ตอนที่ 1
ร่างเพรียวระหงส์ใส่กางเกงยีนส์สีซีดพอดีตัว ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับศอกเพื่อความสะดวก โดยปลดกระดุมสองเม็ดด้านบนเพื่อระบายความร้อน รองเท้าหุ้มส้นสีขาวช่วยให้คล่องตัวซึ่งเธอชอบมันเป็นพิเศษ ใบหน้าเรียวรูปไข่ แพขนตางอนดกดำ ดวงตาเรียวรีดูโฉบเฉี่ยวโดยไม่จำเป็นต้องกรีดอายไลเนอร์ คิ้วโค้งได้ทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ริมฝีปากบางรูปกระจับหน้าผากกลมมนน่ามอง ผมเส้นเล็กยามตรงยามต้องลมปลิวสยาย
เจ้าของใบหน้าชวนมองกวาดตารอบตัวมองหารถยนต์ของมารดาที่กำลังมารับยังสนามบิน กระเป๋าล้อลากสีม่วงใบใหญ่วางอยู่ข้างตัว เรนิกา วิราชย์ ณ บดินทร์ สาวน้อยวัยแรกรุ่นอายุยี่สิบเอ็ดปี บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทย อากาศอันร้อนระอุทำให้เธอต้องเป่าปากหลายครั้งจนเริ่มหงุดหงิด
ยกนาฬิกาข้อมือมาดูเวลาเกือบบ่ายสองโมง ไม่แปลกถ้ามันจะร้อนขนาดนี้ ก่อนหน้าเธอเพิ่งไปญี่ปุ่นมาหลังจากอ้อนมารดาอยู่นานแสนนานเพื่อขอเป็นรางวัลในการเรียนจบระดับเกียรตินิยม
“คุณเรนครับ ขอโทษที่มาช้ารถเสียกลางทางครับ”ชายวัยกลางคน มีนามว่าลุงจับคนขับรถเก่าแก่ของบ้านรีบบอกขณะหยิบกระเป๋าของเธอไปที่รถ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุง เรนแค่ร้อนเท่านั้นเอง”
“อากาศเมืองไทยร้อนอยู่แล้วล่ะครับคุณหนู ญี่ปุ่นร้อนไหมครับ?”ลุงจับชวนสนทนาเพื่อให้คุณหนูแสนสวยของบ้านคลายความหงุดหงิด
“ไม่ร้อนค่ะ กำลังเย็นสบายเลย”
เครื่องปรับอากาศในรถช่วยให้คลายร้อนได้อย่างดีทีเดียว หลังจากกลับญี่ปุ่นเธอยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย คุณแม่ต้องการให้เข้าไปทำงานในบริษัทของเพื่อน จริงๆ แล้วไม่อยากใช้เส้นสายเข้าเลย ค่อนข้างกลัวมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
รถแล่นเข้าเขตรั้วบ้านวิราชย์ ณ บดินทร์ ภายใต้เนื้อที่ราวสามไร่ สิ่งปลูกสร้างสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานด้วยกลิ่นอายความเป็นไทยปะปนอยู่ บริเวณหน้าบ้านมีน้ำพุเทพีวีนัสตั้งตระหง่าน รอบบ้านปลูกไม้ดอกไว้เรียงรายอย่างสวยงาม ด้านหลังมีสวนหย่อม บ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟ อีกทั้งยังมีห้องกระจกริมน้ำที่เธอชอบมานั่งทำงานบ่อยๆ
เมื่อรถจอดเทียบเธอลงมาจากรถสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้ามาถึงห้องโถง เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้สักขัดมันจนขึ้นเงา พื้นเป็นกระเบื้องสีเทาเป็นมันสะท้อนแสง เรนิกาชะเง้อมองหาใครบางคน
“แม่คะ”เธอร้องเรียกแล้วโอบกอดจากด้านหลัง เมื่อจำได้ว่าหญิงที่นั่งดูละครทีวีเป็นใคร
“ยัยเรน เป็นยังไงบ้างลูกไปเที่ยวมาสนุกไหม”พาวินีเอ่ยถาม จังหวะนั้นหญิงสาวจึงเบี่ยงกายนั่งลงข้างมารดา
“สนุกค่ะ ตอนนี้ญี่ปุ่นสวยมากดอกซากุระบานเต็มต้นเลยค่ะ”น้ำเสียงเจือไปด้วยความสุขเอ่ยกับมารดา
“ไปเติมไฟมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นคงไปทำงานได้แล้วใช่ไหม?”
