่งด้วยกันไหม พอดีเรนมีเพื่อนมาด้วยแค่คนเดียว”เธอรีบแนะนำ อย่างน้อยก็อยากจะนั่งพูดคุยกับพี่ทิวาสักหน่อย อยากทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นอีก
พสินมองเพื่อนเหมือนรอคำตอบแต่เห็นชายโสดทำหน้าบึงเอาแต่เงียบ จึงดึงรั้งให้เดินตามไปที่โต๊ะ ทิวากรนั่งลงฝั่งเดียวกับเพื่อนอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นเขาจึงเริ่มสั่งอาหาร
“เรนนั้นใครเหรอ?”อรนลินกระซิบถาม เห็นสายตาของพสินจ้องมองมามีแววเจ้าชู้
“พี่ทิวา คนที่เล่าให้ฟังไงว่าแม่อยากให้เราแต่งงานด้วย”หญิงสาวกระซิบ
“ต๊าย! คนนี่เหรอ”เสียงลั่นร้องออกมา ยกมือทาบอก เรนิการีบยกมือปิดปากเพื่อน
“อะไรตายครับ!”พสินถามสีหน้าตระหนกอีกคน
“ปะ...เปล่าไม่มีอะไรหรอกค่ะ”รีบแก้ตัว แล้วยิ้มเก้อๆ ออกมา ให้ตายสิเพื่อนเธอทำไมถึงได้โหวกเหวกโวยวายออกมา
เมื่อได้รับรู้อรนลินเลยจ้องหนุ่มผิวขาวหน้าตาคมคายไม่วางตา รูปลักษณ์ก็ดูดีอยู่หรอกแต่สีหน้าไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย อีกทั้งดวงตาคู่นั้นหากมองลึกลงไปมีเพียงความเดียวดาย เศร้าสร้อย และสิ้นหวัง เรนิกาสะกิดเพื่อนเบาๆ บอกให้รู้ว่าไม่ควรเสียมารยาท อรนลินเลยเสมองทางอื่นแทน
ราวยี่สิบนาทีอาหารไทยเลิศรสถูกนำมาเสิร์ฟ พสินเหลือบมองสาวน้อยน่ารักเขาออกจะถูกใจเรนิกาไม่น้อย ใบหน้าผุดผาดแก้มเนียนใส ยามเขินแก้มจะระเรื่อเป็นสีชมพู เธอเป็นผู้หญิงที่มองแล้วไม่เบื่อ บุคลิกแสนร่าเริงรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยทำให้รอบข้างดูสนุกสนานไปด้วย
“พี่ทิวามาทำธุระอะไรแถวนี้เหรอคะ”เรนิกาเริ่มบทสนา เมื่อได้ทีก็ควรทำความสนิทสนมกับว่าที่เจ้าบ่าวไว้เยอะๆ
“พี่มาตรวจบริษัทในเครือน่ะ”
“แบบนี้เหนื่อยแย่เลยนะคะเนี่ย”น้ำเสียงห่วงใยบอกเขาไป พสินเหลือบมองเพื่อนเห็นสีหน้าเรียบเฉยเลยถอนใจยาวออกมานึกเห็นใจแม่สาวน้อยน่ารัก ที่คุยกับท่อนไม้อยู่
“ไม่หรอก มันเป็นหน้าที่ของพี่ พี่ต้องทำทุกอย่างแทนพ่อก็เท่านั้นเอง”ไม่ได้มีใครสังเกตมือสองข้างกำช้อนส้อมแน่นหากเป็นไม้คงหักคามือเขาไปแล้ว
“แล้วพ่อพี่ทิวาไปไหนเหรอคะ เรนไม่เห็นเลย”
คนถูกถามชะงักแววตาหมองเศร้า อยากลืม... เรื่องทุกอย่าง อยากให้มันหายไม่ต้องจดจำอะไรได้เลยยิ่งดี คนมีแผลได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรออกมา เรนิการู้สึกตัวว่าตนเองอาจจะถามอะไรไม่เข้าท่าเลยหลุบตาต่ำมองจานข้าวอย่างรู้สึกผิด
“เรนขอโทษนะคะ...”เสียงหวานแผ่วเอ่ยออกมา น้ำตารื้นกลัวชายหนุ่มจะโกรธและรังเกียจตนเอง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่างมันเถอะเรนไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
เธอเงยหน้าสบตาเข้าใจได้ว่าอาจจะพูดเพื่อให้เธอสบายใจ แต่ยามผสานสายตารู้ดีว่าหัวใจเขาคงเจ็บปวดจากเรื่องบางอย่าง แววตาแสนเศร้านั้นจะมีใครช่วยรักษาได้ไหม หากไม่มีเธออยากเป็นคนทำหน้าที่นั้นเหลือเกิน
จบมื้ออาหารเที่ยงทุกคนต่างแยกย้ายกัน เรนิกาสาวเท้ามาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม ทิวากรมองเธอนึกแปลกใจ
“มีอะไรกับพี่เหรอเรน”
“เอ่อ... เรนขอติดรถกลับบ้านด้วยนะคะ พอดีเมื่อเช้ามาแท็กซี่เรนยังขับรถไม่คล่องเท่าไหร่ค่ะ”ความจริงเธอแค่อ้างเท่านั้น เพราะต้องการนั่งรถไปกับเขา
ทิวากรคิดหนักเพราะไม่อยากทำตัวสนิทสนมมากกว่านี้ ไม่อยากให้มารดาคิดเป็นอื่นอีก เวลานี้เขายังไม่พร้อมรับใครเข้ามาในชีวิต
“พี่ต้องเข้าบริษัทครับ ขอโทษด้วยนะ”พยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุด
“แกเข้าบริษัทด้วยเหรอไอ้ทิวา วันนี้งานไม่มีแล้วไม่ใช่หรือไง!”เพื่อนปากมากของเขาแย้งออกมาทันที ทิวากรหันขวับจ้องมองตาเขียวขุ่น
หญิงสาวหันมองด้วยความไม่เข้าใจ เธอทำอะไรให้เขาไม่ชอบใจหรือเปล่า ความจริง... แค่อยากสนิทสนมมากขึ้นไปอีก ต้องการทำความรู้จักสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันให้มากกว่านี้ อยากรู้... ในใจของพี่ทิวานั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่แววตาถึงได้เจ็บปวดขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายอบอุ่นมากแท้ๆ