เรนิกายิ้มเจือนๆ ออกมา ความจริงเธอไม่ได้ขี้เกียจแต่เพราะแม่ตั้งท่าจะฝากงานให้ เธออยากเลือกบริษัทเองมากกว่าไม่อยากรบกวนคนอื่น
“ทำได้ค่ะแม่ แต่ว่า... เรนขอเป็นบริษัทอื่นได้ไหม ไม่ใช่บริษัทเพื่อนแม่”
“ทำไมล่ะเรน แม่จะฝากให้ลูกไปทำงานที่นั้นไม่ดีตรงไหน ลูกก็เคยได้ยินชื่อบริษัทเพื่อนแม่ไม่ใช่เหรอ อีกอย่างแม่ก็มีหุ้นอยู่ที่นั่นไม่ใช่น้อย ลูกน่าจะไปทำงานที่นั่นนะ”
อยากจะทัดทานคำพูดมารดา แต่ก็หาเหตุผลสารพัดมาสกัดเธอเสียทุกที หากไม่ยอมแม่คงหาเรื่องอื่นมาทำให้ยอมรับจนได้ นี่แหละคุณหญิงพาวินี
“งั้นเรนไปทานข้าวก่อนนะคะ”
“อะไรกันคุยกับแม่ยังไม่จบจะไปทานข้าวแล้วเหรอ”พาวินีบ่นอุบ รู้ดีว่าลูกสาวตัวแสบจงใจหลีกหนีบทสนทนาเรื่องการทำงาน
“แหม... ไปอยู่ญี่ปุ่นมาเป็นอาทิตย์ คิดถึงอาหารไทยแล้วค่ะแม่”
“ก็ได้ หิวก็ไปทาน แล้วเราน่ะต้องมาคุยเรื่องทำงานกับแม่ต่อรู้ไหม”โดนย้ำอีกครั้ง เลยทำให้คนเป็นลูกถอนใจออกมา
“ทราบแล้วค่ะ ไปทานข้าวกันเถอะ”
หญิงสาวรีบตรงเข้าไปประคองมารดามานั่งร่วมโต๊ะอาหาร บ้านอันแสนอบอุ่นหลังนี้ บิดาเธอเป็นคนสร้างลงทุนลงแรงจากหลังเล็กๆ ไม่นานมันก็ใหญ่โตขึ้นมา ธุรกิจของพ่อเป็นไปได้ด้วยดีจากฐานะปานกลาง ตระกูลวิราชย์ ณ บดินทร์เลยกลายเป็นเศรษฐีในช่วงไม่กี่ปี แต่กระนั้นเงินมากมายไม่อาจยื้อชีวิตบิดาเธอไว้ได้ พ่อล้มป่วยจากครอบครัวด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือด
แม้ว่าเธอจะร้องไห้แทบขาดใจ การสูญเสียประมุขของบ้านทำให้ความเงียบเหงาเกาะกินใจ แต่เวลานั้นมารดาเธอหยัดยืนขึ้นมาทำทุกอย่างและเรียนรู้ในสิ่งที่สามีตนเคยทำ จากวันนั้นเธอจึงได้รู้ว่าตนเองมีแม่แสนประเสริฐมากเพียงใด
อาหารไทยแสนโปรดถูกจัดวางตรงหน้า ต้มยำรวมมิตรทะเล ปลาเก๋าทอดราดพริกสามรส แถมยังมีซี่โครงหมูทอดกระเทียมพริกไทยอีก แค่มองน้ำลายก็ซอแล้ว เรนิการีบหยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักอาหารใส่ปาก
“อร่อยไหมค่ะคุณหนูเรน”ป้าสมจิตรแม่ครัวประจำบ้านถามขึ้น
“อร่อยสุดๆ”แม้กำลังส่งอาหารเข้าปาก แต่ยังยกนิ้วโป้งเพื่อชมแม่ครัวได้อยู่ดี
เพราะอาหารถูกปากวันนี้เธอเลยซัดข้าวไปเสียสองจาน แม่ครัวยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่อเห็นคุณหนูแสนสวยทานอาหารที่ตนทำได้มากโขอยู่ เรนิกาอ้าปากหาววอดหลังจากทานอาหารเสร็จพยายามขืนร่างอันอ่อนแรงไปที่ห้องนอน